ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 9 ไม่อนุญาตให้แตะต้องตัวมัน
เจียงหลีเข้ามาในดินแดนตะวันตกซีฮวงเป็นครั้งแรกและไม่ค่อยเข้าใจในพลังและอำนาจของสำนักพรตเสวียนหมิง แต่ทว่าเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้ว นางก็รู้สึกถึงอิทธิพลของอำนาจในซีฮวง
“ธิดาสวรรค์ หลังจากเรือเทียบท่าแล้ว ท่านมิต้องสนใจผู้ใด เพียงท่านเข้าไปนั่งบนเสลี่ยงดอกบัวก็พอแล้วขอรับ” หันอวี้เอ่ยเตือนข้างๆ
เจียงหลีเบนสายตามองเขาครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาที่เดิม
เดิมทีนางวางแผนอาศัยเรือลำนี้เฉยๆ หลังจากถึงซีฮวงแล้วนางจะหาโอกาสหลีกหนีไป เรื่องจะเป็นธิดาสวรรค์แห่งสำนักพรตเสวียนหมิงหรือไม่ แม้หันอวี้จะยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ตัวนางเองชัดเจนดีอยู่แล้ว นางไม่ใช่ธิดาสวรรค์อะไรทั้งนั้น อีกอย่างนางก็ไม่ได้อยากเป็นธิดาสวรรค์อะไรนั่นอีกด้วย
แต่ทว่าสถานการณ์บนฝั่งตอนนี้กลับทำให้นางต้องล้มเลิกแผนการหลบหนีอย่างจนใจ
ภายใต้การจับตามองของทุกคน นางจะหาทางหนีทีไล่ได้อย่างไร
พับผ่าสิ…
เรือค่อยๆ ใกล้เทียบท่าเท่าใด เจียงหลีก็ยิ่งเห็นผู้คนบนฝั่งมืดฟ้ามัวดินชัดเจน ทันใดนั้นนางรู้สึกเหมือนขี่หลังเสือแล้วลงยากขึ้นมาทันที
ดูท่าทางแล้วคงทำได้เพียงลงไปดูสำนักพรตเสวียนหมิงก่อนก็แล้วกัน เมื่อไร้ความหวังในการหลบหนี เจียงหลีจึงทำได้เพียงเปลี่ยนแผนการชั่วคราวจากนั้นนางจึงย่างกรายไปทีละก้าว
“ธิดาสวรรค์ ใกล้ถึงแล้วขอรับ” เมื่อเรืออยู่ห่างจากฝั่งไม่ถึงสิบจั้งหันอวี้ก็เตือนนางอยู่ข้างๆ
เจ้าเปี๊ยกที่งีบหลับมนอ้อมแขนของนางรู้สึกถึงการเข้าใกล้ของเขา มันเลิกเปลือกตาขึ้นอย่างเซื่องซึมกวาดสายตาอย่างเย็นชาและหลับตาลงอีกครั้ง
ซี๊ด!
หันอวี้กะพริบตาและมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาที่หมองหม่น
ไม่รู้ทำไม ไม่กี่วันมานี้เขามักจะรู้สึกถึงอากาศที่หนาวเย็นอยู่รอบตัวเขาเสมอ ราวกับว่ามีใครบางคนบนเรือลำนี้กำลังอยากฆ่าเขาอยู่
ใครกัน ถ้าข้าจับได้จะจับเจ้าถลกหนังหักกระดูกแน่คอยดู! หันอวี้ที่กำลังมองหาเป้าหมายสาบานกับตนเองในใจ
เจียงหลีเฝ้าดูการเคลื่อนไหวบนฝั่ง หลังจากที่หันอวี้เอ่ยเตือน จากนั้นนางจึงกระโดดขึ้นกลางอากาศด้วยร่างเพรียวลมดั่งนกนางแอ่นแล้วเหาะไปทางริมฝั่งโดยที่ทิ้งตัวลงเสลี่ยงดอกบัวขนาดใหญ่ได้อย่างแม่นยำ
เท้าทั้งสองข้างของนางทิ้งตัวลงบนเสลี่ยงดอกบัวหมุนพลิ้วเรือนร่างก่อนจะนั่งขัดสมาธิบนนั้น ท่วงท่าอ่อนช้อยงดงามดั่งธารน้ำไหลทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกตระการตา
เมื่อนางเผยโฉมหน้าอันงดงามให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตามวลมนุษย์ แววตาตื่นตะลึงนับไม่ถ้วนเล็งมาที่นางเป็นตาเดียว
“ธิดาสวรรค์กลับมาแล้ว ทุกคนคุกเข่าต้อนรับ!”
คนที่คุกเข่าต้อนรับแบ่งออกเป็นสองข้างทางเผยให้เห็นถนนใหญ่ตรงกลาง
คนสิบคนแบกเสลี่ยงดอกบัวไปตามถนนใหญ่ท่ามกลางเสี่ยงโห่ร้องกึกก้อง ส่วนหันอวี้และคนอื่นก็ลงจากเรือทีละคนแล้วเดินตามเสลี่ยงดอกบัวของเจียงหลีอย่างมีสติรู้ตน
“ธิดาสวรรค์เชิญเสด็จ!”
“ธิดาสวรรค์เชิญเสด็จ!”
เหล่าสาวกที่นั่งคุกเข่าบนพื้นต่างพากันโห่ร้องตะโกน
เจียงหลีอุ้มเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่งเสลี่ยงดอกบัวแล้วกวาดสายตามองผู้คนที่กำลังนั่งคุกเข่า นางรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความเคร่งครัดในลัทธิที่มาจากใจจริง แต่ทว่ามันเหมือนกับการเชื่อฟังอย่างหนึ่งที่ไม่มีอำนาจต้านทานหลังจากถูกกดขี่
สำนักพรตเสวียนหมิงนี่ช่าง… แววตาเจียงหลีวูบไหว ไม่มีอะไรที่เหมือนกับหันอวี้และคนอื่นๆ ที่รู้สึกถึงชัยชนะในการแสดงความยินดีจากผู้ศรัทธา
เจียงหลีเก็บงำความคิดก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับอาคารบ้านเรือนทั้งสองข้างทาง
ที่นี่คือกำแพงคูเมืองของดินแดนทางตะวันตกซีฮวงหรือ ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับดินแดนทางใต้หนานฮวงเลย นางเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าอีกครั้งดูเหมือนก็ไม่มีอะไรแตกต่างกับหนานฮวงเช่นกัน
สิ่งเดียวที่อาจจะแตกต่างก็คือพลังวิญญาณในร่างกายของนางถูกระงับเอาไว้กำลังเคลื่อนที่หมุนเวียนพยายามทำลายอาณาเขตเล็กๆ
ตึง!
ดูเหมือนจะมีเสียงเบาๆ เกิดขึ้นในร่างกายของเจียงหลี
เดิมทีระดับการฝึกพำเพ็ญของนางอยู่ที่หลิงจงขั้นสาม ทันใดนั้นก็กลายเป็นหลิงจงขั้นสี่ซึ่งอยู่ในระดับฝึกเดียวกันกับหันอวี้
ราวกับว่ารู้สึกถึงลมปราณที่เปลี่ยนแปลงของนาง หันอวี้ที่เดินอยู่ข้างหน้าจึงเหลือบสายตามองเจียงหลีที่อยู่บนเสลี่ยงดอกบัวอย่างอดไม่ได้
ภายใต้การรู้สึกอย่างละเอียด ดวงตาทั้งคู่ของเขาหรี่ลงเล็กน้อยแล้วหันกลับไปมองโดยไม่พูดอะไรและอุทานในใจว่า นางคือธิดาสวรรค์อย่างแน่นอน เพิ่งจะเหยียบเข้ามาในอาณาเขตที่ควบคุมโดยสำนักพรตเสวียนหมิงแล้วขั้นของการฝึกฝนก็ทะลุทะลวงเยี่ยงนี้
เจียงหลีที่บรรลุขั้นการฝึกบำเพ็ญ หลังจากลมปราณสงบแล้วจึงแอบพูดในใจ สงสัยนี่คงจะเป็นข้อดีอย่างที่ซานเหล่าโถวได้กล่าวเอาไว้
เนื่องจากสูญเสียกลองศิลาจารึกที่หนานฮวง อาณาเขตฝึกฝนจึงถูกจำกัด
ฉะนั้นหลังจากเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้วการฝึกฝนจะค่อยๆ ช้าลงทั้งยังทะลุอาณาเขตยากมากอีกด้วย
แต่ทว่าเมื่อนางเข้าไปในบริเวณที่มีกลองศิลาจารึกสถิตอยู่ การฝึกบำเพ็ญของนางก็ไม่มีข้อจำกัดอีก การสั่งสมประสบการณ์ฝึกฝนก่อนหน้านี้จึงปะทุขึ้นทันที
แม้จะเป็นเพียงอาณาเขตเล็กๆ แต่ก้าวเล็กๆ เช่นนี้ใครหลายคนก็ต้องใช้เวลาหลายปีหรืออาจจะสิบกว่าปีถึงจะบรรลุ
…
เมื่อถูกคนแบกหามมาตลอดทาง เจียงหลีก็รู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่าเมื่อเห็นสำนักพรตเสวียนหมิงตั้งตระหง่านท่ามกลางขุนเขาและประตูเขาเสวียนเถี่ยสูงถึงร้อยจั้ง นางกลับรู้สึกไม่สบายเลยสักนิด
