รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 227 ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้ร้องขอกับเจ้า แต่ข้าเพียงแจ้งให้เจ้าทราบ
- Home
- รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人
- บทที่ 227 ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้ร้องขอกับเจ้า แต่ข้าเพียงแจ้งให้เจ้าทราบ
ทางเดินมืดมน มิหนำซ้ำยังน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
กระบี่จักรพรรดิดาราจรัสของบรรพจารย์ถูกยับยั้งไว้จนมิอาจเปล่งประกายออกมาได้ นี่ทำให้หยวนอีกับคนอื่น ๆ มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด
เป็นถึงกระบี่จักรพรรดิ แต่กลับถูกสะกดข่มไว้จนน่าสังเวช!
ผู้ใดจะคาดเดาได้ว่า เส้นทางต่อจากไปนี้จะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด!
“ไป”
อย่างไรก็ตามหยวนอีกับคนอื่นหาได้หวาดกลัวไม่ พวกเขายังคงเดินไปเบื้องหน้าต่อ หยวนอีเป็นคนเดินนำไปตามทางอย่างระมัดระวัง
ไม่รู้ว่าทางเดินนี้ยาวเพียงใด ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นสีดำสนิท ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดชวนให้คนหวั่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง…
…
ณ ภาคกลาง เหยียนโจว
ลัทธิไท่เสวียน
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงพลิกอ่านบันทึกในคัมภีร์โบราณอย่างรวดเร็ว พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็อ่านบันทึกในคัมภีร์โบราณจบ
ทั้งสองมองหน้ากันพลางส่ายหน้าไปมา
คัมภีร์โบราณเหล่านี้ไม่มีเบาะแสที่พวกเขาต้องการ
เมล็ดพันธุ์ผักมีในบันทึกน้อยมาก แทบจะหาไม่เจอ เทียบไม่ได้กับผลไม้หรือสมุนไพรระดับจักรพรรดิ และระดับมหาจักรพรรดินั้นที่มีอยู่ไม่น้อย ทั้งยังมีบันทึกไว้มากกว่า
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนถามหยวนเซิ่ง “นี่เป็นคัมภีร์โบราณทั้งหมดในลัทธิเจ้าแล้วหรือ?”
“นอกจากคัมภีร์อภินิหารที่สืบทอดภายในลัทธิของข้า นี่ก็เป็นคัมภีร์โบราณทั้งหมดในลัทธิ
ของข้าแล้ว เรื่องนี้ข้าไม่จำเป็นต้องโกหกแม้แต่น้อย แม้แต่หนังสือบันทึกเกี่ยวกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ในสมัยโบราณ ข้าก็หยิบออกมาหมดแล้ว!”
หยวนเซิ่งกล่าว
ในใจของเขาเจือความสงสัยเล็กน้อย สองคนนี้กำลังหาสิ่งใด?
“นั้นก็จริง…”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนพยักหน้า
หยวนเซิ่งถึงกับหยิบบันทึกภัยพิบัติครั้งใหญ่ในสมัยโบราณออกมา เขาก็อ่านมันทั้งหมดแล้ว จึงทำให้
เข้าใจภัยพิบัติครั้งใหญ่ในสมัยโบราณครานั้นมากขึ้น
ภัยพิบัติครั้งใหญ่ในสมัยโบราณครานั้น แท้จริงแล้วมาจากอาณาจักรอื่น!
เขาคิดมาตลอดว่า ภัยพิบัติครั้งใหญ่ในสมัยโบราณครานั้น เดิมทีมีสาเหตุมาจากอาณาจักรที่ตนเองกำลังดำรงอยู่!
ผลลัพธ์กลับไม่ใช่อย่างที่เขาคาดไว้!
อาณาจักรแห่งนั้นจับตามองดินแดนของพวกเขา จนกระทั่งในสมัยโบราณเกิดการปะทะสงครามครั้งใหญ่ และภัยพิบัติก็กวาดล้างไปทั่วทั้งฟ้าดิน
เป็นยุคมืดมิดที่สุดยุคหนึ่ง ยุคสมัยแห่งการนองโลหิต เลือดหลั่งนองไปทั้งแผ่นดิน
ซากศพมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ภูเขา แม่น้ำ ลำธารล้วนเปื้อนมลทินจนสิ้น!
สรรพสัตว์ล้วนตกอยู่ในความหวาดหวั่นไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรืออยู่!
ถึงกระนั้น ในสนามรบแต่ละเผ่าร่วมมือกันต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต สุดท้ายพวกเขาก็สามารถขับไล่สิ่งมีชีวิตจากดินแดนอื่นออกไปได้สำเร็จ!
