รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 123 ข้าสือเฟิงไม่มีทางยอมแพ้แค่นี้ สักวันจักกลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้งในที่สุด!
- Home
- รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人
- บทที่ 123 ข้าสือเฟิงไม่มีทางยอมแพ้แค่นี้ สักวันจักกลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้งในที่สุด!
ณ ภาคกลาง
นิกายลับสวรรค์
“เป็นเช่นนี้หรอกหรือ”
เจ้าสำนักลับสวรรค์ อวิ๋นกู่เมื่อได้เห็นและได้ฟังข่าวที่หูช่วงนำมาบอกก็มีสีหน้าประหลาดใจยิ่ง แดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนช่างโชคดีจริง ๆ ได้พบท่านเซียนไม่พอ บัดนี้ยังได้รับใช้ท่านเซียนอีกด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเหมือนกับบุญหล่นทับ ชะตาของแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคงต้องเปลี่ยนแปลงไปเพราะการนี้!
“ข้าก็ว่า…”
เขายิ้มราวกับตระหนักถึงบางอย่าง และคิดตกได้หลายเรื่อง
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไล่สังหารผู้ฝึกตนทุกคนและสัตว์ร้ายทุกตัวที่ก่อเหตุอุกฉกรรจ์ในเมืองปุถุชนโดยไม่สนภูมิหลังรากเหง้าราวกับเสียสติ ต่อให้หนีไปได้ ก็ไล่ตามไปจนถึงเผ่า ถึงสำนัก และฆ่าอย่างไร้ปรานี
หลังจบเรื่อง ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์กลับมาถึงภาคกลางก็แสดงให้เห็นถึงพลังอันน่าทึ่งของร่างวัชระ แม้แต่ผู้อาวุโสและยอดฝีมือทั้งหลายในแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนยังหลอมร่างทิพย์กระดูกหิรัญขึ้นมา จนมีกายเนื้อไร้เทียมทาน!
เวลานั้นเขาพอเดาได้ราง ๆ แล้วว่าประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคงได้รับคำสั่งจากท่านเซียนมา
ร่างวัชระหาได้บำเพ็ญง่าย ๆ ไม่
เมื่อพันปีก่อนมียอดฝีมือผู้หนึ่งฝึกฝนจนสำเร็จร่างวัชระจริง ๆ
แต่นั่นเพราะยอดฝีมือผู้นั้นโชคดีมีบุญ ได้รับเคล็ดวิชาฝึกกายโบราณมาโดยบังเอิญ ถึงได้สำเร็จร่างวัชระ
ทว่าแม้จะบอกว่าเป็นร่างวัชระ กระนั้นมันก็ออกจะไกลจากความจริงไปเสียหน่อย…
เคล็ดวิชาโบราณที่ยอดฝีมือผู้นั้นได้รับมาไม่บริบูรณ์นัก ร่างวัชระของเขาจึงไม่สมบูรณ์ อย่างมากก็ต้านทานการโจมตีจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้เพียงครั้งเดียว…
ทว่าร่างวัชระของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง สองประมุขใหญ่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไร้กำเนิดและแดนศักดิ์สิทธิ์ร้อยบุปผาถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งคู่ ผลสุดท้ายกลับทำอะไรประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไม่ได้เลย
เห็นได้ชัดว่าร่างวัชระของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเป็นร่างวัชระสมบูรณ์!
หากไม่ใช่อภินันทนาการจากท่านเซียน อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ!
จะให้เชื่อได้อย่างไร?
รู้หรือไม่ แม้กระทั่งในยุคโบราณกาล ร่างวัชระก็สำเร็จได้ยากมาก ในบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็มิมียอดฝีมือฝึกฝนร่างวัชระจนสำเร็จเท่าใด
ด้วยสิ่งแวดล้อมฟ้าดิน เคล็ดวิชาที่มีในยุคนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าห่างชั้นจากยุคโบราณกาลตั้งเท่าไหร่ คิดจะฝึกฝนจนสำเร็จซึ่งร่างวัชระนั้น…แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
ท่านเซียนพำนักอยู่ในแดนบูรพาทิศ
และประมุขแดนศักดิ์สิทธ์เหิงเทียนบังเอิญไปที่แดนบูรพาทิศพอดี
หลังจากเขาได้ยินว่า ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมีพฤติกรรมผิดแผกไปจากเดิมซ้ำยังสำเร็จร่างวัชระด้วย ก็นึกถึงท่านเซียนในบัดดล
และบัดนี้เมื่อได้พบหูช่วง มันก็เป็นดังที่เขาคาดเดาจริง ๆ ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนได้รับคำสั่งมาจากท่านเซียนจริง ๆ!
