ราตรีสวัสดิ์ เซอร์อาเรส! - บทที่ 7
เจย์ฉุดโรสให้ลุกขึ้นแล้วโยนเธอลงไปใต้โต๊ะ เขาดึงไทด์สีน้ำเงินของเขาออกแล้วใช้มันมัดแขนของเธอไว้กับขาโต๊ะ
จากนั้นเขาก็คว้าผ้าขี้ริ้วบนโต๊ะขึ้นมา และใช้มันอุดปากของโรส
สิ่งที่โรสพอจะทำได้คือการใช้สองเท้าของเธอถีบเจย์อย่างต่อเนื่อง
โชคไม่ดีเท่าไหร่ การดิ้นรนของเธอไม่ค่อยมีประโยชน์นัก จากความแตกต่างด้านความแข็งแรงของทั้งสองที่มากเกินไป
ด้วยความที่เหยื่อของเขาถูกพันธนาการไว้แล้ว เจย์แสยะยิ้มขึ้น “โรส เธอควรจะซื่อสัตย์กับฉันนะ” เขาเตะเข้าที่ขาสั้น ๆ ที่สั่นระริกของเธออย่างป่าเถื่อน
หลังจากสะใจจนพอหอมปากหอมคอแล้ว เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างสบายใจแล้วโทรหาเจ้าหนุ่มน้อยของเขา
โรสถูกทิ้งไว้พร้อมกับผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิง ชุดที่ฉีกขาด และท่อนขาที่เคยขาวเนียนก็ถูกแทนที่ด้วยรอยฟกช้ำ
เธอจ้องมองไปที่เจย์ด้วยความไม่พอใจ และส่งเสียงครวญครางแสนอู้อี้จากปากที่ถูกอุดไว้ของเธอ ยังไงก็ตาม เธอไม่ได้ร้องไห้หรืออะไรทำนองนั้นเลย
เสียงโหยหวนที่ฟังไม่รู้เรื่องของเธอ ความจริงแล้วมันคือสารพัดคำด่าที่มอบให้เจย์ อย่างการสาปแช่งให้เขาถูกรถชนตอนอยู่ที่ถนน หรือถูกคลื่นสึนามิกลืนหายไปเมื่อเขาอยู่ที่ทะเล และแม้แต่แช่งให้เครื่องบินที่เขานั่งถูกพายุทอร์นาโดดูดเข้าไป
ทันใดนั้น เสียงเล็กๆและสุขุมของเด็กก็ดังสะท้อนออกมาจากโทรศัพท์ของเจย์
“คุณพ่อ!”
โรสพลันเงียบลงทันที
ดวงตาแดงก่ำของเธอจ้องเขม็งไปที่โทรศัพท์ของเจย์
เจย์แสดงการดูถูกผ่านท่าทางของเขาใส่โรส ปกเสื้อของเขาห้อยลงมาหลังจากที่เขาถอดไทด์ออกไป เผยให้เห็นช่วงลำคออันแสนเซ็กซี่ของเขา
จริงๆแล้วโรสจ้องไปที่โทรศัพท์มือถือ แต่ในสายตาของเจย์ มันดูเหมือนว่าโรสจ้องที่แผงอกของเขาแทน
เจย์พลันนึกไปถึงคืนนั้นเมื่อห้าทีก่อน
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวพร้อมกับมองไปที่เธออย่างเย็นชา
“ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญ อย่ารบกวนพ่อ พ่อกำลังยุ่ง” เจนสันตอบอย่างไม่แยแสหลังจากที่เจย์เงียบไปนาน
ในขณะที่เจนสันกำลังจะวางสาย เจย์ ผู้ซึ่งรู้จักลูกชายของเขาเป็นอย่างดีก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “งั้นลูกก็ทำอาหารกลางวันเองแล้วกันวันนี้”
“ไม่เอา!”
