ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 85 นางคือหุ่นศพ
“วิชามารยา!”
เจียงเฮ่าน้ำเสียงเย็นเยียบเสียดกระดูก คนงามตรงหน้าเขากลายเป็นโครงกระดูกสีชมพูในสายตาเขา
สตรีนางนั้นหลบหลีกการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดายด้วยท่าทางที่มีเสน่ห์เย้ายวนราวกับร่ายรำก็มิปาน “คุณชายไม่ตอบข้าก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องลงมือทำร้ายกันเช่นนี้ด้วยเล่า ท่านจะทำร้ายสตรีบอบบางอย่างข้าลงหรือ”
สตรีนางนั้นหลบการโจมตีของเขาแล้วก็โผไปนั่งไขว่ห้างอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง อาภรณ์ลื่นไหลเผยให้เห็นเรียวขาขาวดุจหยกของนาง
“เจ้าเป็นคนของวังเวิ่นฉิง!” เจียงเฮ่าไม่สะทกสะท้านแล้วยืนยันตัวตนของสตรีนางนี้
คิดไม่ถึงว่าคนของวังเวิ่นฉิงจะซุ่มซ่อนอยู่ในหอนางโลมเมืองซู่หยาแห่งนี้ เรื่องราวต้องไม่ง่ายดายแน่
“คุณชายรู้ว่าอาจารย์ของข้าเป็นผู้ใด เช่นนั้นคงจะมิใช่คนธรรมดาสามัญเสียแล้ว” ถึงตัวตนนางจะถูกเจียงเฮ่าเปิดเผยก็ไม่ร้อนใจ นางยังคงหัวเราะหยอกล้อต่อไป
เจียงเฮ่ารู้สึกหน้ามืดวิงเวียนจึงกัดฟันแน่น ลมปราณทั่วร่างพลันดุดันขึ้น เขาเอ่ยเตือนว่า “เก็บวิชามารยาของเจ้าไปเสีย มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า”
“คุณชายไม่รู้จักทะนุถนอมสตรีบอบบางเอาเสียเลย” นางถลึงตามองเขาด้วยความโมโห แต่สายตานางกลับดึงดูดเย้ายวนคน
“เฮอะ!” เจียงเฮ่าสบถเสียงเย็นชาคำหนึ่ง ไม่กล่าวอันใดกับนางให้มากความตั้งท่าจะโจมตีลูกเดียว
สตรีของวังเวิ่นฉิงเห็นเขาตั้งท่าจะสู้จริงๆ ในใจพลันตระหนก วิชามารยาของนางใช้กับเขาไม่ได้ คงต้องรับการโจมตีเท่านั้น
ห้องเล็กๆ ในหอคณิกาห้องนี้ย่อมไม่พอให้ทั้งสองได้ฟาดฟันกันแน่
ไม่นานนักทั้งสองก็สู้กันจากภายในห้องไปจนถึงบนหลังคา
คนหนึ่งไล่ตามคนหนึ่งหลบหนีไปตามหลังคาบ้านเรือนในเมืองซู่หยา การโจมตีของเจียงเฮ่ารุนแรงและเลือดเย็น สตรีนางนั้นต้านไว้ไม่ไหวจึงอาศัยวิชาเพื่อหลบหนี
ยังดีที่ทั้งสองยังคำนึงถึงว่าตรงนี้เป็นดินแดนของหลีหุนจงจึงมิได้ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมาต่อสู้
เจียงเฮ่าไล่ตามอยู่ด้านหลังไม่นานก็พบว่าสตรีวังเวิ่นฉิงตั้งใจล่อเขาให้ออกมานอกเมือง
ก่อนหน้านี้เขาเกือบจะโดนมายาของนาง ยังดีที่รู้สึกตัวได้ทัน ในใจพลันเดือดดาล ฝีมือเจียงเฮ่าสูงส่งกล้าหาญ เขาไม่กลัวว่าข้างหน้าจะมีกับดักใดซ่อนอยู่จึงไล่ตามนางออกนอกเมืองไป
ลำแสงสองสายโฉบผ่านประตูเมืองของเมืองซู่หยาไปยังที่รกร้างนอกเมือง
สตรีนางนั้นโปรยตัวลงสู่พื้นก่อน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตนออกมา
วิญญาณยุทธ์ที่นางหลอมรวมทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับเสน่ห์ทั้งสิ้น เจียงเฮ่าเพิ่งจะถึงพื้นก็สัมผัสได้ว่าสมองได้รับการโจมตีอย่างหนัก ภาพลามกเย้ายวนเหล่านั้นโจมตีเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
“บังอาจนัก!”
