รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - ตอนที่ 945 ขอให้ใครสักคนเซ็นให้ หลังจากผ่านวันปีใหม่สากลมาแล้ว หลินม่ายก็เข้าสู่ช่วงการสอบปลายภาค หลังจากสอบเสร็จ เธอกลับบ้านทุกวัน ที่มหาวิทยาลัยไม่มีเครื่องทำความร้อน ภายในหอพักจึงเย็นมาก ขณะที่บ้านมีเครื่องทำความร้อนอยู่ เพราะอย่างนี้การนอนที่บ้านจึงดีกว่ามาก หลังการสอบเช้านี้ หลินม่ายก็ขับรถกลับบ้าน คุณย่าฟางบอกกล่าวกับเธอว่าฟางจั๋วเยวี่ยโทรมาหาเธอเพราะมีเรื่องบางอย่างจะพูดคุย หลินม่ายถามว่าเป็นเรื่องอะไร คุณย่าฟางตอบกลับว่า “เหมือนจะเป็นการซื้อเรือนสี่ประสานนะ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ ลองโทรถามเขาดูแล้วกัน” ขณะหลินม่ายกำลังจะโทรหาฟางจั๋วเยวี่ย โทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้นก่อน คุณย่าฟางคาดเดา “คงจะเป็นจั๋วเยวี่ยแหละ” หลินม่ายรับโทรศัพท์ และคุณย่าฟางก็คาดเดาได้ถูกต้อง เป็นฟางจั๋วเยวี่ยโทรมาจริง ๆ หลินม่ายถามทางโทรศัพท์ “นายกับพี่เถาเพิ่งจะซื้อบ้านไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมจะซื้ออีกล่ะ?” ฟางจั๋วเยวี่ยถามว่า “พี่สะใภ้จำตัวแทนอสังหาริมทรัพย์แซ่เหยียนได้ไหม?” “จำได้ มีอะไรเหรอ?” “เมื่อวานเขาโทรหาผม บอกว่าตอนนี้พ่อแม่ของโยมิ อาซากุสะยอมลดราคาเรือนสี่ประสานของพวกเขาแล้ว และจะให้ไปพูดคุยที่เมืองหลวงอีกที ตอนนี้ใกล้จะสิ้นปีเต็มที ผมยังยุ่งอยู่กับการแต่งงานและโรงงานทีวี จะเอาเวลาไหนไปเมืองหลวงล่ะครับ? ผมเลยอยากให้พี่สะใภ้ช่วยไปต่อรองราคาแล้วซื้อเรือนสี่ประสานนั้นให้ผมที” หลินม่ายตอบรับ ฟางจั๋วเยวี่ยนึกถึงอันตรายที่หลินม่ายได้พบครั้งล่าสุดตอนไปซื้อเรือนสี่ประสานให้เขา ก่อนจะเน้นย้ำให้เธอระวังตัว คราวที่แล้วเป็นเพราะมีคนปองร้าย แต่จะมีใครคิดลักพาตัวเธอทุกครั้งได้อย่างไรกัน? ฟางจั๋วเยวี่ยบอกว่าถูกงูกัดแค่ครั้งเดียวก็หวาดกลัวเชือกเป็นสิบปีได้ หลินม่ายยกยิ้มเห็นด้วย หลังจากมื้อกลางวันจบลง หลินม่ายติดต่อนายหน้าเหยียนและขับรถไปที่บ้านพ่ออวี่แม่อวี่ พ่ออวี่และแม่อวี่นั่งอยู่ในบ้านด้วยสีหน้าโศกเศร้า เมื่อครู่ธนาคารโทรมาว่าหากไม่ชำระหนี้คืน พวกเขาจะส่งฟ้องศาลเพื่อยึดทรัพย์สินทั้งหมด ถ้าเรือนสี่ประสานแห่งนี้ถูกปิดตาย แล้วกลายเป็นศาลที่ขายทอดตลาด ราคาของมันจะเหลือเท่าใดเชียว? หากกรณีที่ราคาขายต่ำกว่าจำนวนหนี้สิน พวกเขาก็จะไม่สูญเสียเงินเพิ่มเติม แต่ความเป็นไปได้นี้ใช่ว่าจะสามารถเกิดขึ้นโดยง่าย หลายคนไม่ได้เต็มใจที่จะซื้อบ้านที่ศาลนำมาขายทอดตลาด เพราะคิดว่ามันคือโชคร้าย สามีและภรรยาคู่นี้ไม่รู้จะทำอย่างไร พวกเขาจึงยินยอมขายบ้านหลังนี้ในราคา 450,000 หยวน เมื่อนายหน้าเหยียนพาหลินม่ายเข้ามาในห้องนั่งเล่น แม่อวี่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ช่างดูคุ้นเคย หล่อนยกยิ้มก่อนจะถามว่า “สหายคนนี้ เราเคยพบกันที่ไหนหรือเปล่าจ๊ะ?” นายหน้าเหยียนที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวแนะนำ “คุณคงเคยพบคุณหลินในหนังสือพิมพ์หรือทีวีนั่นแหละครับ หล่อนเป็นเจ้าของห้องเสื้อจิ่นซิ่ว” ทันทีที่พ่ออวี่และแม่อวี่ได้ยินอย่างนั้นแล้ว ใบหน้าของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมก่อนจะเริ่มตะโกนขับไล่ “ต่อให้บ้านหลังนี้จะถูกศาลยึดทรัพย์ แต่เราจะไม่มีวันขายมันให้หล่อนเด็ดขาด! พาหล่อนออกไปซะ!” ส่วนหลินม่ายเองก็รู้แก่ใจอยู่แล้วว่าพ่ออวี่และแม่อวี่ถือว่าเธอคือศัตรูของโยมิ อาซากุสะ พ่ออวี่และแม่อวี่มีสิทธิ์จะปกป้องลูกของพวกเขา แต่การทำอย่างนี้ไม่ค่อยถูกต้องเท่าใดนัก ทั้งหมดนี้จะเป็นความผิดของเธอได้ยังไง? ลูกสาวของพวกเขาต่างหากที่ทำตัวเหลวแหลกจนต้องมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เหรอ? ต่อให้เป็นคุณปู่ฟางหรือคุณย่าฟาง พวกเขาก็ยังนึกคิดเรื่องนี้ได้และค่อนข้างมีบรรทัดฐานที่ดี หลินม่ายหันกลับไปมองทั้งสอง “พูดเหมือนฉันอยากจะซื้อบ้านหลังนี้นักแหละค่ะ” หลังจากนั้นเธอหันหลังเดินออกไป เวลานี้นายหน้าเหยียนอดไม่ได้ที่จะพูดกับพ่ออวี่และแม่อวี่ว่า “บ้านของคุณไม่ได้ดีนัก และแทบจะไม่มีคนต้องการมัน สุดท้ายแล้วเมื่อลูกค้าอยากจะซื้อแต่คุณขับไล่เขาออกไป ถ้าเป็นอย่างนั้นในอนาคตอย่าได้ฝากขายบ้านกับอสังหาริมทรัพย์ของพวกเราอีกเลยครับ” บ้านแห่งความโชคร้ายนี้ต่อให้ไม่มีผีสิง แต่สุดท้ายแล้วมันเกี่ยวพันกับคดีความ หลินม่ายกลับมาถึงบ้าน เธอโทรหาฟางจั๋วเยวี่ยทันทีและเล่าเรื่องราวให้เขาฟังว่าพ่ออวี่และแม่อวี่ไม่เต็มใจขายบ้านหลังนี้ให้หลังจากเห็นว่าเป็นเธอ ฟางจั๋วเยวี่ยผิดหวังมาก แต่สุดท้ายเขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้ หลินม่ายพูดต่อว่า “ไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายถ้าบ้านตระกูลอวี่ถูกศาลยึดไปขายทอดตลาด ฉันอาจจะซื้อคืนมาให้นายได้ในราคาที่ถูกกว่านี้ด้วย” พริบตาเดียวก็ถึงเวลาตัดไหมที่เย็บไว้บนแขนออกแล้ว หลังจากสอบเสร็จในช่วงบ่าย หลินม่ายก็ขับรถไปโรงพยาบาล ความจริงแล้วแค่การตัดไหม แพทย์ทั่วไปก็สามารถทำได้ แต่ฟางจั๋วหรานยืนกรานว่าเขาจะทำเอง หลังจากตัดไหมแล้ว หลินม่ายเห็นว่าแผลบนแขนก็ไม่น่ากลัวเหมือนมีตะขาบเกาะอีกต่อไป และเนื้อเยื่อพังผืดส่วนเกินก็ถูกตัดออกด้วย ทั้งหมดนี้ฟางจั๋วหรานเป็นคนทำทั้งหมด หากไม่มองอย่างพิจารณาย่อมไม่เห็นรอยแผลเป็นนี้แน่นอน หลินม่ายยังไม่สามารถยกของหนักเท่ากับก่อนได้รับบาดเจ็บได้ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ต้องยกอะไรหนักมากนักหลังจากได้รับบาดเจ็บ เวลานี้เธอค่อนข้างฟื้นตัวได้ดี ซึ่งถือว่าเป็นความเร็วที่น่าประทับใจ หลินม่ายมองรอยแผลเป็นบนแขนก่อนจะหันไปกล่าวหยอกล้อสามี “คุณสามารถเปิดคลินิกเสริมความงามได้เลยนะคะ” ฟางจั๋วหรานแสดงสีหน้าเคร่งขรึมทันที “ทักษะการแพทย์ของผมมีไว้ช่วยชีวิตคน” ไม่กี่วันต่อมาก็ถึงวันที่สิบห้าของเดือนแรก นี่คือวันที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาจะได้เข้าสู่ช่วงหยุดในฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ หลังจากรับประทานมื้อเช้าแล้ว โต้วโต้วและเสี่ยวเหวินไปโรงเรียนเพื่อรับเอกสารรายงานตัว การบ้านในช่วงฤดูหนาว และความคิดเห็นจากครู นับตั้งแต่ฟางจั๋วหรานและภรรยาจ้างครูสอนพิเศษให้กับโต้วโต้ว ผลการเรียนของโต้วโต้วดีขึ้นมาก จนหล่อนได้ 80 คะแนนในทั้งสองวิชา ครูส่งใบรับรอง “ผลการเรียน” ให้กับโต้วโต้ว เวลานี้หล่อนมีความสุขจนใบหน้าอวบอ้วนแดงก่ำ หลังจากแจกจ่ายการบ้านสำหรับวันหยุดฤดูหนาวแล้ว สิ่งสุดท้ายคือแจกเอกสารความคิดเห็นจากครูในภาคเรียนนี้ ทุกภาคเรียน ครูประจำชั้นจะเขียนความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวของนักเรียนคนนั้น ๆ และให้นักเรียนนำไปให้ผู้ปกครองเซ็นรับทราบ จากนั้นนำกลับมาคืนให้ครูในวันเปิดเทอม หากผู้ปกครองไม่เซ็นรับทราบ ครูจะเชิญผู้ปกครองมาพูดคุยที่โรงเรียน โต้วโต้วคิดว่าผลการเรียนของหล่อนดีขึ้นมาก และต้องได้รับคำชมเชยจากครูแน่นอน แต่เมื่อเปิดเอกสารความเห็นจากครู ร่างกายของหล่อนพลันแข็งทื่อในทันที ครูแสดงความคิดเห็นว่ามีเพียงผลการเรียนของหล่อนที่ดีขึ้น แต่ส่วนอื่น ๆ กลับเป็นการวิจารณ์ถึงนิสัยที่ย่ำแย่ของหล่อน ทั้งเรื่องโอ้อวดและเปรียบเทียบสิ่งอื่น ๆ กับเพื่อนร่วมชั้น แม่ไม่ชอบเรื่องแบบนี้มาก หากแม่รู้ หล่อนจะต้องถูกตำหนิรุนแรงแน่นอน โต้วโต้วยิ่งกระวนกระวาย ไม่กล้าให้หลินม่ายรับชมเอกสารนี้ แต่ถ้าโรงเรียนเปิด แล้วเอกสารของหล่อนไม่มีลายเซ็นของผู้ปกครอง พวกเขาจะถูกเชิญมาที่โรงเรียนแทน ซึ่งผลที่ตามมาจะยิ่งร้ายแรงกว่า หลังเลิกเรียน โต้วโต้วกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนสนิทเช่นเคย และบอกเล่าปัญหาของตัวเองให้กู้จ้าวตี้ฟัง ผลการเรียนของกู้จ้าวตี้อยู่ในระดับที่ดี และนิสัยของหล่อนก็อยู่ในระดับที่ดี ความคิดเห็นจากครูทั้งหมดเป็นคำชื่นชม ทำให้หล่อนไม่ต้องกังวลอะไร เวลานี้หล่อนรู้สึกเห็นใจโต้วโต้ว ก่อนจะพยายามคิดหาทางออกอย่างช่วยเหลือ แต่สุดท้ายเมื่อมาถึงทางแยก หล่อนก็ยังไม่สามารถคิดวิธีที่ดีได้ กู่จ้าวตี้พูดกับโต้วโต้วว่า “เธอควรให้แม่เซ็นมันเองนะ หลังจากแม่เธอเห็นข้อความพวกนี้ สุดท้ายก็แค่ตำหนิเล็กน้อย ไม่ได้ทุบตีสักหน่อย จะกลัวอะไรเล่า?” โต้วโต้วพูดเสียงแผ่ว “ตอนนี้แม่ไม่ชอบฉันแล้ว ถ้ายิ่งเห็นสิ่งนี้ แม่จะยิ่งไม่ชอบฉัน” กู่จ้าวตี้ผายมืออย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เวลานี้หล่อนกล่าวลาก่อนจะเดินไปทางบ้านของตัวเอง แต่โต้วโต้วเรียกหล่อนเอาไว้ กู่จ้าวตี้หยุดฝีเท้าก่อนจะหันกลับมาถาม “อะไรเหรอ?” โต้วโต้วเดินไปถามอีกฝ่ายอย่างลังเล “เธอบอกให้พ่อแม่เธอช่วยเซ็นต์ให้ฉันหน่อยได้ไหม?” กู่จ้าวตี้ครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะพูดว่า “น่าจะได้ แต่เธอไม่กลัวว่าครูจะรู้เรื่องนี้เหรอ? แล้วถ้าครูรู้เข้าล่ะจะทำยังไง?” โต้วโต้วตอบกลับ “ฉันจะบอกว่านี่คือลายเซ็นของพ่อฉัน เพราะครูไม่เคยเห็นลายเซ็นของพ่อมาก่อน” กู่จ้าวตี้เลยพาโต้วโต้วไปที่บ้าน