ราตรีสวัสดิ์ เซอร์อาเรส! - บทที่ 509
ราตรีสวัสดิ์ เซอร์อาเรส! บทที่ 509
โรสมองดูฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและพูดว่า “ฝนตกหนักมาก วันนี้เขาคงไม่มาตั้งร้านหรอก ว่าไหม?”
เมื่อได้ยินคำถามของเธอ โจเซฟินก็ตอบทันทีว่า “ฉันได้ถามเขาก่อนหน้านี้แล้ว เขาบอกว่ามาตอนไหนก็ได้ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก เขายังคงตั้งแผงขายของอยู่ตรงที่สะพานสายรุ้งตามเวลาเดิมอยู่แล้ว”
โรสพูดอย่างรู้สึกสงสาร “เขาเป็นคนขยันและกล้าได้กล้าเสียจริง ๆ”
“พี่แองเจลีน ในเมื่อเธอกังวลการทำงานของเขาในวันนี้ งั้นเราจะชวนเขาไปทานอาหารมื้อใหญ่ระหว่างที่เราถึงที่นั่นดีไหม? ในเมื่อเขาช่วยเราได้มากในช่วงเวลานี้อยู่แล้วน่ะ”
โรสคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “งั้นก็ตัดสินใจตามนั้นเลยแล้วกัน ไปกันเถอะ”
ณ สะพานสายรุ้งเป็นสะพานที่มีหลังคาสไตล์โบราณที่งดงามและหรูหราที่สุดในเมืองอิมพีเรียล ตัวสะพานมีขนาดใหญ่และยาว ภาพสะท้อนของส่วนโค้งครึ่งวงกลมที่ด้านล่างของตัวสะพานที่เชื่อมต่อกับผิวน้ำ ก่อตัวเป็นวงกลมที่สมบูรณ์ เมื่อมองไปรอบ ๆ โครงสร้างที่เป็นวงกลมนั้นดูแข็งแรงเป็นพิเศษ
ถนนที่ทอดยาวและทางสะพานเปิดโล่งของถนนสองสายตรงบริเวณนั้นและตรงกลางบริเวณระแวกนั้นเป็นกลุ่มของอาคารสไตล์โบราณที่ซับซ้อน ด้านในมีส่วนที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวซึ่งจุดนั้นถูกจัดให้กับพ่อค้าต่าง ๆ ที่ขายของที่ระลึกทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของเมือง
อาจเป็นเพราะเป็นวันที่ฝนตก สะพานสายรุ้งจึงไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านเหมือนในทุกวันนี้ที่ปกติแล้วมักจะคึกคักและมีชีวิตชีวา
ถัดจากอาคารโบราณออกไป ตรงจุดนั้นมีรูปแบบโครงสร้างของห้องกระโจม มีร้านจัดวางฟิล์มมือถือรุ่นต่าง ๆ ไว้บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อยู่
มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งสวมชุดลำลองสีดำหลวม ๆ และหมวกปีกกว้าง มีปีกขนาดใหญ่ คลุมหัวของเขาปิดส่วนใบหน้าไปครึ่งหนึ่งทำให้คนที่เดินบนถนนไม่สามารถมองเห็นดวงตาของเขาได้เลย
ไม่ว่าเสื้อผ้าจะปกติแค่ไหนก็ไม่สามารถปกปิดรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาตามธรรมชาติของเขาได้ นั่นทำให้เขาสามารถที่จะใส่เสื้อผ้าแบบใดก็ได้ เพราะรูปร่างของเขาราวกับหุ่นสวมผ้าที่ดูสมบูรณ์แบบ แม้แต่ส่วนหลังของศีรษะที่ไม่มีส่วนหมวกปิดบังเอาไว้ก็ยังสมบูรณ์แบบจนผู้คนไม่สามารถละสายตาจากเขาไปได้เลย
โรสและโจเซฟินคล้องแขนกันเดินขึ้นไปที่สะพาน
โจเซฟินต้องการให้โรสและพี่ชายเจอกันแล้วได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ดังนั้นเธอจึงหาข้ออ้างที่จะเดินจากไปจากบริเวณนั้น “พี่แองเจลีน เราควรแยกกันหาเขานะ!”
