รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 152 หทัยแห่งกาลเวลา ยุคสมัยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้!
- Home
- รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人
- บทที่ 152 หทัยแห่งกาลเวลา ยุคสมัยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้!
แม้กระทั่งกฎแห่งสวรรค์และโลกยังไม่ไหว ถูกรบกวนอย่างหนัก พลังเต๋าและกฎสูญสิ้นทั้งหมด ใช้ได้เพียงพลังกายเนื้อ…
ผู้เฒ่าเมิ่งจีสนใจในสมบัติลึกลับชิ้นนี้ หรือก็คือตู้เย็นเป็นอย่างมาก
“เชิญดู”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนนำผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมออกมาวางบนโต๊ะ
แต่เดิมผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมนี้มีพลังเวลาสุดสยดสยองแผ่ซ่านอยู่รอบ ๆ จนปรภูมิเวลารอบ ๆ โกลาหลยุ่งเหยิง บ้างไวขึ้น บ้างช้าลง
สาเหตุที่สถานที่ตรงนั้นกลายเป็นแดนลับ ก็เพราะมีพลังเวลาสุดสยองนี้ค้ำจุนเอาไว้
นอกจากนี้ กฎแห่งสวรรค์และโลกถูกรบกวนกดดันจากพลังเวลาสุดสยองนี้เช่นกัน พลังเต๋าและกฎจึงไม่อาจใช้ได้ตามปกติ
เดิมทีเขาไม่สามารถเก็บผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมนี้มาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะถือไว้ในมือ
เขาไม่อาจเข้าใกล้ได้ด้วยซ้ำ
ยังดีที่ท่านเซียนมอบกล่องไม้ให้เขา
แสนยานุภาพของกล่องไม้นั้นเกินหยั่ง หลังจากเก็บผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมเข้าไปแล้ว พลังแห่งกาลเวลาจากผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมที่หลงเหลืออยู่ข้างนอกถูกกำราบจนสิ้น!
และตอนนี้ ผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมนี้ก็ไม่มีพลังรั่วไหลออกมาแม้แต่น้อย
เขาถึงสามารถเก็บผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมนี้ได้ตามต้องการ อีกทั้งยังถือไว้ในมือได้ด้วย
“นี่ก็เป็นวัตถุเซียนเหมือนกัน…!”
ผู้เฒ่าเมิ่งจีมองผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมบนโต๊ะ เขาดูไม่ออกว่าคือสิ่งใด แต่เขารู้ดีว่านี่คือวัตถุเซียน เป็นสมบัติจากภพเซียน!
ไม่ได้ยินที่ท่านเซียนบอกหรือ ตู้เย็นเป็นเพียงของชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากบ้านเกิดท่านเซียน…
“ประเดี๋ยวก่อน…”
ในตอนนั้นเอง ลมหายใจผู้เฒ่าเมิ่งจีพลันติดขัดขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะนึกออกแล้วว่าของชิ้นนี้คือสิ่งใด
“ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็น ‘หทัยแห่งกาลเวลา’!”
ผู้เฒ่าเมิ่งจีหัวใจเต้นแรง เพราะนึกถึงข่าวลือเก่าแก่ข่าวหนึ่งขึ้นมาได้
“สิ่งใดหรือ?”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนขมวดคิ้ว เขาไม่เคยได้ยิน ‘หทัยแห่งกาลเวลา’ มาก่อน
สำหรับความไม่รู้ของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้เฒ่าเมิ่งจีไม่รู้สึกแปลกใจเท่าใด
ข่าวลือเก่าแก่นี้ เขาเห็นจากคัมภีร์โบราณที่เหลืออยู่เพียงเล่มเดียว
“ท่านรู้หรือไม่…เคยมียุคสมัยหนึ่งถูกกลบไปกับกาลเวลา และไม่เป็นที่รู้จักของมวลมนุษย์!”
สิ่งที่ผู้เฒ่าเมิ่งจีกล่าวมานั้นชวนตะลึงเป็นอย่างมาก
“กระไรนะ!”
“เคยมียุคสมัยที่ไม่มีผู้ใดรู้จักด้วยหรือ!?”
สีหน้าประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและหูช่วงเปลี่ยนไปอย่างมาก จิตใจสะท้านรุนแรง แปลกใจเป็นที่สุด!