ทว่าพวกเขาเองก็จ่ายราคาออกไปมากมายเเกินคณานับ วิญญาณนักบุญขอบเขตสูงส่งล้วนสิ้นชีพ!
รวมถึงสิ่งมีชีวิตในแผ่นดินก็ลดลงไปกว่าครึ่ง!
เคล็ดวิชาไปจนถึงการฝึกตน ทั้งหมดถดถอยครั้งใหญ่!
สภาพแวดล้อมฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทรัพยากรใช้ฝึกฝนระดับสูงสูญหายไป จนยากจะกำเนิดกำลังรบระดับสูง!
“อาณาจักรเทียนหยวน…!”
ดวงตาของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเย็นชารอบกายหนาวเย็น
บันทึกภัยพิบัติครั้งใหญ่สมัยโบราณในคัมภีร์โบราณ ทำให้ใจของเขาร้อนระอุไปด้วยความโกรธเกรี้ยว สิ่งมีชีวิตในแผ่นดินลดลงไปกว่าครึ่ง!
นี่มันหมายความว่าอย่างไร!?
เขาไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้ให้มากความ ทั่วทั้งอาณาจักรในสมัยโบราณถูกปกคลุมไปด้วยธารโลหิตทุกหนทุกแห่ง!
ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณ อาณาจักรแห่งนั้นคืออาณาจักรตอนกลาง อาณาจักรเทียนหยวน!
แต่เหตุใดอาณาจักรเทียนหยวนจึงโจมตีอาณาจักรของพวกเขานั้น มันยังคงเป็นปริศนาอยู่
ตามคัมภีร์โบราณของลัทธิไท่เสวียนไม่มีเหตุผลบันทึกเอาไว้ แม้แต่สิ่งมีชีวิตในสมัยโบราณก็ไม่รู้ว่า เหตุใดอาณาจักรเทียนหยวนถึงโจมตีอาณาจักรของพวกเขา
ตอนนั้นอาณาจักรเทียนหยวนไม่ได้เอ่ยถึงสาเหตุ
“พวกเจ้านี่ช่างดีจริง ๆ!”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมองหยวนเซิ่ง ดวงตาของเขาฉายแววดุร้ายเต็มไปด้วยความโกรธ
ในที่สุด เขาก็เข้าใจว่าเหตุใดลัทธิไท่เสวียนกับกองกำลังอื่น จึงเลือกที่จะเร้นกายจากโลกภายนอก เหตุใดพวกเขาถึงกลัวที่จะถูกเปิดเผย!
ทั้งหมดเป็นเพราะลัทธิไท่เสวียนกับกองกำลังอื่นกลัวสงคราม จึงเลือกปกป้องตัวเองอย่างชาญฉลาด!
ในตอนนั้นสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนถูกขับไล่ออกไป เคยขู่ว่าจะกลับมาอีกครั้ง
ลัทธิไท่เสวียนกับกองกำลังอื่นตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกเร้นกายปกปิดตัวจากโลกภายนอก
ไม่กล้าเปิดเผยแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่าจะถูกต้อนเข้าสู่สงคราม
นี่คือสิ่งที่ลัทธิไท่เสวียนกับกองกำลังอื่นทำในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ในขณะที่เกิดความสับสนวุ่นวาย หรือสร้างภาพลวงตาว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว ทว่าอันที่จริงกลับเร้นกายไม่เข้าร่วมสงคราม!
ลัทธิไท่เสวียนกับกองกำลังอื่นในปัจจุบัน ยังคงต้องการเป็นเหมือนสมัยโบราณอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาไม่อยากเข้าร่วมสงคราม และเลือกปกป้องตัวเอง!
“พวกเราแค่ต้องการอยู่รอด…” หยวนเซิ่งกล่าวอย่างใจเย็น
ถึงแม้วิธีการเช่นนี้จะเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ทำให้ผู้อื่นดูหมิ่นได้ แต่เขาไม่ได้ตำหนิปราชญ์ลัทธิไท่เสวียนในตอนนั้น เพราะการอยู่รอดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด…
“ผู้ใดไม่อยากมีชีวิตอยู่เล่า? วิญญาณนักบุญเหล่านั้น… ผู้เสียสละรวมถึงปราชญ์เหล่านั้นในสงครามนองเลือด พวกเขาใครบ้างไม่อยากมีชีวิตอยู่ พวกเขาอยากตายหรือ?”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ พร้อมกับกล่าวว่า “หากไม่มีปราชญ์เสียสละตน แล้วเจ้าคิดว่าการเร้นตนหลบปัญหาของพวกเจ้ามีประโยชน์หรือ? อาณาจักรเทียนหยวนจะปล่อยเจ้าไปงั้นหรือ!?”
