รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 124 ช่างน่าอับอายนัก ทำสหายตัวน้อยตกใจกลัวแล้ว!
- Home
- รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人
- บทที่ 124 ช่างน่าอับอายนัก ทำสหายตัวน้อยตกใจกลัวแล้ว!
ห่างออกไปไม่ไกลจากสือเฟิงมากนัก
หลี่จิ่วเต้ากำลังพาเด็ก ๆ ประมาณเจ็ดแปดคนเดินไปตามถนนและหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
มีเด็กคนหนึ่งวิ่งไปข้างหน้าอย่างชอบอกชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าจู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินสือเฟิงตะโกนเสียงดัง แล้วเด็กคนนั้นที่ได้ยินสุ้มเสียงตะโกนก็ตกใจกลัวจนตัวสั่นเทาไม่หยุด
“คุณชาย เขาน่ากลัวมาก!”
เด็กคนนั้นตกใจรีบวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาซ่อนตัวอยู่ข้างหลังหลี่จิ่วเต้า ก่อนจะโผล่ศีรษะออกมามองครึ่งเดียว พร้อมกับใช้มือน้อย ๆ จับชายเสื้อผ้าของหลี่จิ่วเต้าเอาไว้แน่น
คนข้างหน้านั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก จู่ ๆ เขาก็ตะโกนเสียงดังออกมา ทำเอาหัวใจดวงน้อยของเขาตกใจเต้น ‘ตุบ ตุบ ตุบ’!
“คุณชาย…ไม่ใช่พวกเราเจอคนบ้าแล้วหรอกหรือ?”
“จริงด้วยขอรับคุณชาย!”
เด็กที่เหลือต่างหวาดกลัวเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดพากันซ่อนตัวอยู่ข้างหลังหลี่จิ่วเต้า
นี่เกิดอะไรขึ้น?
อย่าว่าแต่เด็ก ๆ เลย กระทั่งหลี่จิ่วเต้ายังถูกเสียงตะโกนนั้นทำให้ตกใจจนสะดุ้งโหยง
จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนกลางถนน ใครเล่าจะไม่ตกใจ!
ด้านหน้า สือเฟิงได้ยินคำพูดของเด็ก ๆ แล้วสีหน้าของเขาก็พลันแดงขึ้นทันที รู้สึกอับอายยิ่ง!
เพราะมัวแต่นึกถึงความทรงจำชวนให้จิตใจไม่สงบ จึงอดไม่ได้ที่จะร้องตะโกนระบายความรู้สึกในใจออกมา โดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนอยู่ข้างหลัง…
นี่มันช่างน่าอายเกินไปแล้ว!
อย่าว่าแต่เจ้าพวกเด็กเหล่านั้น แม้แต่เขาหากเจอคนตะโกนกะทันหันกลางถนนเช่นนี้ออกมา เขาเองก็มองคนผู้นั้นเป็นคนบ้าเหมือนกัน!
“ขออภัย ๆ เมื่อครู่ข้าเผลอนึกถึงเรื่องทำร้ายจิตใจจึงตะโกนระบายอารมณ์ออกมาอย่างอดไม่ได้ ทำพวกเจ้าต้องตกใจแล้ว ข้าขอโทษเป็นอย่างยิ่ง!”
สือเฟิงหันมากล่าวขอโทษหลี่จิ่วเต้าและเด็ก ๆ
เรื่องทำร้ายจิตใจ?
อายุยังน้อยไม่มากเท่าเขามีเรื่องอะไรทำร้ายจิตใจได้กัน?
เหตุใดต้องทำตัวโตเกินวัยราวกับคนวัยกลางคนเช่นนี้ด้วย…
หลี่จิ่วเต้าครุ่นคิดในใจ
“มิเป็นไร ๆ ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่ไม่ดีทั้งนั้น การร้องตะโกนออกมาช่วยระบายได้จริง ๆ”
หลี่จิ่วเต้ายิ้มกล่าวอย่างสุภาพ
ลักษณะคนตรงหน้าดูไม่ธรรมดา ไม่คล้ายปุถุชน ให้ความรู้สึกเหมือนกับผู้ฝึกตนอย่างเซี่ยเหยียนมากกว่า
หลี่จิ่วเต้าคิดว่าคนตรงหน้าน่าจะเป็นผู้ฝึกตน
หากเป็นเมื่อก่อน ได้พบกับผู้ฝึกตนที่ไม่รู้จักเช่นนี้ เขาน่าจะกลัวจนเป็นกังวลแน่นอน
เมื่อหลายวันก่อนก็วุ่นวายจริง ๆ นั่นแล ผู้ฝึกตนมากมายเข่นฆ่าปุถุชนธรรมดาจนบ้านเมืองโกลาหล ช่างกล้าทำเรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรมตามอำเภอใจยิ่ง
ทว่าตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหรือกังวลแม้แต่น้อยแล้ว
เพราะหลายวันที่ผ่านมามีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทุกหนทุกแห่งว่า พวกสัตว์ปีศาจกับเหล่าผู้ฝึกตนที่สร้างความวุ่นวายในเมืองปุถุชน หากไม่ถูกสังหารก็ถูกทำให้หวาดกลัวจนหนีหายไป
หลี่จิ่วเต้าเองก็รู้ว่าเบื้องหลังของพวกสัตว์ปีศาจกับเหล่าผู้ฝึกตนที่สร้างความโกลาหลในเมืองปุถุชน คนพวกนั้นเป็นผู้ฝึกตนมาจากต่างถิ่นนอกแดนบูรพาทิศ นั่นก็คือแดนอุดรทิศ แดนทักษิณทิศ แดนประจิมทิศ ภาคกลางกับพวกสัตว์ปีศาจ!
ส่วนผู้ที่ลงมือสังหารพวกสัตว์ปีศาจกับเหล่าผู้ฝึกตนที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายในเมืองปุถุชนนั้น ก็เป็นกองกำลังผู้ฝึกตนขนาดเล็กและใหญ่จากทั่วแดนบูรพาทิศ
เขาคิดว่าเหล่าผู้ฝึกตนจากภูมิภาคอื่นน่าจะถูกนิมิตที่เคยปรากฏในแดนบูรพาทิศดึงดูดมา
อย่างไรเสีย ก่อนนิมิตจะปรากฏขึ้นในแดนบูรพาทิศก็ไม่ได้มีเหล่าผู้ฝึกตนกับพวกสัตว์ปีศาจมากอยู่แล้ว ทว่าหลังจากนิมิตแดนบูรพาทิศปรากฏขึ้น ถึงมีเหล่าผู้ฝึกตนกับพวกสัตว์ปีศาจต่างถิ่นปรากฏตัวมากขึ้นในแดนบูรพาทิศ
เพราะเห็นแดนบูรพาทิศข่มเหงง่าย ดังนั้นจึงกล้ากระทำความชั่วก่อบาปกรรมในแดนบูรพาทิศหรือ?
