รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 253 เด็กเอ๋ย เพลา ๆ บ้างเถิด!
สองมือของหนิงเจี๋ยไพล่หลัง ประกายแสงส่องสว่างเจิดจ้าทั่วตัว ประหนึ่งเทพเจ้าที่จุติมายังโลกอย่างแท้จริง
เขาทอดมองพวกเซี่ยเหยียนด้วยสีหน้าโอหัง สายตาเปี่ยมไปด้วยความผยองถือตัว!
ทุกอากัปกิริยาเปี่ยมไปด้วยพลังเทวา เขามีความสามารถพอให้ผยองถือตัวเยี่ยงนี้ ความล้มเหลว และความบั่นทอนในจิตใจเมื่อครั้งอดีตมลายสิ้น เขาครอบครองพลังอย่างแท้จริง และจักบดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ที่นี่!
เวิงอู๋โยวขมวดคิ้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน
เหตุใดจู่ ๆ หนิงเจี๋ยถึงแข็งแกร่งขึ้นถึงเพียงนี้
ทว่าเขาเพียงแปลกใจเท่านั้น ส่วนเรื่องหวาดกลัวอะไรนั่น ย่อมไม่มีทาง!
กลัวสิ่งใดเล่า?
เขารู้ดีว่าเซี่ยเหยียนในตอนนี้ทรงพลังปานใด ขอบเขตเทวาแล้วอย่างไร?
ไม่อาจก่อการใดได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียน
อีกอย่าง…ที่นี่คือที่ใดกัน
ที่นี่คือสำนักไท่หัว ซึ่งอยู่ติดกับเมืองชิงซาน!
ท่านเซียนอยู่ในเมืองชิงซานนะ
เซี่ยเหยียนเป็นที่โปรดปรานของท่านเซียน ไฉนเลยจะเกิดเรื่องกับนาง
เป็นไปไม่ได้!
เขาปรายตามองหนิงเจี๋ย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เด็กเอ๋ย เพลา ๆ บ้างเถิด จองหองไปไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า…”
บัดซบ!
ไม่เรียกเด็กหนุ่ม แต่เรียกเด็กเอ๋ยอย่างนั้นหรือ?
หนิงเจี๋ยได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโมโหจนสติแตก ความโอหังไร้เทียมทานที่แสดงให้เห็นเมื่อครั้งก้าวสู่ขอบเขตเทวาปะทุฉับพลัน
ไอ้เวรนี่ เขาบรรลุถึงขอบเขตเทวาแล้วยังไม่พออีกหรือ?
เวิงอู๋โยวบังอาจเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้กับเขาอีก!
ไสหัวไปไกล ๆ เลย หากวันนี้เขาไม่อาจทำให้สำนักไท่หัวหลั่งเลือดเป็นลำธาร เขายอมเขียนชื่อหนิงเจี๋ยของตนกลับหัว!
“ต้องหน้ามืดตามัวเชื่อใจคนผู้นั้นขนาดไหน?”
หลิงเซิ่งแค่นเสียงเย็น กล่าวกับหนิงเจี๋ยว่า “ลุยเลย สังหารทุกคนที่นี่ให้เกลี้ยง!”
เขามิใช่ผู้โอบอ้อมอารีมาแต่ไหนแต่ไร ที่หนิงเจี๋ยในยามนี้จองหองผยองเยี่ยงนี้ ไม่เห็นชีวิตผู้อื่นอยู่ในสายตาส่วนหนึ่งเพราะนิสัยใจคอเดิมของหนิงเจี๋ยเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
ทว่าเหตุผลอีกส่วนก็เพราะมีเขาคอยยุยง
เขาบอกกับหนิงเจี๋ยว่า การฝึกตนของเขาเกิดปัญหา จึงส่งผลให้สูญเสียกายเนื้อ เหลือไว้เพียงเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญ ด้วยความจนใจ ถึงได้เลือกสิงร่างหนิงเจี๋ย ใช่ร่างร่วมกับหนิงเจี๋ย
ทว่าคำกล่าวเหล่านี้เป็นเพียงคำโป้ปด
ขอบเขตสูงส่งอย่างนักบุญไฉนเลยจะเกือบตายเพราะการฝึกฝน
เป็นไปไม่ได้เลย!
นักบุญเป็นขอบเขตใหญ่ในฟ้าดินผืนนี้ ทิ้งร่องรอยแม้กระทั่งในมหาวิถีแห่งฟ้าดิน หากมิใช่ว่าฉกาจเหลือล้น และตื่นรู้ในการบำเพ็ญอย่างถ่องแท้ ย่อมไม่มีทางเป็นนักบุญได้เลย!
นักบุญเกิดปัญหาเพราะการฝึกฝน ซ้ำร้ายยังเป็นปัญหาใหญ่อีกด้วย เรื่องนี้ไม่มีความเป็นไปได้เลย
หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่สมควรเรียกตนเองว่านักบุญเลย!