“ลมปราณของเจ้าสำนักแปลกไป…เจ้าสำนักบรรลุก้าวสู่ขอบเขตพรตเต๋าแล้วหรือ?” หูช่วงถาม
ลมปราณพิเศษบางอย่างแผ่ซ่านออกจากตัวอวิ๋นกู่เป็นครั้งคราว ซ้ำมันยังเป็นลมปราณที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนด้วย ดูเหมือนจะอยู่เหนือขอบเขตก่อกำเนิดนภา เขาจึงคาดการณ์ว่าอวิ๋นกู่คงก้าวสู่ขอบเขตพรตเต๋าไปแล้ว
“เพิ่งบรรลุถึง ลมปราณยังไม่เสถียรเท่าใด…”
อวิ๋นกู่ยิ้ม
“อิจฉาจริง ๆ!”
หูช่วงโพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้
ขอบเขตพรตเต๋านับเป็นขอบเขตที่ก้าวสู่ระดับสวรรค์ เป็นขอบเขตที่แบ่งระดับขั้นออกจากกันอย่างแท้จริง แม้กระทั่งในยุคโบราณกาลก็เป็นเช่นนี้ และในยุคปัจจุบันยิ่งยากเย็นกว่าเดิม…
ผู้ฝึกตนในยุคนี้ แทบจะมองขอบเขตพรตเต๋าเป็นจุดสูงสุดของการฝึกตนไปแล้ว ขอบเขตเหนือขอบเขตพรตเต๋า ไม่กล้าแม้แต่จะคิด!
อวิ๋นกู่ก้าวสู่ขอบเขตพรตเต๋าได้ นี่ทำให้เขาอิจฉาจากใจจริง ระดับขั้นของเขาอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดนภา แต่ในด้านบรรลุขอบเขตนั้น เขาไม่มั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว…
ยอดฝีมือที่ติดอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดนภาชั่วชีวิตมีมากเกินคณานับ…ต่างกันเพียงขอบเขตเดียว กลับห่างกันราวฟ้ากับดิน ราวเป็นกับตาย!
“อิจฉาอะไรกัน…ตั้งใจรับใช้คุณชาย ท่านยังต้องกังวลอีกหรือว่าไม่อาจก้าวสู่ขอบเขตพรตเต๋า”
อวิ๋นกู่หันมองหูช่วง พร้อมเอ่ยอย่างตาร้อนผ่าว “ข้าสิต้องอิจฉาท่าน ร่างวัชระสำเร็จได้ยากกว่าบรรลุขอบเขตเสียอีก…”
กายเนื้อบำเพ็ญยาก
โดยเฉพาะขอบเขตอย่างร่างวัชระ
พูดอย่างไม่เกินจริง ร่างวัชระยากเกินกว่าบรรลุขอบเขตฝึกตนหลายเท่าตัวนัก
ขณะเดียวกัน การบำเพ็ญหัวใจเต๋าก็ลำบากยากยิ่งเช่นกัน
การบำเพ็ญของผู้ฝึกตนนั้นไม่ง่ายเลย ไม่เพียงแต่ต้องรู้แจ้งในวิถีคำสอน กายเนื้อและหัวใจเต๋าก็ต้องตามให้ทันด้วย มิเช่นนั้นมันก็ยากจะยกระดับให้สูงขึ้นได้
หูช่วงหัวเราะ เขาเองก็ทราบว่าร่างวัชระฝึกฝนได้ยากกว่าบรรลุขอบเขตฝึกตนนัก
เขาช่างโชคดีเหลือเกิน ไม่จำเป็นต้องกังวลด้านกายเนื้อไปอีกนาน
“พวกเราเลิกอิจฉากันไปมาอยู่ตรงนี้เถิด คำสั่งของคุณชายสำคัญกว่า!”
อวิ๋นกู่มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “ข้าจะไปติดต่อคนไว้ประเดี๋ยวนี้ และเตรียมเป็นกำลังเสริมทุกเมื่อ!”
“ได้” หูช่วงพยักหน้า
…
ณ แดนบูรพาทิศ
“เมื่อใดจะจบเสียที…”
สือเฟิงแหงนหน้าถอนหายใจ ไม่เหลือเค้าความสดใสเหมือนเมื่อครั้งอยู่ร่วมกับเหล่าศิษย์พี่ร่วมสำนัก
เขามีสีหน้าหม่นหมอง จิตใจเศร้าสลด ตะวันอัสดงยืดเงาเขาออกไปยาวเหยียด เขาดูไม่เหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี กลับเหมือนชายหนุ่มวัยกลางคนผู้ผ่านร้อนผ่านหนาว และถูกชีวิตกระแทกกระทั้นมาอย่างหนัก…
ก็เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?