เจียงเฮ่าตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดแล้วปลดปล่อยพลังอำนาจของหลิงหวังออกมา
ฟู่! แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของหลิงหวังพลันปรากฏ ทำเอาสตรีนางนั้นกระอักเลือดออกมา
นางถอยหลังไปหลายก้าว วิญญาณยุทธ์ด้านหลังพลันอ่อนลง
“หลิงหวัง!” นางมองเจียงเฮ่าอย่างตกตะลึง
นางนึกไม่ถึงเลยว่าบุรุษอ่อนเยาว์เช่นนี้จะเป็นถึงหลิงหวัง
ขณะนั้นเองการโจมตีของเจียงเฮ่าก็เริ่มขึ้น พละกำลังอันมหาศาลพุ่งสู่ร่างของนางโดยตรงจนร่างนางทั้งร่างลอยไปตกอยู่พงหญ้าด้านหลัง
สมควรตาย! นางรับการโจมตีเข้าไปก็เจ็บปวดไปทั้งร่าง
นางโมโหตัวเองอยู่บ้าง เหตุใดจึงไปหาเรื่องคนน่ากลัวเช่นนี้เข้าได้
ขณะตกลงไปในพงหญ้านั้นนางก็กระอักเลือดอีกครั้ง พลังวิญญาณในร่างราวกับถูกกักขังเอาไว้จนยากที่จะควบคุม
“บอกมา วังเวิ่นฉิงเคยซื้อสตรีที่เมืองซู่หยาแห่งนี้ใช่หรือไม่” เจียงเฮ่าทะยานลงตรงหน้านาง ใช้มือที่มองไม่เห็นบีบคอนางเอาไว้
หากนางต่อต้านเพียงน้อยนิดเขาก็จะตัดคอนางเสีย
“ซื้อสตรีอันใดกัน ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงสิ่งใด” นางกล่าวอย่างโมโห
นางรู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างพิลึกพิลั่นนัก
“เฮอะ! โกหกทั้งเพ” เจียงเฮ่าเพิ่มแรงที่มือ
นางพลันรู้สึกถึงความมืดเบื้องหน้าแล้วสลบไป
เจียงเฮ่าไม่ได้ลงมือสังหารนาง เพราะเขารู้สึกว่าให้น้องสาวเขามาไต่สวนต้องได้ความจริงมาจากปากสตรีเจ้าเล่ห์นางนี้เป็นแน่
ทว่ายามนี้เจียงหลีและมู่ชิงเหยียนกลับไม่รู้ว่าทางนี้กำลังเกิดอันใดขึ้น
พวกนางอาศัยความมืดยามราตรีมาถึงสถานที่ที่มู่ชิงเหยียนหลบหนีออกมาอีกครั้ง ที่นี่คือโกดังท่าเรือ จากความทรงจำของมู่ชิงเหยียน ตอนนั้นพวกนางลงเรือแล้วถูกขังไว้ในโกดังแห่งนี้ นางอาศัยจังหวะที่การเฝ้าคุมหละหลวมลงมือฆ่าคนเฝ้ายามไปสองสามคน แล้วพามารดาหลบหนีออกมา
ขณะกำลังจะหนีนั้น นางจำได้ว่ามีสตรีสองสามนางกระโดดออกมาด้วยเช่นกัน ส่วนเรื่องอื่นนั้นนางจำไม่ได้แล้ว
จากคำพูดของมู่ชิงเหยียน การฝึกตนของผู้คุมพวกนั้นไม่น่าจะสูง มิฉะนั้นแล้วนางคงไม่หลบหนีมาได้อย่างง่ายดาย
บนท่าเรือเงียบสงบถูกปกคลุมไปด้วยราตรีอันมืดมิด
ไม่มีทั้งเรือที่เทียบท่าอยู่และคนเฝ้ายาม
มู่ชิงเหยียนผิดหวังเล็กน้อย “ดูแล้วก็คงไม่ได้เบาะแสอันใด”
“ในเมื่อมาแล้วก็หาอีกสักครั้งเถอะ” เจียงหลีนิ่งสงบอย่างเห็นได้ชัด
พอทั้งสองมาถึงโกดัง ภายในโกดังเต็มไปด้วยฟางข้าวล้วนๆ ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากนี้ พวกนางจึงทำได้เพียงเดินไปตามทางด้านหลังโกดังเพื่อเสาะหาเบาะแส
ที่ด้านหลังโกดังมีถนนสายเล็กอยู่สายหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะพาไปโผล่ที่ใด