นี่เป็นครั้งแรกที่โต้วโต้วมาเยี่ยมบ้านกู่จ้าวตี้ มีสมาชิกกว่าหกคนอาศัยอยู่ภายในห้องเล็ก ๆ สองห้อง รวมถึงปู่ย่าด้วย พ่อแม่ของกู่จ้าวตี้ยังไม่กลับมาจากทำงาน และมีเพียงปู่ย่ากับน้องชายคนเล็กเท่านั้นที่อยู่ในบ้าน เห็นหลานสาวพาเพื่อนร่วมชั้นกลับมา ปู่กู่ย่ากู่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหรนัก คุณย่ากู่ดุกู่จ้าวตี้ด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ครอบครัวเรายากจนมาก แต่หลานพาเพื่อนร่วมชั้นกลับมา แล้วเราจะเอาอะไรไปต้อนรับหล่อน?” กู่จ้าวตี้รีบตอบ “เพื่อนร่วมฉันไม่ได้จะมากินข้าวที่บ้านค่ะ หล่อนมาเพื่อขอให้คุณแม่ช่วยเซ็นอะไรบางอย่างให้” คุณปู่กู่พูดอย่างกระตือรือร้น “ต้องการเซ็นอะไร ฉันจะเซ็นให้เอง” คุณปู่กู่เรียนในโรงเรียนเอกชนตั้งแต่เขายังเด็ก และเขาค่อนข้างจะรู้คำศัพท์มากมาย โต้วโต้วลังเลสักครู่ก่อนจะพูดพร้อมหยิบเอกสารออกมา “เอกสารคำแนะนำจากครูค่ะ” คุณปู่กู่เซ็นในเอกสารตามคำขอของโต้วโต้วทันที ลายมือของคุณปู่กู่สวยมาก และสิ่งนี้ทำให้โต้วโต้วมีความสุข ตอนเที่ยง หลินม่ายกลับมาถึงบ้านเพื่อรับประทานมื้อกลางวัน สิ่งแรกที่เธอถามหลังจากเดินเข้าประตูคือผลการสอบเป็นอย่างไรบ้าง โต้วโต้วรีบพูดตอบ “ปีนี้ผลการเรียนของหนูดีขึ้นค่ะ คุณครูชมเชยและให้ใบรับรองมาด้วย” หลินม่ายลูบศีรษะของหล่อนพร้อมให้กำลังใจ “ดีมากเลย เก่งมาก ตั้งใจเรียนต่อไปนะ อยากได้รางวัลเป็นอะไรล่ะ?” โต้วโต้วถามอย่างระมัดระวัง “ขออะไรก็ได้เหรอคะ?” “ไม่ได้จ้ะ ได้แค่อาหาร ของเล่น หรือหนังสือนอกหลักสูตรการเรียน” โต้วโต้วรู้สึกไม่พอใจทันที เดิมทีหล่อนคิดใช้โอกาสนี้เพื่อขอให้หลินม่ายซื้อรองเท้าไนกี้ให้ตน แต่หลินม่ายยินดีซื้อแค่อาหาร ของเล่น และหนังสือนอกหลักสูตรเท่านั้น ที่บ้านมีขนม ของว่าง และของเล่นมากมายแล้ว หล่อนมีกล่องดนตรี ตุ๊กตา ฟิกเกอร์มากมายในห้องของตัวเอง แล้วยังมีหนังสือนอกหลักสูตรจำนวนมากบนชั้นหนังสือเล็ก ๆ ในห้อง หนังสือการ์ตูนมีเพียงน้อยนิด แต่หล่อนก็ไม่ได้ต้องการอ่านมัน “หนูไม่รู้ว่าอยากได้อะไรค่ะ” หลินม่ายครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะพูดว่า “งั้นเอาออร์แกนไฟฟ้าไหม? แล้วจะให้ครูมาสอนพิเศษทีหลัง” โต้วโต้วตอบตกลงทันที ออร์แกนไฟฟ้าราคากว่าร้อยหยวน และมีนักเรียนไม่กี่คนที่สามารถเรียนรู้มันได้ แน่นอนว่าหวังเหม่ยเหม่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่โต้วโต้วไม่ต้องการให้ครูสอนพิเศษมาสอนหล่อนที่บ้าน ขอให้หลินม่ายส่งหล่อนไปเรียนในชั้นเรียนเดียวกันกับหวังเหม่ยเหม่ยแทน หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย การไปเข้าคอร์สด้วยตัวเองถูกกว่าการจ้างครูพิเศษมาที่บ้านมาก โต้วโต้วรู้วิธีการประหยัดเงินแล้ว สิ่งนี้ทำให้หลินม่ายผ่อนคลายลงมาก หลังจากโต้วโต้วพูดจบ เสี่ยวเหวินบอกหลินม่ายว่าเขาได้ที่หนึ่งในชั้นเรียน ครูไม่เพียงแต่ให้รางวัลเขาด้วยใบรับรอง แต่ยังมีกล่องดินสอที่เต็มไปด้วยเครื่องเขียนภายในด้วย โต้วโต้วอยากเห็นกล่องดินสอของเสี่ยวเหวิน ก่อนจะบอกกล่าวให้เขาหยิบมันออกมา เสี่ยวเหวินยิ้มกว้างก่อนจะหยิบกล่องดินสอออกจากกระเป๋านักเรียน ทันทีที่แม่กลับมาแล้ว เสี่ยวมู่ตงวิ่งมาด้วยขาน้อย ๆ ของเขามองดูกล่องดินสอของเสี่ยวเหวินด้วยกัน โรงเรียนประถมอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยชิงต้า ระยะทางระหว่างกันก็สั้นมาก สิ่งที่เขาได้รับคือกล่องดินสอราคาแพงหลายหยวน และเครื่องเขียนทั้งหมดก็เป็นของคุณภาพดีทั้งสิ้น เสี่ยวมู่ตงหยิบกบเหลาดินสอรูปสิงโตในกล่องดินสอขึ้นมา นิ้วของเขาชี้ไปที่กบเหลาดินสอก่อนจะร้องเบา ๆ เสี่ยวเหวินถาม “อยากได้เหรอ?” เด็กชายตัวเล็กพยักหน้า เสี่ยวเหวินยิ้มก่อนจะหยิบกบเหลาดินสอออกมาให้เสี่ยวมู่ตงแล้วพูดต่อว่า “ถ้าเล่นเสร็จแล้วเอามาคืนให้พี่นะ” เสี่ยวมู่ตงพยักหน้า เขาถือกบเหลาดินสอในมือแล้วยกยิ้มมีความสุข โต้วโต้วมองคนตัวเล็กที่ถือกบเหลาดินสอเอาไว้ด้วยความผิดหวัง เธออยากจะขอเสี่ยวเหวินเหมือนกัน แต่ว่าเธอช้าเกินไป เสี่ยวเหวินหยิบเอกสารจากครูออกมาแล้วส่งให้หลินม่าย “คุณอาครับ ครูบอกให้เซ็นเอกสารนี้ให้หน่อยครับ” เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ โต้วโต้วก็พลันรู้สึกอึดอัดในอกทันที ……………………………………………………………………………………………………………………….. สารจากผู้แปล เริ่มไม่น่ารักแล้วนะโต้วโต้ว เริ่มแสดงความคดโกงออกมาแต่เด็กแล้วนะ ไหหม่า(海馬)
- Home
- รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人