จากคำแนะนำของหันอวี้ สำนักพรตเสวียนหมิงตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาเหล่านี้โดยมีประตูเขาเสวียนเถี่ยเป็นทางเข้าออก
นางเงยหน้าขึ้นไปมองขุนเขาท่ามกลางม่านหมอกบางเบาก็จะเห็นว่ามีหมู่อาคารไม่น้อยที่สร้างขึ้นบนนั้น
เพียงแค่ขนาดก็ใหญ่เกินระดับของสถาบันไป๋หยวนแห่งหนานฮวงได้อย่างงายดาย
ไม่ควรประมาทในอำนาจอิทธิพลของดินแดนซีฮวง เจียงหลีอุทานในใจเงียบๆ
เมื่อมาถึงด้านในสำนักพรตเสวียนหมิงก็ไม่มีใครออกมาต้อนรับนางเยี่ยงนั้นอีก
หันอวี้และคนอื่นๆ พานางไปที่ตำหนักหนึ่งในสำนักพรตเสวียนหมิง สำนักพรตเสวียนหมิงแห่งนี้ดูเหมือนจะชื่นชอบสีดำเป็นพิเศษ ตั้งแต่ตัวอาคารเรือนไปจนถึงของประดับตกแต่งแทบจะเป็นสีดำทั้งหมด
แต่ทว่าคนในสำนักกลับสวมแต่ชุดอาภรณ์สีขาว
สีขาวดำนี่ให้ความรู้สึกเหมือนไว้ทุกข์
ตำหนักแห่งนี้ว่างเปล่าแทบไม่มีสิ่งใดเลย
เจียงหลียืนในนั้นเพียงผู้เดียว ส่วนพวกของหันอวี้ไม่รู้ไปแห่งหนใดแล้ว บางทีอาจจะกลับไปรายงานการปฏิบัติภารกิจกับผู้อาวุโสสักคนกระมัง
ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา
เจียงหลีหันกลับมาเห็นสาวใช้หกคนในชุดกระโปรงคาดอกทรงกระบอกสีขาวเดินเข้ามาหา ในมือของพวกนางถืออุปกรณ์ชำระล้างร่างกายและยังมีชุดกระโปรงสีขาวสะอาดอีกชุดด้วย
“ธิดาสวรรค์ พวกเราจะปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่านก่อนจะไปพบท่านประมุขเจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งหกคุกเข่าลงแสดงความเคารพเจียงหลี
เจียงหลีมิได้ขัดขืน เพียงแต่อุ้มเจ้าเปี๊ยกแล้ววางมันบนตั่งนอนในตำหนักเบาๆ จากนั้นจึงเอ่ยกับเจ้าเปี๊ยกที่กำลังหลับสนิท “รอข้าอยู่ตรงนี้อย่างเชื่อฟังนะ”
เมื่อสิ้นเสียงนางก็เดินไปหาพวกนาง
สาวใช้เหล่านี้ได้เห็นความน่ารักน่าชังของเจ้าก้อนขนก็อดมองด้วยสายตาชื่นชมไม่ได้ “เป็นเดรัจฉานน้อยที่น่ารักมากเจ้าค่ะ”
“น่ารักจังเลย!”
“เจ้าขนปุกปุย ข้าอยากอุ้มเหลือเกิน”
“…”
แน่นอนว่าเจียงหลีไม่ตอบสนองความต้องการนี้ของพวกนางหรอกนะ
แต่ทว่า…
เมื่อเจียงหลีอาบน้ำเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดกระโปรงสีขาวสะอาดที่ทางสำนักพรตเสวียนหมิงจัดเตรียมไว้ให้แล้วเดินออกมากลับเห็นสตรีเพิ่มมาสองคนที่สวมเสื้อผ้าเช่นเดียวกับนางอยู่ในตำหนักตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กำลังยื่นมือเข้าไปจะลูบเจ้าก้อนขนที่นอนอยู่บนตั่งเตียง
ทันใดนั้นดวงตาของเจียงหลีก็เฉียบคมแล้วโพล่งออกมาตะโกนว่า “ห้ามแตะต้องมัน!” ความรู้สึกแปลกเกิดขึ้นในใจของนาง มันคือสัญชาตญาณที่ไม่ต้องการให้สตรีคนไหนเข้าใกล้สัตว์เลี้ยงของนาง
เมื่อสิ้นเสียงนาง เจ้าเปี๊ยกที่กำลังหลับอยู่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาของหลิวหลีแฝงไปด้วยแผ่นน้ำแข็งเย็นเฉียบ
แม่นางทั้งสองถอยหลังไปสองก้าวเพราะความตกใจ
“เดรัจฉานน้อยนี้ดูน่ารัก แต่ทำไมพอลืมตาถึงได้น่ากลัวเยี่ยงนี้” หนึ่งในนั้นกุมมือที่ชักกลับมาของตัวเองแล้วเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
แต่แม่นางอีกคนกลับมองเจียงหลีด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก…