ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 92 ตามไปดูการปลุกเสกหุ่นศพ
ทันทีที่เสียงพูดของเจียงหลีจบลง เจียงเฮ่าก็ร่วมมือทันทีโดยมองไปที่ไหวปี้เอย่างเย็นชา
ไหวปี้ เงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองเขา แล้วยิ้มเยาะ “ใช่ พี่ชายของเจ้าคนนี้ ข้าเคยเจอมากับตัวแล้ว เรียกได้ว่าเป็นท่อนไม้ที่ยังไม่โตเต็มที่
มุมปากของเจียงหลียกขึ้น กลั้นยิ้ม เพราะนางเห็นด้วยกับไหวปี้
หลังจากพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยไปหลายประโยค เจียงหลีได้พาพวกเขาทั้งสามมาถึงห้องฝึกของหลิงจงผู้นั้น ขณะเดียวกัน นางใช้พลังจิตค่อยๆ ปกคลุมอาณาบริเวณของสาขาหลีหุนจงอย่างเงียบๆ การเปลี่ยนแปลงของทุกแห่งจะถูกส่งกลับไปยังสมองของนางทันที
ไม่มีใครอยู่ในห้อง
มีเพียงศพผู้หญิงที่ถูกเคลื่อนย้ายมาเท่านั้นและนอนนิ่งอยู่ข้างใน
“คนล่ะ” มู่ชิงเหยียนถามเสียงเบา
ดวงตาของเจียงหลีเป็นประกาย โดยไม่ได้บอกกับนางว่าหลังจากที่หลิงจงกลับมายังห้องฝึก เขาได้พาคนกลับไปที่ถ้ำเก็บศพและต้องการปิดล้อมพวกนาง
ถือว่าระมัดระวังตัวอย่างมาก
น่าเสียดายที่ช้าไปหนึ่งก้าว ตอนนี้พวกนางมาถึงที่นี่แล้ว
“หาที่ซ่อนก่อน” เจียงหลีพูดกับทั้งสาม
นางอยากรู้จริงๆ ว่า พวกหลีหุนจงเสกศพให้เป็นหุ่นเชิดได้อย่างไร
ห้องฝึกนี้มีของใช้ไม่มาก ศพหญิงสาวถูกวางกลางพื้น ข้างหน้ามีที่รองนั่งสำหรับฝึกฝนวิทยายุทธ์ และมีชั้นวางที่เต็มไปด้วยขวดอยู่รอบๆ โดยไม่รู้ว่าใส่อะไรไว้ในนั้น
นอกจากนั้น ยังมีโลงศพห้าโลงวางพิงกำแพงในห้อง
เจียงหลีใช้พลังจิตกวาดมอง และเดินตรงไปเปิดฝาโลงหนึ่งในนั้น การกระทำนี้ทำให้ไหวปี้ถึงกับสะดุ้ง แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยถาม นางได้ปิดปากของตนหลังจากเห็นสภาพในโลงศพ
“ว่างเปล่า” เจียงเฮ่ารีบเดินไปข้างๆ เจียงหลี
เจียงหลีมองสำรวจไปยังโลงศพที่ว่างเปล่า ริมฝีปากยกยิ้มขึ้น “นี่เป็นที่หลบซ่อนที่ไม่เลวเลยทีเดียว”
“ซ่อนในโลงศพหรือ” สีหน้าของไหวปี้ค่อนข้างอึดอัดใจ
เจียงหลีเดินตรงไปที่โลงศพและปิดฝาโลงศพโดยไม่พูด เหลือเพียงช่องว่างเล็กน้อยพอให้มองเห็นข้างนอก
เจียงเฮ่าและมู่ชิงเหยียนทำตามทันที โดยเดินตรงไปที่โลงศพด้านซ้ายขวาของนาง เปิดฝาโลงศพแล้วซ่อนตัวในนั้น
ไหวปี้ดิ้นรนชั่วครู่ ทำได้เพียงกระทืบเท้าอย่างหมดทางเลือก และเลือกโลงศพที่ว่างเปล่าและซ่อนตัวอยู่ในนั้นเช่นเดียวกับพวกเขา
หลังจากซ่อนตัวเสร็จไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก ทั้งสี่สังเกตการณ์ผ่านช่องว่างของฝาโลงและมองเห็นหลิงจงผู้นั้นกลับมาพร้อมกับลูกศิษย์ของเขา
อย่างไรก็ตาม ด้านหลังของพวกเขามีศพหญิงสาวห้าศพที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกและท่าทางแข็งทื่อเดินตามเข้ามาด้วย
ศพสาวทั้งห้านี้ทำให้คนทั้งสี่ในโลงศพยกเว้นเจียงหลีรู้สึกขนลุกซู่ทันที ไม่จำเป็นต้องใช้สมอง พวกเขาต่างคาดเดาได้ว่าตอนนี้พวกเขาแย่งที่ของใครอยู่
ศพสาวทั้งห้าสวมชุดเกราะรัดรูป ปกคลุมอวัยวะสำคัญ แต่ก็ได้เปิดเผยอวัยวะบางส่วน ทำให้มองเห็นผิวหนังที่ไร้สีเลือดอย่างชัดเจน นอกจากเสื้อเกราะแล้วยังมีโซ่บางๆ พันไว้ ซึ่งดูกล้าหาญยิ่งนัก เมื่อเทียบกับศพสาวหลายศพที่เจียงหลีเคยเห็นในร้านอวี๋หลงแล้ว ดูมีพลังกว่ามาก
“ท่านอาจารย์ที่เคารพ ในถ้ำเก็บศพมีคนนอกลักลอบเข้ามาจริงๆ หรือ” ทันที่เดินเข้ามา ศิษย์คนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย
หลิงจงแห่งสำนักหลีหุนอุทานอย่างไม่พอใจ “การรับรู้ของข้าไม่มีทางผิด มีกลิ่นหอมสดชื่นของสตรีอยู่ในนั้น และกลิ่นนั้น..” สีหน้าของเขากำลังเคลิบเคลิ้ม “มันยอดเยี่ยมมาก!”
“แต่เมื่อพวกเราไปถึงที่นั่น กลับไม่พบใครเลย! ” อีกคนเอ่ยขึ้น
ดวงตาของเขาเย็นชาขึ้น “แล้วทำไมพวกเจ้าถึงไม่นำคนไปค้นหา ค้นสถานที่ทั้งหมดอย่างละเอียด ถึงขั้นต้องขุดดินหา ก็ต้องหาให้พบจนได้”
“ขอรับ”
ศิษย์ทั้งสองรีบตอบรับ
หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “ศิษย์ให้หุ่นทั้งห้ากลับไปก่อน” ขณะที่เขาพูด เขาได้เดินไปทางโลงศพทั้งห้า
การเคลื่อนไหวของเขา ทำให้คนทั้งสี่ในโลงศพตึงเครียดทันที และรีบรวบรวมพลังวิญญาณ เพื่อเตรียมรบให้ได้ทุกเวลา
อย่างไรก็ตาม เขาก้าวเดินได้เพียงสองก้าว ก็ถูกท่านอาจารย์รั้งไว้
“ยังหาคนไม่เจอเลย จะให้เข้าไปทำไม ให้พวกนางอยู่ที่นี่ทำหน้าที่แทนพวกเจ้า ช่วยข้าคุ้มกัน ข้าจะเสกหุ่น” หลิงจงของสำนักหลีหุนจงกล่าว
“ขอครับท่านอาจารย์” ลูกศิษย์ถอยออกไป
ทั้งสองออกจากห้องฝึก ปล่อยหลิงจงและศพสาวทั้งห้าไว้เพียงลำพังในห้อง
ในเวลานี้ เจียงหลีเข้าใจว่าทำไมนางเก็บลมปราณแล้วยังถูกหลิงจงนั่นค้นพบในถ้ำเก็บศพที่นางซ่อนตัวอยู่ เพราะนางและมู่ชิงเหยียนมีกลิ่นของหญิงสาวติดตัว ทำให้เขาสัมผัสได้
แต่ทำไมเขาถึงไม่พบว่าพวกเราซ่อนตัวอยู่ที่นี่ในตอนนี้ เจียงหลีงุนงง
ทันใดนั้น นางนึกขึ้นได้ว่าโลงศพที่นางซ่อนตัวเป็นที่อยู่ของหุ่นศพสาวเหล่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป โลงศพได้เต็มไปด้วยกลิ่นของซากศพ กลบกลิ่นของคนที่มีชีวิต อย่างน้อยที่สุดก็ถูกทำให้จางลงจนหลิงจงสัมผัสไม่ได้
ขณะนี้ นอกโลงศพ หลิงจงได้เดินไปที่รองนั่งและนั่งลง โดยมีหุ่นศพสาวทั้งห้าล้อมรอบเป็นวงกลมคอยเฝ้าให้เขาอยู่
เขามองดูศพสาวตรงหน้าและพูดด้วยความรังเกียจว่า “วัสดุเช่นนี้ มันเปลืองพลังของข้าในการปลุกเสกหุ่นเชิดจริงๆ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณสมบัติจะธรรมดา แต่ก็ยังดีที่หุ่นดี ปลุกเสกสักนิด อยู่ปรนนิบัติข้างกายก็ไม่เลว”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ คนทั้งสี่ในโลงต่างผุดความคิดคนละอย่างขึ้น
มู่ชิงเหยียนโกรธเคือง เจียงเฮ่าคือจิตสังหาร ไหวปี้เย็นชา และเจียงหลีคือ…จดบันทึกหนี้ชีวิตในนามของหลีหุนจงไว้แล้ว
ในระหว่างที่นางยังไม่รู้ถึงเหตุการณ์นี้ ไม่รู้ว่ามีราษฎรของนางกี่คนแล้วที่ถูกหลีหุนจงฆ่าอย่างไร้ความปรานี ถ้าไม่ใช่เพราะมู่ชิงเหยียนที่ค้นพบอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่แน่ผู้หญิงอาจจะตกเป็นเหยื่อมากขึ้น ส่วนนางในฐานะจักรพรรดินีจยาเซียนแห่งดินแดนหนานฮวง กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ในห้องเงียบสงบลง
เสียงค้นหาจากด้านนอกดังมาก แต่ไม่กระทบต่อห้องฝึกนี้
มือทั้งสองของหลิงจงแห่งหลีหุนจงร่ายกระบวนท่า แสงสลัวรอบตัวเขาลอยไปมาดั่งไฟปีศาจก็ไม่ปาน ทำให้อุณหภูมิภายในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น เขาบีบเลือดจากนิ้ว เขียนยันต์กลางอากาศ
ยันต์กระดาษที่แปลกประหลาด ค่อยๆ ปรากฏขึ้นและเผยให้เห็นแสงสีเลือดของปีศาจอันชั่วร้ายที่ราวกับตาข่ายขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงไปทางศพผู้หญิงบนพื้น
ฟึบ...!
ยันต์สีเลือดประดุจตาข่ายยักษ์ตกลงบนศพสาวและคลุมนางทั้งตัว
แสงสีเลือดของปีศาจส่องประกายบนเลือนร่างของนางตลอดเวลา
ทันใดนั้น พลังวิญญาณของหลิงจงราวกับคลื่นยักษ์โหมเข้าใส่ศพผู้หญิง พลังวิญญาณที่ไร้รูปร่างเมื่อสัมผัสศพสาวนั่น ได้กลายร่างไฟปีศาจ ห่อหุ้มศพสาวไว้
หลิงจงปลดปล่อยพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วย “เปลวไฟ” ปลุกเสกศพผู้หญิง
ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความมืดอันเยือกเย็น เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด ลมกรรโชกแรงเป็นระยะๆ และเสียงสายลมแผ่วเบาราวกับภูตผีกำลังร้องไห้ ทำให้รู้สึกสยดสยองนัก
ไสยศาสตร์!
นี่คือความคิดของคนทั้งสี่ในโลงที่ผุดขึ้นในเวลาเดียวกัน
“เฮือก! ” หลิงจงตะโกนเสียงทุ้มต่ำ
แสงสีสลัวที่ห่อหุ้มศพผู้หญิงนั้นยิ่งเด่นชัดมากขึ้น ภายใต้การปลุกเสกนั้น รอยเลือดที่ปกคลุมร่างกายของนางค่อยๆ ซึมซับเข้าสู่ผิวของนาง…