- ตอนที่ 945 ขอให้ใครสักคนเซ็นให้ หลังจากผ่านวันปีใหม่สากลมาแล้ว หลินม่ายก็เข้าสู่ช่วงการสอบปลายภาค หลังจากสอบเสร็จ เธอกลับบ้านทุกวัน ที่มหาวิทยาลัยไม่มีเครื่องทำความร้อน ภายในหอพักจึงเย็นมาก ขณะที่บ้านมีเครื่องทำความร้อนอยู่ เพราะอย่างนี้การนอนที่บ้านจึงดีกว่ามาก หลังการสอบเช้านี้ หลินม่ายก็ขับรถกลับบ้าน คุณย่าฟางบอกกล่าวกับเธอว่าฟางจั๋วเยวี่ยโทรมาหาเธอเพราะมีเรื่องบางอย่างจะพูดคุย หลินม่ายถามว่าเป็นเรื่องอะไร คุณย่าฟางตอบกลับว่า “เหมือนจะเป็นการซื้อเรือนสี่ประสานนะ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ ลองโทรถามเขาดูแล้วกัน” ขณะหลินม่ายกำลังจะโทรหาฟางจั๋วเยวี่ย โทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้นก่อน คุณย่าฟางคาดเดา “คงจะเป็นจั๋วเยวี่ยแหละ” หลินม่ายรับโทรศัพท์ และคุณย่าฟางก็คาดเดาได้ถูกต้อง เป็นฟางจั๋วเยวี่ยโทรมาจริง ๆ หลินม่ายถามทางโทรศัพท์ “นายกับพี่เถาเพิ่งจะซื้อบ้านไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมจะซื้ออีกล่ะ?” ฟางจั๋วเยวี่ยถามว่า “พี่สะใภ้จำตัวแทนอสังหาริมทรัพย์แซ่เหยียนได้ไหม?” “จำได้ มีอะไรเหรอ?” “เมื่อวานเขาโทรหาผม บอกว่าตอนนี้พ่อแม่ของโยมิ อาซากุสะยอมลดราคาเรือนสี่ประสานของพวกเขาแล้ว และจะให้ไปพูดคุยที่เมืองหลวงอีกที ตอนนี้ใกล้จะสิ้นปีเต็มที ผมยังยุ่งอยู่กับการแต่งงานและโรงงานทีวี จะเอาเวลาไหนไปเมืองหลวงล่ะครับ? ผมเลยอยากให้พี่สะใภ้ช่วยไปต่อรองราคาแล้วซื้อเรือนสี่ประสานนั้นให้ผมที” หลินม่ายตอบรับ ฟางจั๋วเยวี่ยนึกถึงอันตรายที่หลินม่ายได้พบครั้งล่าสุดตอนไปซื้อเรือนสี่ประสานให้เขา ก่อนจะเน้นย้ำให้เธอระวังตัว คราวที่แล้วเป็นเพราะมีคนปองร้าย แต่จะมีใครคิดลักพาตัวเธอทุกครั้งได้อย่างไรกัน? ฟางจั๋วเยวี่ยบอกว่าถูกงูกัดแค่ครั้งเดียวก็หวาดกลัวเชือกเป็นสิบปีได้ หลินม่ายยกยิ้มเห็นด้วย หลังจากมื้อกลางวันจบลง หลินม่ายติดต่อนายหน้าเหยียนและขับรถไปที่บ้านพ่ออวี่แม่อวี่ พ่ออวี่และแม่อวี่นั่งอยู่ในบ้านด้วยสีหน้าโศกเศร้า เมื่อครู่ธนาคารโทรมาว่าหากไม่ชำระหนี้คืน พวกเขาจะส่งฟ้องศาลเพื่อยึดทรัพย์สินทั้งหมด ถ้าเรือนสี่ประสานแห่งนี้ถูกปิดตาย แล้วกลายเป็นศาลที่ขายทอดตลาด ราคาของมันจะเหลือเท่าใดเชียว? หากกรณีที่ราคาขายต่ำกว่าจำนวนหนี้สิน พวกเขาก็จะไม่สูญเสียเงินเพิ่มเติม แต่ความเป็นไปได้นี้ใช่ว่าจะสามารถเกิดขึ้นโดยง่าย หลายคนไม่ได้เต็มใจที่จะซื้อบ้านที่ศาลนำมาขายทอดตลาด เพราะคิดว่ามันคือโชคร้าย สามีและภรรยาคู่นี้ไม่รู้จะทำอย่างไร พวกเขาจึงยินยอมขายบ้านหลังนี้ในราคา 450,000 หยวน เมื่อนายหน้าเหยียนพาหลินม่ายเข้ามาในห้องนั่งเล่น แม่อวี่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ช่างดูคุ้นเคย หล่อนยกยิ้มก่อนจะถามว่า “สหายคนนี้ เราเคยพบกันที่ไหนหรือเปล่าจ๊ะ?” นายหน้าเหยียนที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวแนะนำ “คุณคงเคยพบคุณหลินในหนังสือพิมพ์หรือทีวีนั่นแหละครับ หล่อนเป็นเจ้าของห้องเสื้อจิ่นซิ่ว” ทันทีที่พ่ออวี่และแม่อวี่ได้ยินอย่างนั้นแล้ว ใบหน้าของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมก่อนจะเริ่มตะโกนขับไล่ “ต่อให้บ้านหลังนี้จะถูกศาลยึดทรัพย์ แต่เราจะไม่มีวันขายมันให้หล่อนเด็ดขาด! พาหล่อนออกไปซะ!” ส่วนหลินม่ายเองก็รู้แก่ใจอยู่แล้วว่าพ่ออวี่และแม่อวี่ถือว่าเธอคือศัตรูของโยมิ อาซากุสะ พ่ออวี่และแม่อวี่มีสิทธิ์จะปกป้องลูกของพวกเขา แต่การทำอย่างนี้ไม่ค่อยถูกต้องเท่าใดนัก ทั้งหมดนี้จะเป็นความผิดของเธอได้ยังไง? ลูกสาวของพวกเขาต่างหากที่ทำตัวเหลวแหลกจนต้องมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เหรอ? ต่อให้เป็นคุณปู่ฟางหรือคุณย่าฟาง พวกเขาก็ยังนึกคิดเรื่องนี้ได้และค่อนข้างมีบรรทัดฐานที่ดี หลินม่ายหันกลับไปมองทั้งสอง “พูดเหมือนฉันอยากจะซื้อบ้านหลังนี้นักแหละค่ะ” หลังจากนั้นเธอหันหลังเดินออกไป เวลานี้นายหน้าเหยียนอดไม่ได้ที่จะพูดกับพ่ออวี่และแม่อวี่ว่า “บ้านของคุณไม่ได้ดีนัก และแทบจะไม่มีคนต้องการมัน สุดท้ายแล้วเมื่อลูกค้าอยากจะซื้อแต่คุณขับไล่เขาออกไป ถ้าเป็นอย่างนั้นในอนาคตอย่าได้ฝากขายบ้านกับอสังหาริมทรัพย์ของพวกเราอีกเลยครับ” บ้านแห่งความโชคร้ายนี้ต่อให้ไม่มีผีสิง แต่สุดท้ายแล้วมันเกี่ยวพันกับคดีความ หลินม่ายกลับมาถึงบ้าน เธอโทรหาฟางจั๋วเยวี่ยทันทีและเล่าเรื่องราวให้เขาฟังว่าพ่ออวี่และแม่อวี่ไม่เต็มใจขายบ้านหลังนี้ให้หลังจากเห็นว่าเป็นเธอ ฟางจั๋วเยวี่ยผิดหวังมาก แต่สุดท้ายเขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้ หลินม่ายพูดต่อว่า “ไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายถ้าบ้านตระกูลอวี่ถูกศาลยึดไปขายทอดตลาด ฉันอาจจะซื้อคืนมาให้นายได้ในราคาที่ถูกกว่านี้ด้วย” พริบตาเดียวก็ถึงเวลาตัดไหมที่เย็บไว้บนแขนออกแล้ว หลังจากสอบเสร็จในช่วงบ่าย หลินม่ายก็ขับรถไปโรงพยาบาล ความจริงแล้วแค่การตัดไหม แพทย์ทั่วไปก็สามารถทำได้ แต่ฟางจั๋วหรานยืนกรานว่าเขาจะทำเอง หลังจากตัดไหมแล้ว หลินม่ายเห็นว่าแผลบนแขนก็ไม่น่ากลัวเหมือนมีตะขาบเกาะอีกต่อไป และเนื้อเยื่อพังผืดส่วนเกินก็ถูกตัดออกด้วย ทั้งหมดนี้ฟางจั๋วหรานเป็นคนทำทั้งหมด หากไม่มองอย่างพิจารณาย่อมไม่เห็นรอยแผลเป็นนี้แน่นอน หลินม่ายยังไม่สามารถยกของหนักเท่ากับก่อนได้รับบาดเจ็บได้ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ต้องยกอะไรหนักมากนักหลังจากได้รับบาดเจ็บ เวลานี้เธอค่อนข้างฟื้นตัวได้ดี ซึ่งถือว่าเป็นความเร็วที่น่าประทับใจ หลินม่ายมองรอยแผลเป็นบนแขนก่อนจะหันไปกล่าวหยอกล้อสามี “คุณสามารถเปิดคลินิกเสริมความงามได้เลยนะคะ” ฟางจั๋วหรานแสดงสีหน้าเคร่งขรึมทันที “ทักษะการแพทย์ของผมมีไว้ช่วยชีวิตคน” ไม่กี่วันต่อมาก็ถึงวันที่สิบห้าของเดือนแรก นี่คือวันที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาจะได้เข้าสู่ช่วงหยุดในฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ หลังจากรับประทานมื้อเช้าแล้ว โต้วโต้วและเสี่ยวเหวินไปโรงเรียนเพื่อรับเอกสารรายงานตัว การบ้านในช่วงฤดูหนาว และความคิดเห็นจากครู นับตั้งแต่ฟางจั๋วหรานและภรรยาจ้างครูสอนพิเศษให้กับโต้วโต้ว ผลการเรียนของโต้วโต้วดีขึ้นมาก จนหล่อนได้ 80 คะแนนในทั้งสองวิชา ครูส่งใบรับรอง “ผลการเรียน” ให้กับโต้วโต้ว เวลานี้หล่อนมีความสุขจนใบหน้าอวบอ้วนแดงก่ำ หลังจากแจกจ่ายการบ้านสำหรับวันหยุดฤดูหนาวแล้ว สิ่งสุดท้ายคือแจกเอกสารความคิดเห็นจากครูในภาคเรียนนี้ ทุกภาคเรียน ครูประจำชั้นจะเขียนความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวของนักเรียนคนนั้น ๆ และให้นักเรียนนำไปให้ผู้ปกครองเซ็นรับทราบ จากนั้นนำกลับมาคืนให้ครูในวันเปิดเทอม หากผู้ปกครองไม่เซ็นรับทราบ ครูจะเชิญผู้ปกครองมาพูดคุยที่โรงเรียน โต้วโต้วคิดว่าผลการเรียนของหล่อนดีขึ้นมาก และต้องได้รับคำชมเชยจากครูแน่นอน แต่เมื่อเปิดเอกสารความเห็นจากครู ร่างกายของหล่อนพลันแข็งทื่อในทันที ครูแสดงความคิดเห็นว่ามีเพียงผลการเรียนของหล่อนที่ดีขึ้น แต่ส่วนอื่น ๆ กลับเป็นการวิจารณ์ถึงนิสัยที่ย่ำแย่ของหล่อน ทั้งเรื่องโอ้อวดและเปรียบเทียบสิ่งอื่น ๆ กับเพื่อนร่วมชั้น แม่ไม่ชอบเรื่องแบบนี้มาก หากแม่รู้ หล่อนจะต้องถูกตำหนิรุนแรงแน่นอน โต้วโต้วยิ่งกระวนกระวาย ไม่กล้าให้หลินม่ายรับชมเอกสารนี้ แต่ถ้าโรงเรียนเปิด แล้วเอกสารของหล่อนไม่มีลายเซ็นของผู้ปกครอง พวกเขาจะถูกเชิญมาที่โรงเรียนแทน ซึ่งผลที่ตามมาจะยิ่งร้ายแรงกว่า หลังเลิกเรียน โต้วโต้วกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนสนิทเช่นเคย และบอกเล่าปัญหาของตัวเองให้กู้จ้าวตี้ฟัง ผลการเรียนของกู้จ้าวตี้อยู่ในระดับที่ดี และนิสัยของหล่อนก็อยู่ในระดับที่ดี ความคิดเห็นจากครูทั้งหมดเป็นคำชื่นชม ทำให้หล่อนไม่ต้องกังวลอะไร เวลานี้หล่อนรู้สึกเห็นใจโต้วโต้ว ก่อนจะพยายามคิดหาทางออกอย่างช่วยเหลือ แต่สุดท้ายเมื่อมาถึงทางแยก หล่อนก็ยังไม่สามารถคิดวิธีที่ดีได้ กู่จ้าวตี้พูดกับโต้วโต้วว่า “เธอควรให้แม่เซ็นมันเองนะ หลังจากแม่เธอเห็นข้อความพวกนี้ สุดท้ายก็แค่ตำหนิเล็กน้อย ไม่ได้ทุบตีสักหน่อย จะกลัวอะไรเล่า?” โต้วโต้วพูดเสียงแผ่ว “ตอนนี้แม่ไม่ชอบฉันแล้ว ถ้ายิ่งเห็นสิ่งนี้ แม่จะยิ่งไม่ชอบฉัน” กู่จ้าวตี้ผายมืออย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เวลานี้หล่อนกล่าวลาก่อนจะเดินไปทางบ้านของตัวเอง แต่โต้วโต้วเรียกหล่อนเอาไว้ กู่จ้าวตี้หยุดฝีเท้าก่อนจะหันกลับมาถาม “อะไรเหรอ?” โต้วโต้วเดินไปถามอีกฝ่ายอย่างลังเล “เธอบอกให้พ่อแม่เธอช่วยเซ็นต์ให้ฉันหน่อยได้ไหม?” กู่จ้าวตี้ครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะพูดว่า “น่าจะได้ แต่เธอไม่กลัวว่าครูจะรู้เรื่องนี้เหรอ? แล้วถ้าครูรู้เข้าล่ะจะทำยังไง?” โต้วโต้วตอบกลับ “ฉันจะบอกว่านี่คือลายเซ็นของพ่อฉัน เพราะครูไม่เคยเห็นลายเซ็นของพ่อมาก่อน” กู่จ้าวตี้เลยพาโต้วโต้วไปที่บ้าน นี่เป็นครั้งแรกที่โต้วโต้วมาเยี่ยมบ้านกู่จ้าวตี้ มีสมาชิกกว่าหกคนอาศัยอยู่ภายในห้องเล็ก ๆ สองห้อง รวมถึงปู่ย่าด้วย พ่อแม่ของกู่จ้าวตี้ยังไม่กลับมาจากทำงาน และมีเพียงปู่ย่ากับน้องชายคนเล็กเท่านั้นที่อยู่ในบ้าน เห็นหลานสาวพาเพื่อนร่วมชั้นกลับมา ปู่กู่ย่ากู่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหรนัก คุณย่ากู่ดุกู่จ้าวตี้ด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ครอบครัวเรายากจนมาก แต่หลานพาเพื่อนร่วมชั้นกลับมา แล้วเราจะเอาอะไรไปต้อนรับหล่อน?” กู่จ้าวตี้รีบตอบ “เพื่อนร่วมฉันไม่ได้จะมากินข้าวที่บ้านค่ะ หล่อนมาเพื่อขอให้คุณแม่ช่วยเซ็นอะไรบางอย่างให้” คุณปู่กู่พูดอย่างกระตือรือร้น “ต้องการเซ็นอะไร ฉันจะเซ็นให้เอง” คุณปู่กู่เรียนในโรงเรียนเอกชนตั้งแต่เขายังเด็ก และเขาค่อนข้างจะรู้คำศัพท์มากมาย โต้วโต้วลังเลสักครู่ก่อนจะพูดพร้อมหยิบเอกสารออกมา “เอกสารคำแนะนำจากครูค่ะ” คุณปู่กู่เซ็นในเอกสารตามคำขอของโต้วโต้วทันที ลายมือของคุณปู่กู่สวยมาก และสิ่งนี้ทำให้โต้วโต้วมีความสุข ตอนเที่ยง หลินม่ายกลับมาถึงบ้านเพื่อรับประทานมื้อกลางวัน สิ่งแรกที่เธอถามหลังจากเดินเข้าประตูคือผลการสอบเป็นอย่างไรบ้าง โต้วโต้วรีบพูดตอบ “ปีนี้ผลการเรียนของหนูดีขึ้นค่ะ คุณครูชมเชยและให้ใบรับรองมาด้วย” หลินม่ายลูบศีรษะของหล่อนพร้อมให้กำลังใจ “ดีมากเลย เก่งมาก ตั้งใจเรียนต่อไปนะ อยากได้รางวัลเป็นอะไรล่ะ?” โต้วโต้วถามอย่างระมัดระวัง “ขออะไรก็ได้เหรอคะ?” “ไม่ได้จ้ะ ได้แค่อาหาร ของเล่น หรือหนังสือนอกหลักสูตรการเรียน” โต้วโต้วรู้สึกไม่พอใจทันที เดิมทีหล่อนคิดใช้โอกาสนี้เพื่อขอให้หลินม่ายซื้อรองเท้าไนกี้ให้ตน แต่หลินม่ายยินดีซื้อแค่อาหาร ของเล่น และหนังสือนอกหลักสูตรเท่านั้น ที่บ้านมีขนม ของว่าง และของเล่นมากมายแล้ว หล่อนมีกล่องดนตรี ตุ๊กตา ฟิกเกอร์มากมายในห้องของตัวเอง แล้วยังมีหนังสือนอกหลักสูตรจำนวนมากบนชั้นหนังสือเล็ก ๆ ในห้อง หนังสือการ์ตูนมีเพียงน้อยนิด แต่หล่อนก็ไม่ได้ต้องการอ่านมัน “หนูไม่รู้ว่าอยากได้อะไรค่ะ” หลินม่ายครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะพูดว่า “งั้นเอาออร์แกนไฟฟ้าไหม? แล้วจะให้ครูมาสอนพิเศษทีหลัง” โต้วโต้วตอบตกลงทันที ออร์แกนไฟฟ้าราคากว่าร้อยหยวน และมีนักเรียนไม่กี่คนที่สามารถเรียนรู้มันได้ แน่นอนว่าหวังเหม่ยเหม่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่โต้วโต้วไม่ต้องการให้ครูสอนพิเศษมาสอนหล่อนที่บ้าน ขอให้หลินม่ายส่งหล่อนไปเรียนในชั้นเรียนเดียวกันกับหวังเหม่ยเหม่ยแทน หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย การไปเข้าคอร์สด้วยตัวเองถูกกว่าการจ้างครูพิเศษมาที่บ้านมาก โต้วโต้วรู้วิธีการประหยัดเงินแล้ว สิ่งนี้ทำให้หลินม่ายผ่อนคลายลงมาก หลังจากโต้วโต้วพูดจบ เสี่ยวเหวินบอกหลินม่ายว่าเขาได้ที่หนึ่งในชั้นเรียน ครูไม่เพียงแต่ให้รางวัลเขาด้วยใบรับรอง แต่ยังมีกล่องดินสอที่เต็มไปด้วยเครื่องเขียนภายในด้วย โต้วโต้วอยากเห็นกล่องดินสอของเสี่ยวเหวิน ก่อนจะบอกกล่าวให้เขาหยิบมันออกมา เสี่ยวเหวินยิ้มกว้างก่อนจะหยิบกล่องดินสอออกจากกระเป๋านักเรียน ทันทีที่แม่กลับมาแล้ว เสี่ยวมู่ตงวิ่งมาด้วยขาน้อย ๆ ของเขามองดูกล่องดินสอของเสี่ยวเหวินด้วยกัน โรงเรียนประถมอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยชิงต้า ระยะทางระหว่างกันก็สั้นมาก สิ่งที่เขาได้รับคือกล่องดินสอราคาแพงหลายหยวน และเครื่องเขียนทั้งหมดก็เป็นของคุณภาพดีทั้งสิ้น เสี่ยวมู่ตงหยิบกบเหลาดินสอรูปสิงโตในกล่องดินสอขึ้นมา นิ้วของเขาชี้ไปที่กบเหลาดินสอก่อนจะร้องเบา ๆ เสี่ยวเหวินถาม “อยากได้เหรอ?” เด็กชายตัวเล็กพยักหน้า เสี่ยวเหวินยิ้มก่อนจะหยิบกบเหลาดินสอออกมาให้เสี่ยวมู่ตงแล้วพูดต่อว่า “ถ้าเล่นเสร็จแล้วเอามาคืนให้พี่นะ” เสี่ยวมู่ตงพยักหน้า เขาถือกบเหลาดินสอในมือแล้วยกยิ้มมีความสุข โต้วโต้วมองคนตัวเล็กที่ถือกบเหลาดินสอเอาไว้ด้วยความผิดหวัง เธออยากจะขอเสี่ยวเหวินเหมือนกัน แต่ว่าเธอช้าเกินไป เสี่ยวเหวินหยิบเอกสารจากครูออกมาแล้วส่งให้หลินม่าย “คุณอาครับ ครูบอกให้เซ็นเอกสารนี้ให้หน่อยครับ” เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ โต้วโต้วก็พลันรู้สึกอึดอัดในอกทันที ……………………………………………………………………………………………………………………….. สารจากผู้แปล เริ่มไม่น่ารักแล้วนะโต้วโต้ว เริ่มแสดงความคดโกงออกมาแต่เด็กแล้วนะ ไหหม่า(海馬)
บทที่ 941 หลี่จิ่วเต้า ‘ผู้มาเยียนนล้วนเป็นแขก มานั่งเล่นในลานเล็กเถิด!’