โรสพยักหน้า “ได้สิ”
เมื่อแยกย้ายกัน เพื่อจะให้พ้นจากการละสายตาโรส โจเซฟินวิ่งหลบไปทางด้านซ้ายของสะพานที่มีหลังคา ส่วนโรสก็รีบเดินไปทางขวา
สะพานที่มีหลังคาเต็มไปด้วยป้ายอธิบายประวัติศาสตร์หลายร้อยปีและบันทึกการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของเมืองอิมพีเรียล ซึ่งเป็นมหานครระหว่างประเทศที่เฟื่องฟูหรูหราที่สุด นอกจากนี้ยังบันทึกช่วงเวลาที่ดีที่สุดของแองเจลีนและเจย์ไว้ด้วย
ในขณะนี้โรสหลงรักฉากนี้และย้อนกลับไปนึกถึงฉากที่เจย์และเธอเดินทางไปเมืองอิมพีเรียลเมื่อตอนที่เธอยังเด็ก
ช่วงเวลาในวัยเด็กระหว่างนั้น ขาเรียวยาวของเขาเดินไปข้างหน้าเธออย่างช้า ๆ ในขณะที่ขาสั้นของเธอรีบเดินตามอยู่ข้างหลังเขา เธอเหนื่อยมากและเริ่มเห็นภาพหลอน
เมื่อนึกย้อนไปช่วงเวลานั้น ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันจะทำยังไงถ้าฉันหลงทางน่ะ?”
“เธอดูน่าเกลียดมาก แล้วใครจะต้องการเธอล่ะ?” เขาหันไป ปากของเขาที่พูดออกมาช่างหยาบคาย แต่ดวงตาของเขาดูอ่อนโยนมาก
แองเจลีนรีบโต้กลับในที่สถานการณ์นั้นโดยกล่าวว่า “ฉันเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในชั้นเรียนตอนนี้เลยนะ ไม่ใช่สิ ฉันเป็นคนสวยของโรงเรียนต่างหาก นายจะมาเรียกฉันว่าขี้เหร่ได้ยังไง? ฉันขี้เหร่ตรงไหน? ไปเอาปากกามาวง” เธอเดินไปข้างหน้าเขาอย่างโกรธเคืองและเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเย่อหยิ่งและด้วยท่าทางที่ไม่ยอมใครง่าย ๆ
เจย์ลูบหัวของเธอราวกับทำเหมือนว่าเธอเป็นลูกแมวหรือลูกหมาน้อยให้สงบลง “หน้าตาดีไปก็ไร้ประโยชน์ มาตรฐานความงามคือต้องมีสัดส่วนโค้งทั้งด้านหน้าและหลังอย่างสมบูรณ์แบบ หากไม่มีทั้งสองอย่าง เธอต้องกินเยอะ ๆ กว่านี้รู้ไหม?
ตั้งแต่นั้นมา ปัญหาเรื่องการกินของแองเจลีนในวัยที่มีอายุมากขึ้นก็ดีกว่าเมื่อก่อนโดยไม่ต้องใช้ยามาช่วยคุม
แต่ในขณะนั้น แองเจลีนยังคงลากแขนของเขาด้วยการแสดงสีหน้าอย่างไม่พอใจและพูดว่า “ฉันแค่กลัวว่านายจะไม่สามารถดูแลฉันได้ถ้าฉันกินมากเกินไปต่างหาก”
เจย์อดยิ้มไม่ได้ แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ถ้าอย่างนั้น ดูเหมือนว่าฉันคงต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อหาเงินเลี้ยงภรรยาแล้วสินะ”
จากนั้นเขาก็หมอบลง ปล่อยให้แองเจลีนปีนขึ้นไปบนหลังของเขา
ขณะที่โรสคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ รอยยิ้มที่สงบและมีความสุขก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ
เครื่องประดับหยกที่สวยงามวางขายอยู่บนสะพานฝั่งที่มีหลังคาปกคลุม โรสไม่ชอบหยกแบบสมัยโบราณ เพราะอย่างแรกที่เธอคิดคือ เธอเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย ดังนั้นหยกจึงเป็นของธรรมดา อย่างที่สองคือ เธอรู้สึกว่าหยกนั้นบอบบาง เป็นเพราะมันเหมือนจิตใจของเธอที่เปราะบาง เธอจึงรู้สึกว่ามันเป็นลางไม่ดีสำหรับตัวเธอเอง