ไม่ว่าเป็นยุคสมัยที่เก่าแก่เพียงใด ล้วนมีบันทึกตกทอดลงมา ต่างกันที่มากน้อยเท่านั้น
เป็นไปได้อย่างไรที่มียุคสมัยซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จัก!?
“ถูกต้อง”
ผู้เฒ่าเมิ่งจีมีสีหน้าเคร่งเครียด “ยุคสมัยนั้นหาใช่ยุคสมัยดึกดำบรรพ์ที่สุด ถือว่าเป็นยุคสมัยตอนกลาง ทว่ากลับไม่มีบันทึกตกทอดลงมาแม้แต่น้อย หายลับไปกับสายลมท่ามกลางยุคสมัยมากมาย!”
เขากล่าวถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ
บันทึกเล่มนั้นเป็นมิใช่พงศาวดารอย่างเป็นทางการ จึงมีข้อมูลไม่ครบถ้วน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้เขียนคือใคร บันทึกเล่มนั้นอยู่ในคลังสมบัติของนิกายลับสวรรค์
เมื่อครั้งเขาได้อ่านบันทึกประวัติศาสตร์อย่างไม่เป็นทางการเล่มนั้นแล้ว รู้สึกเพียงว่าเป็นบันทึกที่เพ้อเจ้อเกินไป เรื่องราวที่มีบันทึกไว้ไม่น่าเชื่อเท่าใด
เวลานั้นเขาอายุยังน้อย เป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยละอ่อนเท่านั้น
เขาเคยถามท่านอาจารย์ของเขาถึงที่มาของบันทึกประวัติศาสตร์เล่มนั้น
ผลปรากฏว่า ท่านอาจารย์ของเขาก็ไม่รู้เช่นกัน…
เขาจึงถามผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ดู ผลปรากฏว่าไม่รู้เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าเหตุใดบันทึกประวัติศาสตร์เล่มนี้ถึงโผล่มาในคลังสมบัติของนิกายลับสวรรค์ได้
มาตอนนี้ หลังจากเขาได้เห็นผลึกใสรูปร่างสี่เหลี่ยมนี้แล้ว ก็พลันนึกถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์เล่มนั้น
คล้ายว่าเป็นการบันทึกเรื่องราวของผู้ยิ่งใหญ่เกินหยั่งท่านหนึ่ง พยากรณ์ออกมาได้ว่ามียุคสมัยที่หายไป จึงจดเอาไว้
ในนั้นยังกล่าวอีกว่า ยุคสมัยนั้นเป็นยุครุ่งเรืองที่สุด วัฒนธรรมการฝึกตนเรืองรอง ไม่ด้อยไปกว่ายุคสมัยอื่นที่เคยอุบัติก่อนหน้า!
“บันทึกเล่มนั้นเรียกยุคสมัยนั้นว่า ยุคอลหม่านปรัมปรา…”
ผู้เฒ่าเมิ่งจีเล่าเป็นจังหวะแช่มช้า
ยุคอลหม่านปรัมปรา กำเนิดวีรชนมากมาย เผ่าพันธุ์สะท้านพิภพดำรงอยู่นานัปการ
คล้ายว่าพวกเขาบุกเบิกเส้นทางบรรลุเซียนได้สำเร็จ กำลังรบชั้นนำบุกทะลวงด้วยกัน ด้วยความหวังจะเข้าไปในภพเซียนและครองตำแหน่งเซียน
ทว่า…นั่นมิใช่เส้นทางบรรลุเซียน!
ผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมก้อนหนึ่งตกลงมาจากที่นั่น ประกายเทวะส่องสว่างไปทั่วหล้า จังหวะแห่งเซียนโถมทับ จนผู้คนต่างเข้าใจผิดว่าเส้นทางบรรลุเซียนปรากฏ!
จากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก…
ยุคอลหม่านปรัมปราอันตรธานไปกลางอากาศ ไม่เหลือแม้กระทั่งบันทึกสักหน้า!
“ในบันทึกโบราณเรียกผลึกชิ้นนั้นว่า ‘หทัยแห่งกาลเวลา’”
ผู้เฒ่าเมิ่งจีมองผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมบนโต๊ะ ก่อนจะกล่าวด้วยใบหน้าเหลือเชื่อ “ผู้เขียนบันทึกโบราณอย่างไม่เป็นทางการเล่มนั้นต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับไหนเชียว ถึงพยากรณ์จนล่วงรู้ว่ามียุคอลหม่านปรัมปราที่หายไปอย่างสิ้นเชิง!”