หลี่จิ่วเต้าหวนนึกถึงตอนนั้น คิด ๆ แล้วเหล่าผู้ฝึกตนกับพวกสัตว์ปีศาจต่างถิ่นออกจะดูแคลนแดนบูรพาทิศเกินไปหน่อย อีกอย่าง แดนบูรพาทิศหาได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น
ครานี้ขนาดกองกำลังผู้ฝึกตนชั้นนำของแดนบูรพาทิศยังมิได้ลงมือ เหล่าผู้ฝึกตนกับพวกสัตว์ปีศาจต่างถิ่นเหล่านั้นยังหนีกระเจิง ตายตกเป็นว่าเล่น หนีหัวซุกหัวซุน ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่คู่ต่อกรทั้งสิ้น
“สำนักไท่หัวช่างร้ายกาจยิ่งนัก สยบทั้งเหยียนโจวได้! ”
ตอนนั้นหลี่จิ่วเต้าเต็มไปด้วยอารมณ์ปลดปลง
ชายหนุ่มได้ยินมาตลอดว่า ในแดนบูรพาทิศมีเมืองปุถุชนหลายแห่งได้รับความเสียหายรวมถึงถูกสังหารหมู่ ยังดีที่เขาอยู่ในเมืองชิงซานและไม่มีอะไรผิดปกติ อาจจะต้องพูดว่า ไม่มีผู้ฝึกตนคนไหนกล้าเข้ามาก่อความวุ่นวายเลย
นี่บ่งบอกได้ว่าสำนักไท่หัวแข็งแกร่งมาก จนทำให้พวกสัตว์ปีศาจ ผู้ฝึกตนจากแดนอุดรทิศ แดนทักษิณทิศ แดนประจิมทิศและภาคกลางเอง ต่างก็เกรงกลัวสำนักไท่หัวเช่นกัน!
“นี่คิดจริง ๆ หรือว่านอกจากสำนักไท่หัวแล้ว กองกำลังผู้ฝึกตนอื่นในแดนบูรพาทิศจะไม่ได้ความ ช่างน่าขันยิ่ง ความแข็งแกร่งของกองกำลังผู้ฝึกตนอื่นในแดนบูรพาทิศยังเหนือกว่า!”
เหล่าผู้ฝึกตนกับพวกสัตว์ปีศาจต่างถิ่นเหล่านั้นไม่กล้ายั่วยุสำนักไท่หัว แต่กลับไม่เห็นกองกำลังผู้ฝึกตนอื่นในแดนบูรพาทิศอยู่ในสายตา สังหารปุถุชนในเมืองปุถุชนของแดนบูรพาทิศตามอำเภอใจ
เป็นผลให้กองกำลังผู้ฝึกตนในแดนบูรพาทิศเหล่านี้ขุ่นเคือง หลังจากนั้น พวกเขาก็รวบรวมพลสังหารเหล่าผู้ฝึกตนกับพวกสัตว์ปีศาจต่างถิ่นเหล่านี้จนสิ้นทันที
“มิน่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดสำนักไท่หัวจึงไม่ลงมือ ที่แท้เป็นเพราะสำนักไท่หัวรู้ว่าผู้ฝึกตนพวกนั้นกับพวกสัตว์ปีศาจต่างถิ่นไม่ได้ความ กองกำลังผู้ฝึกตนอื่นในแดนบูรพาทิศสามารถจัดการได้เอง…”
เมืองชิงซานอยู่ติดกับสำนักไท่หัว หากสำนักไท่หัวเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ย่อมมีข่าวมาถึงเมืองชิงซานอย่างแน่นอน
แต่ตอนนั้น สำนักไท่หัวหาได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
ในเวลานั้นเขายังบ่นสำนักไท่หัวอยู่เลยว่า สำนักไท่หัวนั้นเลือดเย็นยิ่งนัก ไม่คิดสนใจจัดการเหล่าผู้ฝึกตนกับพวกสัตว์ปีศาจต่างแดนที่เข้ามาเข่นฆ่าปุถุชนในแดนเรา
ถึงแม้ในตอนนั้น เขาคิดอยากจะขอร้องเซี่ยเหยียน ขอร้องผู้เฒ่าเวิง ขอให้สำนักไท่หัวออกหน้าหยุดยั้งเหตุการณ์นี้
เขาเพิ่งจะมารู้หลังจากข่าวแพร่สะพัดออกไป
ไม่ใช่ว่าสำนักไท่หัวไม่ลงมือ แต่สำนักไท่หัวไม่จำเป็นต้องลงมือเลยด้วยซ้ำ เพราะเพียงกองกำลังผู้ฝึกตนอื่นในแดนบูรพาทิศก็สามารถจัดการปัญหานี้ได้แล้ว
อีกอย่าง ตอนนั้นสำนักไท่หัวอาจไม่สะดวกเคลื่อนไหวก็เป็นได้
อย่างไรเสียกองกำลังผู้ฝึกตนอื่นในแดนบูรพาทิศก็จัดการได้
อาณาเขตใครอาณาเขตมัน ส่วนไหนมีความสามารถย่อมลงมือจัดการเอง เจ้าคิดสอดมือเข้าไปยุ่งเช่นนี้ จะไม่เป็นการดูถูกพวกเขาหรือ?