ทั้งสองคลำทางไปท่ามกลางราตรีอันมืดมิด เดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วยามในที่สุดก็เห็นแสงสว่างเล็กๆ ท่ามกลางความมืด
“ข้างหน้ามีบ้านคนอยู่” เจียงหลีหยุดฝีเท้าลง
มู่ชิงเหยียนเอ่ยว่า “ไปดูกันดีหรือไม่”
“รอก่อน” เจียงหลีเอ่ยเสียงเครียด นางดึงมู่ชิงเหยียนมาอีกด้านแล้วปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบดู ในเมื่อด้านหน้าโกดังเคยขังสตรีที่มาจากหนานฮวงเอาไว้ เช่นนั้นแล้วคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็มิอาจเป็นผู้บริสุทธิ์ไปได้
จุดนี้ง่ายต่อการเข้าใจนัก
กลุ่มอำนาจค้ามนุษย์นั่นคงไม่ปล่อยให้คนอื่นมาอาศัยอยู่ในละแวกนี้แน่
พลังจิตที่ไร้รูปร่างแผ่ขยายไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่นานก็รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในบ้านหลังนั้นได้ทั้งหมด
บ้านหลังนั้นเป็นเพียงบ้านธรรมดาๆ หลังหนึ่ง
ภายในบ้านมีคนสองคนคือหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีกำลังทำเรื่องอย่างว่ากันอยู่ ทว่าสิ่งที่ทำให้เจียงหลีแปลกใจก็คือสตรีที่ถูกกดอยู่ใต้ร่างนางนั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ อีกทั้งยังไม่ส่งเสียงราวกับว่านางเป็นหุ่นอย่างไรอย่างนั้น
ไม่นานบุรุษคนนั้นก็เสร็จกิจแล้วผละจากร่างสตรีนางนั้นออกมา
เจียงหลีดึงพลังจิตกลับมาแล้วกล่าวกับมู่ชิงเหยียนว่า “ไปกันเถอะ พวกเราเข้าไปดูกัน”
พอทั้งสองไปถึงนอกตัวบ้านก็ได้ยินเสียก่นด่าของบุรุษดังขึ้นไม่หยุด
“ไอ้พวกระยำ ให้ข้าอยู่เฝ้าที่นี่ไว้แล้วก็พากันไปเสวยสุขอย่างนั้นหรือ มารดามันเถอะ หน้าตาดีๆ ความสามารถดีๆ ล้วนถูกพวกมันเลือกไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่ของไร้ประโยชน์เช่นนี้ให้ข้า ข้าลำบากสร้างให้กลายเป็นหุ่น ก็ทำได้แค่เอาไว้ปลดปล่อย พลังต่อสู้อันใดก็ไม่มีแม้แต่น้อย”
ประโยคนี้คลุมเครือนัก
เจียงหลีถือโอกาสถีบประตูให้เปิดออกแล้วบุกเข้าไป
“ผู้ใดน่ะ” บุรุษในบ้านหันกลับมามองอย่างระมัดระวัง สตรีนางนั้นร่างกายเปลือยเปล่านอนอยู่บนเตียงไม่ขยับไหว นัยน์ตาก็ไร้แวว
การโจมตีของพลังจิตพุ่งเข้าโจมตีเขาราวกับเข็มเล่มเล็กๆ ที่ทิ่มแทงเข้าไปในสมองของเขาโดยตรง
“โอ๊ย!” บุรุษผู้นั้นกุมหัวกรีดร้องออกมา
มู่ชิงเหยียนเดินไปข้างเตียงโดยไม่สนใจสิ่งสกปรกตรงระหว่างขาของสตรีนางนั้น แล้วจ้องมองหน้านางด้วยความตกใจ “ข้าจำนางได้! นางคือคนที่อยู่ในเรือลำเดียวกันกับข้า!”
สีหน้าพลันเปลี่ยนแล้วตรวจลมหายใจของสตรีนางนั้น ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาด้วยความตกใจว่า “นางตายแล้ว!”