หลังจากคำพูดสุดท้าย เสียงปิ๊บจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อนจะเงียบลง
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเจย์ก็พลันดำมืดลงยิ่งกว่าท่านเปาปุ้นจิ้นเสียอีก
ในโลกใบนี้ มีเพียงเจนสันเท่านั้นที่กล้าวางสายใส่เจย์ อาเรส ด้วยความสัตย์จริง แม้แต่เจย์เองก็ยังไม่รู้จะรับมือเด็กคนนี้ยังไงเหมือนกัน
เจย์ถอนหายใจเบาพอ ๆ กับเสียงนาฬิกาบนกำแพงที่ส่งเสียงร้องบอกชั่วโมงใหม่
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าชนชั้นสูงที่มากอัตตาอย่างเจย์ อาเรส จะถูกบังคับให้กลับบ้านอย่างตรงเวลาเพื่อทำอาหารให้ลูกชายของเขา ในความเป็นจริง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลาห้าปีด้วยซ้ำ
เจนสันค่อนข้างเรื่องมากและไม่ยินยอมให้สตรีคนใดเข้ามาในคฤหาสน์ของพวกเขาเลย เป็นที่รู้กันดีว่าเขาได้รับสืบทอดนิสัยจอมบงการมาจากผู้เป็นพ่อ
ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ เจนสันไม่เคยแตะอาหารของใครเลยนอกจากของพ่อเขา
เหตุผลของเขาก็ง่าย ๆ ก็คืออาหารของคนอื่นมันไม่อร่อย
หากมีใครถามเขาว่า อาหารของพวกเขาขาดอะไรไป เจย์จะกรอกตามองบนแล้วกล่าวว่า “รสชาติของความรักจากคุณพ่อของผม”
ในทุก ๆ วัน เจย์ต้องรีบกลับบ้านก่อนถึงเวลาเที่ยงหนึ่งชั่วโมง หากมีเหตุเฉพาะกิจต้องเดินทาง เขาจะทำอาหารสำหรับลูกชายของเขาเผื่อไว้ล่วงหน้า แล้วแช่พวกมันในตู้เย็น
เขาเคยคิดว่าการสอนเจนสันทำอาหารจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เจนสันมีพรสวรรค์โดยธรรมชาติจากไอคิวที่น่าทึ่งอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไร้ความสามารถด้านการทำอาหารแบบกู่ไม่กลับ
เจย์เคยสอนการทำอาหารให้ลูกชายของเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่อาหารของเจนสันมักจบลงด้วยการกินไม่ได้ทุกครั้งไป
สุดท้าย หลังจากการปะทะคารมณ์อย่างรุนแรงระหว่างสองพ่อลูก เจนสันต้องยอมประนีประนอมแบบไม่ค่อยพอใจและยินยอมให้ปู่ย่าของเขาทำอาหารให้
การดูแลบุตรชายที่ทั้งจองหองทั้งไม่ปกติ อย่างน้อยๆ สภาพของเจย์ก็ดูไม่จืดเท่าไหร่
เมื่อเขามองดูหญิงสาวที่ถูกมัดไว้กับโต๊ะ ความโกรธก็เริ่มจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ถ้ามันไม่ใช่เพราะผู้หญิงเฮงซวยคนนี้ ชีวิตเขาคงไม่ต้องมาพบเจอความยากลำบากแบบนี้
เจย์รู้ดีว่าเขาไม่ใช่พ่อพระ—เขาต้องพบเจอและจัดการเรื่องน่ารำคาญเล็กน้อยในชีวิตอยู่แล้ว
“โรส” เขาขยับเข้าไปไม่กี่ก้าวแล้วนั่งยอง ๆ ข้าง ๆ เธอ
โรสจำแววตามุ่งร้ายอันชัดเจนนั่นได้ดี ทั่วทั้งร่างของเธอพลันสั่นเทิ้ม
เจย์ดึงผ้าที่อุดปากเธอไว้ออก แล้วกล่าวด้วยความชั่วร้าย “เธอโชคดี อีกสักพักฉันต้องออกไปข้างนอก เธอควรภาวนาขอให้สุดที่รักตัวน้อยของเธอมาช่วยเร็ว ๆ เพราะถ้าหากฉันกลับมาแล้วยังเห็นหน้าเธออยู่ เธอก็เตรียมตัวเจอกับความตายอันน่าสยดสยองได้เลย”
“ไอ้ระ—” โรสที่กำลังจะตะโกนด่ากลับถูกเจย์อุดปากด้วยผ้าขี้ริ้วอีกครั้ง
เขาลุกขึ้น หยิบกุญแจรถบนโต๊ะที่ทำจากไม้ลูกแพร์ ก่อนจะจากไป
โรสได้ยินเสียงเจย์สั่งกำชับบรรดาบอดี้การ์ดของเขาที่อีกฝั่งของประตู “พวกนายไปได้แล้ว ไม่มีใครเปิดประตูที่ใช้ระบบสแกนนิ้วได้อยู่แล้ว ยังไงก็แล้วแต่ พวกนายสามารถลงไปข้างล่างได้”
“ครับ คุณอาเรส”
ล็อคแบบสแกนนิ้ว?
