ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 91 พี่ชายข้าฆ่าคนเป็น
สายตาที่มองมาอย่างฉับพลัน ทำให้เจียงเฮ่าที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดถึงกับเนื้อตัวแข็ง และเกือบจะปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา
และในเวลานี้เอง มือเรียวเล็กที่ไร้กระดูกของไหวปี้ได้จับฝ่ามือขนาดใหญ่ของเขาไว้ เจียงเฮ่าขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ สะบัดมือออกโดยไม่ลังเล มองหน้านางและเตือนด้วยสายตา
“จุ๊ๆ!” ไหวปี้ทำท่าทางให้เขาเงียบ
เจียงเฮ่ามึนงงเล็กน้อย เขามองออกไปข้างนอกและเห็นหลิงจงของพวกหลีหุนจงค่อยๆ เดินใกล้เข้ามายังที่ซ่อนตัวของเจียงหลีและมู่ชิงเหยียน
สถานที่ๆ เจียงหลีและมู่ชิงเหยียนซ่อนตัวอยู่นั้นถือว่าลับตาคนมาก ณ เวลานี้ ความเงียบสงบนั้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลังจากหลิงจงผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้
ทันใดนั้น หลิงจงก็หยุดเดิน ยกมือขึ้นช้าๆ ชี้นิ้วออกมาจากแขนเสื้อกว้าง และแตะไปที่ต้นขาของศพสาวด้านข้างเบาๆ
ปลายนิ้วของเขาลูบไล้ผิวของศพสาวนั่นเล็กน้อย ทำให้รู้สึกสั่นสะท้านไม่น้อย
“เป็นวัสดุที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!” หลังจากนั้นไม่นาน เขาถอนหายใจเบาๆ
ศิษย์ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้และเหลือบมองศพสาวอย่างสงสัย ดวงตาของทั้งสองมีความสงสัยเช่นเดียวกัน หนึ่งในนั้นรวบรวมความกล้าและถามว่า “ท่านอาจารย์ที่เคารพ วัสดุนี้เรียกได้ว่าธรรมดาเท่านั้น”
อีกคนกล่าวต่อว่า “ใช่ ไม่ว่าจะวัดจากความงามหรือโครงกระดูก หรือแม้กระทั่งการถนอมรักษาท่ามกลางวัสดุเหล่านี้ ล้วนถือได้ว่าธรรมดานัก”
พวกเขาทั้งสองไม่เข้าใจ ซึ่งแม้แต่พวกเขายังมองเห็น ท่านอาจารย์จะมองไม่เห็นได้อย่างไร ในเมื่อมองเห็นแล้ว ทำไมถึงบอกว่าศพสาวนี้เป็นวัสดุชั้นเยี่ยมเล่า
หรือว่าในร่างของศพสาวนี้มีอะไรที่พวกเขามองไม่เห็น
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ศิษย์ทั้งสองของหลีหุนจงเดินเข้าไปใกล้และมองดูศพสาวอย่างระมัดระวัง
พวกเขาไม่ทันสังเกตว่าแม้ท่านอาจารย์ของพวกเขาจะดูเหมือนกำลังพูดถึงศพสาวนี้ แต่ดวงตาของเขากลับจ้องมองไปยังสถานที่ที่หนึ่งของด้านหน้า
เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์ทั้งสอง หลิงจงไม่มีคำอธิบายใดๆ แต่มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูแปลกตา
ทันใดนั้น เขาหุบยิ้มและกำชับศิษย์ทั้งสองว่า “ยังไม่รีบส่งวัสดุไปที่ห้องฝึกของข้าอีก”
“ขอรับ!”
“ขอรับท่านอาจารย์ที่เคารพ”
ทั้งสองรีบพยักหน้า ขจัดความอยากรู้อยากเห็นในใจ และช่วยกันยกศพสาวออกจากถ้ำไป
หลิงจงของหลีหุนจงเดินตามหลังพวกเขา แต่ในระหว่างที่เขาจะก้าวเท้าออกจากทางเข้าถ้ำ เขาหันหน้ากลับมาอย่างมีเลศนัยและมองไปที่ที่เจียงหลีและมู่ชิงเหยียนซ่อนตัวอยู่
จากนั้นทั้งสามคนก็เดินออกจากถ้ำพร้อมกับศพสาว และเสียงฝีเท้าก็ได้จางหายไป
หลังจากแน่ใจว่าคนเหล่านี้ออกไปแล้ว เจียงเฮ่ารีบออกจากที่ซ่อน และไม่ลืมที่จะมองกลับมาพร้อมกับอุทานด้วยความรังเกียจ
แววตาที่เย็นชานั้น ราวกับว่าเขาอยากจะฆ่าปีศาจสาวไหวปี้ก็ไม่ปาน
เจียงหลีและมู่ชิงเหยียนเดินออกจากความมืดในเวลาเดียวกัน มู่ชิงเหยียนมองไปที่เจียงเฮ่าด้วยสีหน้าที่สับสน และชำเลืองตามองไหวปี้ที่บิดเอวเดินออกมาจากที่แคบอย่างช้าๆ สุดท้ายนางได้แต่กัดริมฝีปากโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“อาหลี” เจียงเฮ่าเดินไปหาน้องสาว “เมื่อชั่วครู่ เขามองเห็นพวกเจ้าหรือไม่” หากมองไม่เห็น ทำไม คำพูดนั้นมีความหมายอื่นแฝงอยู่ด้วย หากมองเห็น ทำไมถึงไม่เปิดโปงพวกนาง สิ่งนี้ทำให้เจียงเฮ่าไม่เข้าใจ
เจียงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อยและครุ่นคิดชั่วครู่ “ลองตามไปดูกัน”
นางแน่ใจว่าหลิงจงจากหลีหุนจงมองเห็นนางและมู่ชิงเหยียน แต่เขาเลือกที่จะไม่พูด ทำให้นางอยากจะทราบสาเหตุ
“อยากไป พวกเจ้าก็ไปกันเองเถิด งานของข้าเสร็จแล้ว ข้าจะกลับแล้ว” ไหวปี้ปัดชุดของนางและพูดด้วยเสียงเรียบ
“พึ่งไม่ได้จริงๆ ด้วย” เจียงเฮ่าเหลือบมองหน้านางอย่างเหยียดหยาม
ไหวปี้เงยหน้า กะพริบตาให้เขา แล้วพูดอย่างไร้เดียงสาว่า “เจ้าไม่ชอบข้า ทำไมข้าต้องปล่อยให้เจ้าพึ่งพาด้วย จะให้เจ้าเอาเปรียบอย่างนั้นหรือ” หลังจากนั้นพูดจบ นางไม่ลืมที่จะส่งสายตาหวานไปที่เขา
“ไร้ยางอายสิ้นดี!” ใบหน้าของเจียงเฮ่าเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
น้ำเสียงที่คลุมเครือของนาง ทำให้คนคิดไปในทางที่ไม่ดีได้ง่าย สิ่งนี้ทำให้เจียงเฮ่ามองไปทางมู่ชิง
เหยียนโดยไม่รู้ตัว แต่กลับมองเห็นนางยืนนิ่งอยู่กับที่โดยแยกไม่ออกว่ากำลังมีความสุขหรือโกรธอยู่กันแน่
“นางฟ้าไหวปี้ร่วมเดินทางกับพวกเราต่อเถิด หากพวกเราเปิดเผยที่อยู่ของแม่นางโดยไม่ได้ตั้งใจ มันจะดูไม่ดี” เจียงหลียิ้มมุมปาก แต่ดวงตากลับเปล่งประกายด้วยแสงที่มิอาจขัดขืนได้
ร่างกายของไหวปี้เริ่มแข็งทื่อ การแสดงออกผิดธรรมชาติไปเล็กน้อย
พวกเจียงหลีทั้งสามรู้ตื้นลึกหนาบางของนางหมดแล้ว แต่นางกลับไม่รู้ความเป็นมาของพวกเขาทั้งสามเลย หากคนของหลีหุนจงรู้ว่าคนของวังเวิ่นฉิงสืบมาถึงที่นี่ พวกเขาคงต้องฆ่านางปิดปากเป็นแน่
ใบหน้าของไหวปี้หวาดระแวง สุดท้ายทำได้เพียงโกรธเกลียดในใจและกระทืบเท้าใส่เจียงหลีด้วยความเคียดแค้น “ชาติที่แล้วข้าคงติดหนี้เจ้า”
เจียงหลียิ้ม “ชาตินี้อย่าลืมตอบแทนด้วยล่ะ”
พอพูดจบ นางหันหลังเดินออกจากปากถ้ำก่อน พลังจิตของนางได้ตามติดพวกเขาทั้งสาม จึงไม่กลัวว่าจะหลงทาง
เมื่อมองเห็นน้องสาววิ่งออกไปเป็นคนแรก เจียงเฮ่ารีบตามออกไปทันที และดึงน้องสาวไว้ที่ด้านหลัง “ตามข้ามา”
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างจนปัญหา “เจ้ารู้ว่าพวกเขาไปที่ไหนหรือ”
“…” เจียงเฮ่าพูดไม่ออก
สุดท้ายสองพี่น้องเดินเคียงข้างกันไป
มู่ชิงเหยียนวิ่งตามออกไปเช่นกัน แต่ก่อนเดินจากไป นางได้จ้องเขม็งไปที่ไหวปี้
เพียงแค่ชำเลืองตามองเท่านั้น ไหวปี้ก็ยิ้มพึมพำ “ช่างเป็นคู่ที่น่าสนใจยิ่งนัก”
ทั้งสี่คนอยู่ในหลีหุนจงโดยปราศจากการขัดขวาง เพราะอาศัยพลังจิตของเจียงหลี จึงรู้หนทางหลบหลีกผู้เฝ้ายามของหลีหุนจงไปได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าเรื่องนี้ดึงดูดสายตาที่แอบมองของไหวปี้ไว้ไม่ได้ แต่เจียงหลีกลับเพิกเฉย
“นี่คือสาขาของหลีหุนจง คนผู้นั้นน่าจะเป็นผู้รับผิดชอบของที่นี่” ไหวปี้กระซิบ
ดวงตาของเจียงหลีตึงเครียดเล็กน้อย
ผู้รับผิดชอบหรือ
คนที่พูดคุยกับคนของร้านอวี๋หลงและถูกชายผู้นั้นเรียกว่าสหายฟาง มีตำแหน่งอะไรในสถานที่แห่งนี้
“ที่ตั้งของเมืองซู่หยาห่างไกลนัก ขุมกำลังของหลีหุนจงจึงมีขนาดเล็กมาก มีเพียงเหล่าลูกศิษย์ชายขอบเท่านั้น เจ้าวางแผนจะกลืนกินที่นี่หรือ” ไหวปี้มองไปที่เจียงหลีและกะพริบตา
แต่เจียงหลีกลับหันกลับมายิ้มให้นาง โดยไม่ตอบคำถามนาง
ดวงตาของไหวปี้เป็นประกาย เร่งฝีเท้าสองก้าวและเดินข้างเจียงหลี นางเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนของเจียงเฮ่าและกระซิบว่า “ในร้านอวี๋หลง น้องสาวเป็นคนวางแผนทำร้ายข้าใช่หรือไม่”
“ข้าไม่ใช่น้องสาวเจ้า อย่าเรียกข้าเช่นนี้อีก ระวังปากจะพาซวย” เจียงหลีหรี่ตายิ้ม
ไหวปี้กัดริมฝีปากและมองดูนางด้วยความโกรธ อายุยังน้อยชัดๆ กลับรับมือได้ยากเย็นเหลือเกิน ยังจะมาพูดว่าร่วมมือ แต่กลับพูดตะล่อมนางตลอดเวลา “พวกเจ้าปฏิบัติกับข้าเยี่ยงนี้ ไม่กลัววังเวิ่นฉิงจะเล่นงานพวกเจ้าหรือ”
“พวกเราปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร ไม่มีใครด่า ไม่มีใครทุบตีเจ้า มีแต่จะให้เจ้าอยู่ดีกินดี และไม่ได้มัดเจ้าไว้ หรือว่าวังเวิ่นฉิงจะเป็นที่ที่ไม่ฟังเหตุผลอย่างนั้นหรือ” เจียงหลีจงใจมองหน้านางด้วยท่าทางประหลาดใจ
ไหวปี้ถูกแดกดันจนดวงตาลุกเป็นไฟ “ข้าคิดว่าเจ้าเหมือนกับปีศาจสาวมากกว่าหญิงสาวของวังเวิ่นฉิงเราเสียอีก”
“จุ๊ๆ ” เจียงหลียกเอานิ้วขึ้นมาวางไว้ที่ริมฝีปากเบาๆ และพูดเตือนอย่างใจดี “หากเจ้าพูดว่าข้าเป็นปีศาจสาวอีกครั้งล่ะก็ หึ พี่ชายข้าฆ่าคนเป็นจริงๆ นะ และเขาก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรคือบุรุษควรทะนุถนอมอ่อนโยนต่อ สตรี”