ที่หลิงเซิ่งสูญเสียกายเนื้อ เหลือเพียงเสี้ยวเดียวของวิญญาณนักบุญ ล้วนเป็นเพราะเขาทำเรื่องชั่วช้าไว้มาก จนถูกนักบุญตนอื่นไล่ฆ่า กายเนื้อถูกตีจนแหลก แม้แต่วิญญาณนักบุญยังเกือบสลาย เหลือวิญญาณนักบุญเพียงเสี้ยวเดียวที่หนีออกมาได้
หลิงเซิ่งในครานั้นน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่วิญญาณนักบุญเสี้ยวนี้ยังใช้เวลาอยู่นานกว่าจะฟื้นพลังกลับมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้เป็นการพิสูจน์ให้ประจักษ์ถึงความทรงพลังของนักบุญ หากมิกำจัดให้สิ้นซาก นักบุญสามารถฟื้นคืนชีพจากกองขี้เถ้าที่ดับมอด
หลิงเซิ่งมิได้บรรลุนักบุญในยุคนี้ หากแต่บรรลุนักบุญตั้งแต่ยุคโบราณตอนปลาย
ครานั้นภัยพิบัติครั้งใหญ่เพิ่งสิ้นสุดลง เขาหมายตาเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจแกร่งกล้าไว้คณานับ
ภัยพิบัติใหญ่ครานั้นน่าสยดสยองยิ่ง ยอดฝีมือในใต้หล้าตายตกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ล้วนถูกตัดทอนกำลังลงมาก เสียหายถึงแก่น เรียกได้ว่าอนาถถึงขีดสุด
ครานั้นเขามิได้เข้าร่วมสงคราม แต่ไปซ่อนตัวไว้ เมื่อได้เห็นเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจแกร่งกล้าเหล่านั้นกำลังลดทอนลงถึงระดับร้ายแรงเยี่ยงนี้ เขาพลันเกิดความคิดหมายตาเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจแกร่งกล้าเหล่านี้
นี่เป็นโอกาสก้าวหน้าที่หาได้ยากยิ่ง ไฉนเลยจะยอมพลาด?
เขาไม่ยอมพลาด ฉวยโอกาสนั้นปล้นสะดมเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจเป็นจำนวนมาก มิหนำซ้ำยังหมายตาศพของมหาจักรพรรดิท่านหนึ่งอีกด้วย เขาชิงศพของมหาจักรพรรดิท่านนั้นไป
มหาจักรพรรดิท่านนั้นสิ้นชีพลงในมหาสงคราม ตายอย่างน่าเวทนา ไม่อาจรักษาร่างสมบูรณ์ไว้ได้ด้วยซ้ำ
สิ่งแวดล้อมในฟ้าดินยุคโบราณนับว่ามิได้ดีมาก ยากจะบรรลุเป็นจักรพรรดิ มหาจักรพรรดิยิ่งบรรลุยากเข้าไปใหญ่ ทั้งยุคสมัยนั้นมีมหาจักรพรรดิเพียงไม่กี่ตนเท่านั้น
มหาจักรพรรดิท่านนั้นยังดี แม้ว่าศพของมหาจักรพรรดิไม่สมบูรณ์ ทว่าก็ยังเหลือศพของมหาจักรพรรดิไว้ ส่วนมหาจักรพรรดิตนอื่น ๆ ไม่เหลืออะไรเลย ศพของพวกเขาถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงในมหาสงคราม ไม่เหลือซากแม้แต่น้อย
ในศพของมหาจักรพรรดิมีขุมสมบัติอยู่มากมาย สุดท้ายหลิงเซิ่งก็อดไม่ไหว ชิงศพของมหาจักรพรรดิท่านนั้นไปด้วย
เหล่ามหาจักรพรรดิเข้าต่อสู้ห้ำหั่นเพื่ออาณาจักรนี้อย่างไม่คิดชีวิต ศพมหาจักรพรรดิเพียงตนเดียวที่เหลือยังโดนผู้อื่นชิงไปอีก…
เวลานั้นสิ่งมีชีวิตทุกตนเดือดดาลกันหมด บรรดานักบุญเฒ่าไม่สนบาดแผลฉกรรจ์ที่ได้จากมหาสงคราม ตามล่าหลิงเซิ่งไปทั่วสารทิศ หมายจะชิงศพของมหาจักรพรรดิคืนมา
บาดแผลที่พวกเขาได้จากมหาสงครามนั้นสาหัสเกินไป ถึงแม้พวกเขาจะชิงศพของมหาจักรพรรดิกลับคืนมาได้ ต่อสู้กันจนหลิงเซิ่งแหลกเหลว กระนั้นก็ไม่อาจกำจัดหลิงเซิ่งได้อย่างสิ้นเชิง ปล่อยให้เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญของหลิงเซิ่งหนีไปได้
นี่ก็เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่หลิงเซิ่งเหลือวิญญาณนักบุญเพียงเสี้ยวเดียว
“เข้าใจแล้ว!”
หนิงเจี๋ยตอบหลิงเซิ่งในหัว
จากนั้นเขาก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอำมหิต หันมองไปที่เวิงอู๋โยว “ตาเฒ่า ข้าจองหองแล้วอย่างไร! วันนี้ ข้าจักให้เจ้าได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองว่าที่แห่งนี้จะเลือดนองเป็นลำธารได้อย่างไร!”
เขาย่างเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ปราณแสนน่ากลัวถาโถมสู่ฟ้าดิน จิตสังหารปกคลุมทั้งสำนักไท่หัว!
หนิงเจี๋ยยกมือข้างหนึ่ง พลังเทวาแสนสยดสยองหลอมรวม มิติผืนนั้นบิดเบี้ยว สีของฟ้าดินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้!
หากพลังเทวานี้กระแทกลงมา ทั้งสำนักไท่หัวจักราบเป็นหน้ากลอง!
“เตรียมรับความตายของพวกเจ้าได้แล้ว!”
เขาปริปากเสียงเย็น ยกมือข้างที่ยกอยู่แล้วให้สูงขึ้นไปอีก พลังเทวาที่เข้ามาหลอมรวมรุนแรงยิ่งขึ้น เขาหมายมั่นจะให้สำนักไท่หัวหลั่งเลือดเป็นลำธาร!
“เจ้ากำลัง…ละเมออะไรอยู่?”
อีกด้าน เซี่ยเหยียนเรียกคันศรราชันออกมา ดึงคันยิงศรว่องไวรวดเดียว ศรอาบแสงดอกหนึ่งพุ่งทะลุมิติพร้อมด้วยคลื่นพลังอันน่าหวาดหวั่น ยิงไปทางหนิงเจี๋ย!
ไวมาก ไวจนหนิงเจี๋ยและหลิงเซิ่งตั้งตัวไม่ทัน!
พรวด!
ศรอาบแสงยิงทะลุร่างของหนิงเจี๋ย พลังสุดแกร่งกล้ากระแทกตัวเขาและตรึงเขาไว้บนภูเขาไกล ๆ ลูกหนึ่ง
พลังเทวาที่หนิงเจี๋ยรวบรวมไว้สลายหายไป ลมปราณในตัวลดฮวบ กระอักเลือดคำแล้วคำเล่า โลหิตไหลลงมาตามอาภรณ์ไม่หยุด
“คาดการณ์ผิดไป! คันศรเล่มนี้มิใช่คันศรศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด หากแต่เป็นคันศรที่ทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิเสียอีก!”
หลิงเซิ่งร้องเสียงหลง ศรที่ยิงทะลุหนิงเจี๋ยดอกนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หนิงเจี๋ยบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ตัวเขาเองก็บาดเจ็บหนักไปด้วย วิญญาณนักบุญหลั่งโลหิตวิญญาณ ร่างวิญญาณอันตรธานอย่างรวดเร็ว!
ครั้งก่อนตอนยังอยู่ในอาณาจักรเซี่ย เซี่ยเหยียนเคยยิงศรด้วยคันศรเล่มนี้
ทว่าวิญญาณนักบุญของเขาในยามนั้นอยู่ในสภาวะปรวนแปร ย่ำแย่ถึงขีดสุด มิกล้าใช้ประสาทสัมผัสนักบุญจับระดับขั้นของคันศรในมือเซี่ยเหยียน
เขาเพียงแต่คาดเดาตามความรู้สึกว่าคันศรในมือเซี่ยเหยียนไม่เป็นคันศรศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นคันศรระดับจ้าวสูงสุด
บัดนี้วิญญาณนักบุญของเขาพลังฟื้นแล้ว สามารถจับสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสนักบุญ ทันทีที่เซี่ยเหยียนเรียกคันศรเล่มนั้นออกมา เขาก็สัมผัสถึงบารมีจักรพรรดิอันแกร่งกล้าน่ากลัวจากคันศรเล่มนั้นได้ในบัดดล!
บารมีจักรพรรดินี้สยองกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิที่เขาเคยพานพบมาเสียอีก!
การคาดเดาของเขาในอดีตผิดเพี้ยน และมิได้เพี้ยนเพียงเล็กน้อย แต่เพี้ยนไปไกลโข!
ไม่เป็นคันศรศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นคันศรระดับจ้าวสูงสุดอะไรกัน…
นี่มันคือยอดคันศรที่มีระดับเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิเสียด้วยซ้ำ!