โรสหยุดนิ่งไปพักนึงหลังจากผุดคำถามขึ้นในหัว
‘ลายนิ้วมือของแฝดจะเหมือนกันรึเปล่านะ? ถ้ายีนของพวกเขายังเหมือนกัน บางทีลายนิ้วมือก็อาจจะเหมือนกันด้วยใช่ไหม?’
ณ ทางเข้าของโรงพยาบาลแกรนด์เอเซีย
ร่างจิ๋วกำลังไถสกู๊ตเตอร์โดดลงจากแท็กซี่ไร้คนขับแล้ววิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล
เมื่อหนุ่มน้อยเข้าไปในหอผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล เขาก็ยกสมาร์ทวอทช์สีน้ำเงินของเขาขึ้นมา หลังจากการกดปุ่มสองสามครั้ง เด็กชายเปิดระบบติดตามสถานที่ขึ้น
เมื่อเขาเห็นว่าจุดที่ระบุไว้อยู่ไม่ไกล หนุ่มน้อยพลันกลืนน้ำลายดังเอื้อกด้วยความโล่งใจ
ยังไงก็ตาม เขาเผลอไปเลียหน้ากากอนามัยที่ใหญ่เกินไปบนหน้าของเขา ตาของเขาหยีลงอย่างรวดเร็วด้วยความขยะแขยง
เขาเดินไปตามพิกัดที่อยู่ในสมาร์ทวอทช์ ผ่านทางเดินผู้ป่วยนอกไป ในที่สุดเขาก็พบเข้ากับทางเข้าแสนหรูหราที่ทำจากหินอ่อนของตึกสูงอันโอ่อ่า
เด็กชายรู้สึกว่าตัวได้ก้าวเข้ามาในโรงพยาบาลที่หรูที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาเลยทีเดียว เจ้าของโรงพยาบาลนี้ต้องเป็นคนรวยอย่างแน่นอน และใครก็ตามที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนี้ต้องเป็นคนมีฐานะเช่นกัน
‘งั้นใครลักพาตัวคุณแม่ไปกัน?’
‘โจรลักพาตัวที่รวยงั้นเหรอ?’
‘เป็นใครกันแน่นะ?’
เมื่อหนุ่มน้อยเดินผ่านประตูหมุน เขาก็ไถสกู๊ตเตอร์และรีบไปที่ลิฟต์
ถัดจากลิฟต์คือแผนที่ที่ถูกทาด้วยสีทองและคู่มือรายละเอียดชั้น
ตามที่คู่มือบอก ตั้งแต่ชั้นแรกไปจนถึงชั้นที่ห้าคือวอร์ดผู้ป่วย ชั้นหกถึงชั้นที่แปดคือที่ตั้งของแผนกบริการต่าง ๆ และชั้นที่เก้าเป็นชั้นของห้องรับรองระดับวีไอพีสุด ๆ ต่อจากชั้นเก้าคือแผนกบริการจิปาถะ ส่วนชั้นอื่นๆเหนือชั้นนี้ไปเป็นวอร์ดผู้ป่วยแผนกต่างๆ
“ที่นี่ใหญ่ชะมัด! เราจะหาทางไปต่อยังไงล่ะเนี่ย?” หนุ่มน้อยโอดครวญพร้อมกับดูแผนที่ให้ละเอียดขึ้น