โอรสสวรรค์ในวันวาน และเป็นที่จับตามองของคนทุกผู้ มีคนคอยส่งเสริมมากมาย ซ้ำยังถูกฝากความหวังไว้ ผลสุดท้ายกลับเยี่ยมยอดตอนต้นทว่าตกต่ำตอนปลาย ระดับขั้นขอบเขตหยุดชะงักไม่พัฒนา ไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใด ๆ มาตลอดหกปี…
เรื่องผิดคาดมหันต์และความสะเทือนใจที่เกิดขึ้นหนักหนาเหลือเกิน ไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่รู้สึกดีนักหากต้องประสบพบเจอ…
“เจ้านิกาย ฉินซิน…”
เมื่อเขานึกถึงเจ้านิกายและฉินซิน ความอบอุ่นพลันแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจ
ตลอดระยะหกปี หากมิได้เจ้านิกายและฉินซิน เขาคงทนไม่ไหวเป็นแน่ มิแคล้วจิตใจแตกสลายไปนานแล้ว
จะให้ทนได้อย่างไร?
ฝึกฝนบำเพ็ญข้ามวันข้ามคืนอยู่ทุกวี่ทุกวัน สุดท้ายขอบเขตฝึกตนกลับไม่กระดิกเลยแม้แต่น้อย ขอบเขตประสานวิญญาณนี้ประหนึ่งเหวลึก ถมอย่างไรก็ไม่เต็ม…
หนึ่งวันสองวันยังพอไหว แต่เป็นเช่นนี้มาตลอดหกปี ผู้ใดเล่าจะทนไหว?
มิหนำซ้ำเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง…
เขาเคยคิดยอมแพ้ คิดเพียงว่าปล่อยไปแบบนี้ ไม่ขอฝึกตนอีกต่อไป ทว่าลึก ๆ เขากลับเจ็บใจนัก และไม่อยากทำให้เจ้านิกายกับฉินซินต้องผิดหวังจริง ๆ!
ตลอดหกปี เจ้านิกายดูแลเป็นห่วงเป็นใยเขาดียิ่ง ได้สมบัติล้ำค่าหรือโอสถวิเศษชิ้นใดมา ก็จักนำมาให้เขาเป็นคนแรกเสมอ ให้เขาได้กลืนกินหลอมละลาย หวังจะแก้ปัญหาของเขา
ทว่าเขาหาใช่โอรสสวรรค์ในอดีต บัดนี้ตกสวรรค์มานานนับหลายปีแล้ว แต่เจ้านิกายยังดีกับเขาเยี่ยงนี้ มิได้กดดันตัวเขาเลย!
ผู้อาวุโสและบรรดาลูกศิษย์ในนิกายต่างไม่พอใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก…
ทว่าเจ้านิกายไม่คิดสนใจ และไม่เคยทอดทิ้งเขาสักครา แล้วเขาไฉนเลยจะตัดใจยอมแพ้ละทิ้งทุกอย่างได้ลง จนเจ้านิกายต้องเสียใจ…
เขาทำไม่ได้!
อีกทั้ง…ฉินซิน
นับแต่เขาร่วงหล่นจากตำแหน่งโอรสสวรรค์ ระดับขั้นหยุดชะงักไม่ก้าวหน้า รอบกายเขาก็หมดสิ้นเพื่อนฝูง ศิษย์ที่เคยเอาแต่วนเวียนอยู่รอบกายเขาก็หายไปจนหมด
ลานเล็กที่เขาอาศัยอยู่ เงียบเหงาเป็นนิตย์ มีตัวเขาเพียงลำพังที่ถูกโอบล้อมด้วยความโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ทว่าวันเวลาเช่นนี้มิได้ดำเนินต่อไปได้นานนัก…
ฉินซินมาเยือนลานเล็กของเขา
ตลอดหกปีนี้ ฉินซินมาไม่เคยขาดแม้สักวัน มาหาเขาที่ลานเล็กนี้ทุกวัน
ความเงียบเหงาในลานเล็กของเขาไม่เหลืออยู่อีกต่อไป และความโดดเดี่ยวที่โอบล้อมเขาอันตรธานไปจนสิ้น ฉินซินมาหาเขาและไม่เคยกล่าวถึงเรื่องราวการฝึกตนเลยสักครั้ง เพียงแต่แบ่งปันเรื่องราวสนุก ๆ กับเขาเท่านั้น
เขารู้ดีว่าที่ฉินซินไม่กล่าวถึงเรื่องราวการฝึกตนเพราะกลัวไปสะกิดความโศกเศร้าในใจเขาเข้า ฉินซินเป็นกำลังใจให้เขาอยู่เงียบ ๆ!
จุดประสงค์ที่ฉินซินพาเขามายังแดนบูรพาทิศในครานี้เขาก็รู้ดี…
เจ้านิกายกับฉินซินดีกับเขาขนาดนี้ หากเขายอมแพ้ เขายังเป็นคนอยู่หรือ?
“สวรรค์บัดซบ! ไม่ว่าเจ้าจะเล่นงานข้าเพียงใด ข้าก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้หรอก! ข้าสือเฟิงจักเห็นฟ้าหลังฝนสักวัน และกลับสู่จุดสูงสุดให้จงได้!”
เขาคำรามลั่น ระบายอารมณ์ของตนเอง ต่อให้ไม่ทำเพื่อตัวเอง เขาก็ต้องผงาดง้ำอีกครั้งเพื่อเจ้านิกายและฉินซินให้ได้!