แต่เดิมเขาไม่เชื่อบันทึกเล่มนั้น
ทว่าผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมบนโต๊ะนี้เหมือนกับก้อนผลึกที่บันทึกไว้เปี๊ยบ!
เช่นนี้เขาไม่อาจไม่เชื่อ!
บันทึกประวัติศาสตร์เล่มนั้นยังกล่าวไว้อีกว่า ก้อนผลึกนั้นมีพลังเวลาอันไร้ขีดจำกัด บันทึกกล่าวไว้ว่าที่ยุคอลหม่านปรัมปราอันตรธานกลางอากาศได้นั้น เป็นไปได้ว่าถูกพลังเวลาจากก้อนผลึกนั้นโอนย้ายไปอยู่ในอนาคต!
หากยุคอลหม่านปรัมปราถูกโอนย้ายไปอยู่ในยุคโบราณ ย่อมต้องมีบันทึกตกทอดลงมา
ทว่าหาได้มีบันทึกใด ๆ ตกทอดลงมาไม่…
ผู้เขียนบันทึกประวัติศาสตร์อย่างไม่เป็นทางการเล่มนี้พยากรณ์ว่าบางทียุคอลหม่านปรัมปราอาจปรากฏในยุคอนาคตสักสมัย พร้อมทั้งเรียกก้อนผลึกสี่เหลี่ยมนั้นว่า ‘หทัยแห่งกาลเวลา’!
“ร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียว!”
“สวรรค์!”
หลังจากประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและหูช่วงฟังจบ ก็หันมองผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมบนโต๊ะด้วยความตกตะลึง
พวกเขารู้ว่าผลึกใสนี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นก็ยังคิดไม่ถึงว่าผลึกใสนี้จะน่ากลัวถึงเพียงนี้!
ยุคทั้งยุคถูกผลึกใสรูปทรงสี่เหลี่ยมนี้โอนย้ายออกไป!
“ภัยพิบัติในยุคโบราณร้ายแรงเกินไป ส่งผลให้การสืบสานนิกายลับสวรรค์ของเราขาดหายไปเป็นจำนวนมาก ไม่อย่างนั้นคงได้รู้แล้วว่าบันทึกประวัติศาสตร์เล่มนั้นมาจากที่ใด!”
ผู้เฒ่าเมิ่งจีถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย
บันทึกประวัติศาสตร์เล่มนั้นไม่มีโผล่มาอยู่ในนิกายลับสวรรค์ของพวกเขากลางอากาศ
เห็นได้ชัดว่าที่พวกเขาไม่รู้ที่มาของบันทึกประวัติศาสตร์เล่มนั้น เป็นผลจากการสืบสานยุคโบราณที่ขาดหายไป
“น่าทึ่งเกินไปแล้ว!”
หลังจากประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนฟังจบก็ไม่อาจสงบใจได้อยู่นาน สิ่งที่ผู้เฒ่าเมิ่งจีกล่าวมานั้นเกินกว่าโลกทัศน์ที่เขามีไปมาก!
เขาไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึงการโอนย้ายยุคสมัย!
“นี่คือของชิ้นเล็กจากบ้านเกิดท่านเซียนที่ไม่ควรค่าให้พูดถึงหรือ”
เสียงของหูช่วงสั่นเครือ อย่างที่คิดเลย สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับเซียนล้วนน่าเหลือเชื่อ และอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทุกอย่าง!
แม้กระทั่งของชิ้นน้อยที่ไม่ควรค่าให้พูดถึงในปากท่านเซียนยังอยู่เหนือจินตนาการถึงเพียงนี้ น่าตกใจยิ่งนัก!
เวลานั้นเอง ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้
“‘หทัยแห่งกาลเวลา’ ปรากฏในยุคนี้ นั่นหมายความว่ายุคอลหม่านปรัมปราอาจแสดงตัวในยุคนี้ใช่หรือไม่!?”
เขาถามอย่างอดไม่ได้
ผู้เฒ่าเมิ่งจีผงะไป
“ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้!”
เขาครุ่นคิด รู้สึกว่าที่ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนว่ามานั้นมีเหตุผล
“หากเป็นเช่นนั้นจริง สรรพสิ่งในยุคนี้ย่อมต้องเปลี่ยนไป!”
หูช่วงเอ่ยเสียงสั่น