“เอนซบต้นใหญ่ให้ร่มเย็นเสียกว่า[1] ไม่เลว ๆ ย้ายมาอาศัยในเมืองชิงซานตั้งแต่แรกนับว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องจริง ๆ!”
หลังจากข่าวแพร่สะพัดออกไป หลี่จิ่วเต้าก็เข้าใจมากขึ้น พลันรู้สึกว่าเขาในตอนนั้นช่างโชคดีนัก
ช่างโชคดีที่เขาไม่ได้ไปอยู่เมืองอื่นหรือซ่อนตัวในหุบเขาลึก ไม่เช่นนั้นหากเหล่าผู้ฝึกตนกับพวกสัตว์ปีศาจต่างถิ่นมาก่อความโกลาหลในแดนบูรพาทิศ มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะถูกสังหารไปแล้ว!
สำนักไท่หัวไหนเลยจะทัดเทียมเหล่าผู้ฝึกตนกับพวกสัตว์ปีศาจต่างแดนนั้นได้ แท้จริงแล้วยังแข็งแกร่งกว่าสำนักไท่หัวมากนัก สำนักไท่หัวต่อหน้าเหล่าผู้ฝึกตนกับพวกสัตว์ปีศาจต่างแดนจะนับเป็นอะไรไปได้
พวกเขาล้วนหวาดกลัวแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนต่างหาก!
ตอนอยู่ในซากปรักหักพังของราชวงศ์อวี่ฮว่า พวกเวิงอู๋โยวทั้งสามคนมีความขัดแย้งกับไป๋หยู ผู้อาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงหลินเข้า
ตอนนั้นไป๋หยูอยากสังหารพวกเวิงอู๋โยวทิ้งทันที
ประจวบเหมาะกับพวกเขาคิดว่าพวกเวิงอู๋โยวทั้งสามคนต้องตายตกเป็นแน่ ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกลับออกหน้าให้พวกเวิงอู๋โยวทั้งสามคน และหยุดยั้งไป๋หยูไว้
แต่พวกเขาไม่ได้โง่หรือไร้เดียงสาปานนั้น ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนจะออกหน้าให้พวกเวิงอู๋โยวทั้งสามคนโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนย่อมต้องมีสัมพันธ์อันดีกับพวกเวิงอู๋โยวทั้งสามคนเป็นแน่
พวกเขารู้ว่าพวกเวิงอู๋โยวทั้งสามคนมาจากสำนักไท่หัวกับสำนักเมฆาลับฟ้า ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่กล้าไปสร้างปัญหาที่สำนักไท่หัวกับสำนักเมฆาลับฟ้า
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า เหตุใดสำนักไท่หัวกับสำนักเมฆาลับฟ้าจึงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
สือเฟิงแย้มยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้กับหลี่จิ่วเต้าเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก
เขาไม่รู้สึกถึงความผันผวนพลังวิญญาณของหลี่จิ่วเต้าเลย หลี่จิ่วเต้าน่าจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
“เอาล่ะ พวกเราทุกคนเดินต่อกันเถอะ ไว้พอถึงเขาลี่แล้วค่อยเที่ยวเล่นวาดภาพกัน”
หลี่จิ่วเต้ากล่าวกับเด็ก ๆ
[1] เอนซบต้นใหญ่ให้ร่มเย็นเสียกว่า (大树底下好乘凉) อุปมาถึงการพึ่งพึงในความสัมพันธ์ โดยไม่ต้องลงมือด้วยตัวเอง