“ท่านผู้นั้นเป็นใคร”
นักพรตอ้วนถาม
“ท่านผู้นั้นคือผู้เบิกทางสู่ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ่ายทอดพลังวิถีให้พวกเราสืบต่อ ริเริ่มอารยธรรมฝึกฝน!”
ตาอวี๋ตอบ เล่าเรื่องของท่านผู้นั้น ทว่าความจริงมากกว่านี้เขาเองก็ไม่ทราบ
“ก็ได้”
ในที่สุดนักพรตอ้วนก็เลือกอยู่ต่อ รอผู้ถูกกำหนดเดินทางเข้ามา
…
ท่ามกลางเอกภพ ใครบางคนกำลังเดินทอดน่องไปข้างหน้า
เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ดวงหน้าแข็งขันเด็ดเดี่ยว เป็นบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีขาว บุคลิกสูงส่ง
“โลกหลังฉากมิใช่ดินแดนสูงสุดอีกแล้ว…”
ทันทีที่เขาเข้ามาถึงอาณาจักรนี้ก็อุทานอย่างสะท้อนใจ
ในอาณาจักรนี้มีสสารระดับสูงพวยพุ่งไม่หยุด กฎแห่งสวรรค์และโลกสูงส่งเหลือแสน เทียบกับหลังฉากแล้วรังแต่จะทรงพลังกว่า
ได้ฝึกฝนที่นี่ย่อมได้ผลดีกว่าในโลกหลังฉาก
“ผู้ใดเล่าจะคิด โลกหน้าฉากอัศจรรย์ถึงได้เพียงนี้”
เขามีสีหน้าย้อนรำลึก นึกถึงในอดีตที่ทุกคนพยายามเข้าไปยังโลกหลังฉากสุดชีวิต บัดนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง
โลกหน้าฉากอยู่เหนือโลกหลังฉาก!
“ท่านคือ…องค์จ้าวอู๋เฉินอาภรณ์ขาว!”
สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งผ่านมาพบชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ตกตะลึง ถามอย่างอกสั่นขวัญแขวน
องค์จ้าวอู๋เฉินอาภรณ์ขาวคือยอดฝีมือระดับไร้เทียมทานแห่งโลกหลังฉาก มิเคยพ่ายแพ้ต่อผู้ใด น้อยนักจะมีคู่มือ
“สวัสดี”
ชายวัยกลางคน หรือก็คือองค์จ้าวอู๋เฉินทักทายสิ่งมีชีวิตตนนั้นอย่างถ่อมตน มิได้วางมาดยะโส
สิ่งมีชีวิตตนนี้เต็มตื้นเหลือแสน องค์จ้าวอู๋เฉินคือผู้ที่เขาเคารพนับถือที่สุด เขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบองค์จ้าวอู๋เฉินที่นี่!
“ข้าเลื่อมใสในตัวท่านอย่างยิ่ง ท่านกล้าแกร่งถึงเพียงนั้น!”
เขาเอ่ยด้วยท่าทางตื่นเต้น สาธยายฝีมือการรบอันเป็นที่ประจักษ์น่าทึ่งขององค์จ้าวอู๋เฉิน ผู้เคยปะทะกับยอดฝีมือสูงสุดระดับอาวุโสแห่งโลกหลังฉากถึงสามคนทว่าไร้รอยขีดข่วน!
เขามาจากโลกหลังฉากเช่นกัน กระนั้นมิได้แข็งแกร่งเท่าใด ยังไม่บรรลุขอบเขตอิสระ มิกล้าเข้าไปยังอาณาจักรของหลี่จิ่วเต้า อยู่ฝึกฝนในอาณาจักรนี้
ในอาณาจักรที่หลี่จิ่วเต้าพำนักอุดมไปด้วยสสารระดับสูงยิ่งกว่านี้ ทั้งยังวิเศษกว่า ถือเป็นอาณาจักรที่ทุกผู้ทุกนามหมายตา สิ่งมีชีวิตไร้ฝีมือไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป กลัวจะเป็นอันตราย
“อย่าได้เอ่ยเช่นนั้น ข้าหาได้เก่งกาจเช่นนั้นไม่ ข้าเป็นเพียง…คนปอดแหกคนหนึ่ง”
องค์จ้าวอู๋เฉินอาภรณ์ขาวถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขาทรงพลังอย่างแท้จริง ไร้เทียมทานในโลกหลังฉาก ทั้งยังทลายเพดานระดับสูงสุดในโลกหลังฉาก ก้าวจากขั้นห้าสู่ขั้นหก
แต่กระนั้นแล้วมีประโยชน์อันใด
ท้ายที่สุดเขาก็เป็นเพียงคนปอดแหกผู้หนึ่งเท่านั้น มิกล้าร่วมต่อสู้บนสมรภูมิมืดมิด เข้าห้ำหั่นกับฝ่ายความมืดมิด
ครานั้นยามพลังมืดมิดปรากฏเป็นครั้งแรก บรรดายอดฝีมือหลังฉากพากันออกโรงหยุดยั้ง เขาเองก็ไปด้วยเช่นกัน
เขาในเวลานั้นกำลังฮึกเหิมคึกคะนอง อยู่ในขบวนแข็งแกร่งสูงสุด ยากจะหาคู่มือ เมื่อคราวพลังมืดมิดเพิ่งโผล่มา เขาไม่รู้สึกกลัวเกรงสักนิด
ซ้ำเขายังบุกอยู่แนวหน้าสุด คิดจะโค่นพลังมืดมิดทั้งหมดด้วยตัวเขาเพียงลำพัง
ทว่าหลังเขาได้ประมือกับฝ่ายความมืดมิดจริง ๆ เขาถึงรู้ว่าความคิดที่คิดจะโค่นพลังมืดมิดด้วยตัวคนเดียวนั้นน่าขันเพียงใด!
พลังมืดมิดน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่งยวด ยอดฝีมือสูงสุดแห่งโลกหลังฉากล้มลงทีละคน ถูกพลังมืดมิดปลิดชีพ เขาเองก็เผชิญกับศัตรูทรงพลังจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ครานั้นเขายังมิได้ก้าวสู่ขั้นหก ยังอยู่ที่ขั้นห้า จึงรู้สึกกลัว ไม่กล้าสู้ศึกอีก และทอดทิ้งสหายร่วมรบจากโลกหลังฉาก ล่าถอยออกจากสมรภูมิมืดมิด กลับไปยังโลกหลังฉาก
เขามีพรสวรรค์น่าทึ่งอย่างแท้จริง ศึกนั้นสร้างแรงบันดาลใจให้เขา หลังกลับมาได้ไม่นาน เขาก็บรรลุขั้นหก
ทว่าเขายังไม่มีความกล้าพอจะไปยังสนามรบ ซ่อนตัวอยู่ในโลกหลังฉากจวบจนบัดนี้
“ไปละ”
เขามีสีหน้าหลากหลายอารมณ์ หลังบอกลาสิ่งมีชีวิตหลังฉากตนนี้ก็รุดหน้าไปยังอาณาจักรที่หลี่จิ่วเต้าพำนัก
ออกมาคราวนี้ เขามาเพื่อหลี่จิ่วเต้าเช่นกัน เขาขาดแคลนความกล้า จึงอยากได้ความกล้าจากหลี่จิ่วเต้า หวังว่าหลี่จิ่วเต้าจะมอบรากฐานพิเศษในโลกหลังฉากให้เขาจำนวนหนึ่ง ให้เขากล้าพอจะไปยังสมรภูมิมืดมิด ต่อสู้เพื่อโลกหลังฉาก รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
“ลำพังหนี คิดหรือจะหนีพ้น หนีไม่พ้นหรอก! ศึกนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยง! การมีชีวิตหาได้น่ายินดี การตายหาได้น่าพรั่นพรึง ข้าต้องไปยังสนามรบ เปล่งแสงเจิดจ้าเป็นครั้งสุดท้าย!”
ดวงตาของเขาลุกวาว มาดมั่นเด็ดเดี่ยว
ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มิใช่ความบังเอิญ นับแต่เขาหนีออกจากสมรภูมิมืดมิดก็ทุกข์ทนเรื่อยมา ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความโทษตัวเอง
จนเขาจะกำเนิดมารในใจอยู่แล้ว
ลงท้ายเขาตัดสินใจรุดหน้าไปยังสมรภูมิมืดมิด
ระหว่างสมรภูมิมืดมิดและโลกหลังฉากมีโลกหน้าฉากกั้นกลาง เขาไม่รู้ว่าการต่อสู้ที่นั่นปิดฉากลงแล้ว
บรรดายอดฝีมือหลังฉากซึ่งเฝ้าระวังอยู่ที่นั่นมิได้ส่งข่าวนี้กลับไป ด้วยกลัวสิ่งมีชีวิตหลังฉากมองโลกในแง่ดีเกินไป เพราะพวกเขารู้ดีว่าศึกนี้ยังไม่จบ ความมืดมิดยังไม่ถูกล้มล้างอย่างแท้จริง
แดนบูชายัญอันธการแห่งนั้นเสมือนดาบที่ห้อยอยู่บนหัวพวกเขา อาจฟาดฟันลงมาได้ทุกเมื่อ
ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ว่าการตัดสินใจของยอดฝีมือหลังฉากถูกต้องแล้ว ช่วงนี้มีความไม่ชอบมาพากลอุบัติในสมรภูมิมืดมิดอีกครั้ง
องค์จ้าวอู๋เฉินอยู่ในขั้นหก เพียงครู่เดียวก็มาถึงอาณาจักรที่หลี่จิ่วเต้าพำนัก
หลังมาอยู่ในอาณาจักรนี้ เขายิ่งสะท้อนใจเข้าไปใหญ่
อาณาจักรนี้มหัศจรรย์กว่าที่ไหน ๆ กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเขายังได้รับผลประโยชน์โดยมิต้องทำอันใด แม้ว่าผลประโยชน์นี้เบาบางเหลือแสนจนแทบไม่มีผล กระนั้นยังเป็นเรื่องน่าทึ่งยิ่ง!
ถึงอย่างไรเขาก็ทรงพลังเป็นหนักหนา ส่งผลประโยชน์ต่อเขาได้เพียงเบาบางก็สุดยอดมากแล้ว เขาไม่ทำอันใดในโลกหลังฉากก็มิอาจได้รับผลประโยชน์อย่างตอนนี้
เท่านี้ก็พอให้คาดการณ์ได้ว่าสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้ได้รับผลประโยชน์มากมายปานใด
ไม่นานนักเขาก็มาถึงเมืองชิงซาน ทว่ามิได้ตรงเข้าไปทันที หากแต่โรยตัวลงจากฟ้า แล้วเดินเท้าเข้าไปในเมืองชิงซาน
เขาไม่เหมือนยอดฝีมือหลังฉากตนอื่น ทะนงตนว่าสูงส่งไม่เห็นหลี่จิ่วเต้าในสายตา เห็นหลี่จิ่วเต้าเป็นเป้าหมายโจมตี เขาให้ความสำคัญต่ออีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง ที่มาครานี้ก็ตั้งใจไปเยี่ยมเยียนหลี่จิ่วเต้า หวังว่าอีกฝ่ายจะยอมให้การสนับสนุนเขาด้วยรากฐานพิเศษในโลกหน้าฉาก
หากปราศจากการสนับสนุนด้วยรากฐานพิเศษในโลกหน้าฉาก ต่อให้เขาบรรลุขั้นหกแล้วก็ยังขาดแคลนความกล้าและความมั่นใจ
“สวัสดีคุณชายหลี่ แม่นางลั่วสุ่ย!”
ขณะที่เขาก้าวเดินบนถนนใหญ่เชื่อมตรงเข้าเมืองชิงซานพลันได้ยินเสียงนี้ดึงดูดความสนใจของเขาไป
คุณชายหลี่?
ก็คือหลี่จิ่วเต้ามิใช่หรือ
หากลำพังคำว่าคุณชายหลี่เขายังไม่อาจแน่ใจ ทว่ามีแม่นางลั่วสุ่ยตามหลัง เขาแน่ใจได้ทันทีว่านี่คือหลี่จิ่วเต้า
เพราะลั่วสุ่ยคือผู้ที่ติดตามอยู่ข้างกายหลี่จิ่วเต้า
เขาหันกลับไป เห็นว่ามีผู้คนบนถนนไม่น้อยกำลังทักทายชายหญิงทั้งคู่ด้วยด้วยความสนิทสนม เขาแน่ใจในบัดดลว่าบุรุษผู้นั้นก็คือหลี่จิ่วเต้า
เมื่อมีขอบเขตระดับเขา ยังมีผู้ที่มองไม่ออกอีกที่ไหน
ทว่าเขามองบุรุษตรงหน้าไม่ออกเลยสักนิด หากมิใช่หลี่จิ่วเต้าแล้วจะเป็นใครได้อีก!
“คุณชายหลี่หรือ”
เขาก้าวเข้าไป
“เจ้าคือ?” หลี่จิ่วเต้าหันมององค์จ้าวอู๋เฉิน
องค์จ้าวอู๋เฉินคลี่ยิ้ม “ได้ยินชื่อเสียงคุณชายหลี่มานาน วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมท่าน”
“เกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ถึงขั้นต้องเยี่ยมต้องเยียน มาสนทนากันเรื่อยเปื่อยพอได้อยู่”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะเบา ๆ “ผู้มาเยียนล้วนเป็นแขก ไปเถิด ไปนั่งเล่นในลานเล็กของข้ากัน”