หยวนเซิ่งไม่กล่าวตอบ
เพราะเขาไม่มีอะไรจะโต้แย้ง
เขาเพียงแค่อยากเอาชีวิตรอด รวมถึงปราชญ์ของลัทธิไท่เสวียนเองก็อยากมีชีวิตรอด
“พวกท่านจะหลบซ่อนตัวเช่นนี้ต่อไปงั้นหรือ?”
สือเฟิงถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกจากด้านข้าง
หลังจากรู้เรื่องภัยพิบัติครั้งใหญ่ในสมัยโบราณว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพลันรู้สึกหนักใจเป็นอย่างยิ่ง
กับลัทธิไท่เสวียนที่คิดถึงแต่เรื่องตัวเอง เขาเองก็โมโหเช่นเดียวกับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน!
อยากมีชีวิตรอดไม่ใช่เรื่องผิด
แต่หากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแผ่นดินเร้นกายหลบซ่อน แล้วหากเกิดเรื่องขึ้นมา อาณาจักรของพวกเขาจะยังคงอยู่สามารถดำรงอยู่ได้หรือไม่?
แน่นอนว่าคนทุกคนกลัวความตาย และอยากมีชีวิตรอด
แต่การเร้นกายไม่ใช่หนทางออกที่ถูกต้องอย่างแน่นอน
หากพวกเขาต้องการมีชีวิตรอดอย่างแท้จริง มันก็ต่อเมื่อพวกเขารวมกันเป็นหนึ่งพิทักษ์บ้านเมืองไปด้วยกัน นั่นจึงจะเรียกว่าอยู่รอดอย่างแท้จริง!
มิฉะนั้น พวกเขาก็ทำได้เพียงหลีกเลี่ยงการตายชั่วคราว แต่สุดท้ายความตายจะมาหาพวกเขา หากถึงตอนนั้นยังจะหวังมีชีวิตต่อ…ก็คงมีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว!
“เจ้าได้อ่านบันทึกทั้งหมดในคัมภีร์โบราณแล้วจะไปเลยหรือไม่?”
หยวนเซิ่งกล่าวถาม เขาไม่ต้องการโต้เถียงเรื่องเหล่านี้กับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิง
หายนะครั้งใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว ทุกคนรีบออกไปแนวหน้า ทว่าพวกเขาเลือกจะหลบอยู่ข้างหลัง กล่าวถึงตรงนี้ เขารู้ดีว่าพวกเขาเป็นฝ่ายผิด…
“ไปก็ได้ เพียงแต่พวกเราอยากเชิญเจ้าลัทธิไปกับพวกเราด้วย”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงย่อมเห็นท่าทีไม่แยแสของหยวนเซิ่ง คำเรียนขานจากสหายเต๋าจึงได้กลายเป็นเจ้าลัทธิแทน
ก่อนหน้าเขาหยอกล้อหยวนเซิ่งเล่น แต่ตอนนี้เขาทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว…
สาเหตุที่ลัทธิไท่เสวียนเลือกจะเร้นกายทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่ง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หยวนเซิ่งขมวดคิ้ว จะพาเขาไปด้วย? จะไปที่ใดเล่า?
“พวกเราอยากเยี่ยมชมกองกำลังเร้นกายอื่น รบกวนเจ้าลัทธินำทางพวกเราด้วย”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าว
ในลัทธิไท่เสวียนไม่มี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ากองกำลังเร้นกายอื่นจะไม่มีด้วยเสียหน่อย
กองกำลังเร้นกายอื่นน่าจะมีของสืบทอดด้วยเช่นกัน ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจเคยได้รับของที่พวกตนกำลังตามหาอยู่ก็เป็นไปได้
“พวกเจ้ากำลังจะทำให้ข้าตาย!”
หยวนเซิ่งไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ และเขาก็ปฏิเสธตรง ๆ “ย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน!”
กองกำลังเร้นกายอื่นหวาดกลัวที่สุดคือการถูกเปิดเผย หากเขาพาประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงไป ไม่ใช่เท่ากับเปิดเผยตำแหน่งหรอกหรือ กองกำลังเร้นกายอื่นคงไม่ปล่อยเขาไปเป็นแน่!
“ขออภัยด้วย แต่ข้าไม่ได้ร้องขอกับเจ้า ข้าเพียง ‘แจ้ง’ ให้เจ้าทราบเท่านั้น!”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย