รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 270 คนครบแล้ว ไปภาคกลางได้!
เซี่ยเหยียนพาราชสีห์สีเหลืองทองไปด้วย เป็นผลให้มันหน้าชื่นตาบาน ลืมวาจาที่เขาลั่นว่ายอมตายเสียดีกว่าเป็นสัตว์พาหนะไปจนสิ้น
น่าขัน เป็นสัตว์พาหนะดีขนาดนี้ ไยมันต้องไม่ยอมด้วย!
ส่วนศักดิ์ศรีที่ว่า อืม เป็นสัตว์พาหนะแล้วค่อยตามศักดิ์ศรีกลับมายังได้
นางขึ้นเขาอสูรอีกหลายลูก และพาสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในเขาอสูรแต่ละลูกไป
เริ่มแรก สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนไม่เต็มใจเฉกเช่นราชสีห์สีเหลืองทอง แต่หลังจากนางหยิบแตงกวาออกมา สัตว์อสูรเหล่านี้ก็กระตือรือร้นกันเหลือแสน ไม่ว่าอย่างไรก็ขอติดตามนางไปเป็นสัตว์พาหนะให้ได้
นับราชสีห์สีเหลืองทองด้วย บัดนี้มีสัตว์อสูรทั้งหมดเก้าตน
มีอสูรลากรถเก้าตน จักได้ช่วยกันแบ่งเบาภาระ เดินทางต่อไปได้เรื่อย ๆ อย่างไร้ปัญหา
“จำไว้ สิ่งที่ไม่ควรถามอย่าถาม ไม่ควรพูดอย่าพูด! ผู้อาวุโสท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน อย่าสร้างปัญหาให้ตัวพวกเจ้าเอง!”
เซี่ยเหยียนเตือนสัตว์อสูรเหล่านี้เสียงขึงขัง ป้องกันมิให้อสูรเหล่านี้ฝ่าฝืนข้อห้ามของท่านเซียน
“พวกเราเข้าใจ!”
“ไม่มีทางพูดมากถามมาก!”
ราชสีห์สีเหลืองทองและอสูรตนอื่นตอบอย่างรวดเร็ว
พวกมันได้ลิ้มรสประโยชน์ที่ได้แล้ว ซ้ำยังล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของเซี่ยเหยียน จึงมิกล้าบุ่มบ่ามแม้แต่น้อย
“ดี”
เซี่ยเหยียนพยักหน้า ก่อนจะพาอสูรเหล่านี้กลับสำนักไท่หัว
เวิงอู๋โยวเห็นว่าเซี่ยเหยียนกลับมาแล้ว จึงนำรถลากออกมา อสูรทั้งเก้าตนคล้องสายเชือกอย่างรู้หน้าที่ ยอมเป็นสัตว์พาหนะด้วยความดีอกดีใจ
“ข้าไปก่อน”
เซี่ยเหยียนบอกลาเวิงอู๋โยว ขึ้นนั่งรถลาก ควบอสูรทั้งเก้าตนมาอยู่นอกเมืองชิงซาน
นางสั่งให้อสูรทั้งเก้าตนลากรถไปซ่อนตัวไว้ก่อน ประเดี๋ยวปุถุชนในเมืองชิงซานจะแตกตื่นเอา
หลังจากกำชับทุกอย่างเรียบร้อย นางเดินเท้าเข้าไปในเมืองชิงซาน
“ท่านเซียนยังต้องเรียกขานว่าผู้อาวุโส ผู้อาวุโสท่านนี้มีภูมิหลังเช่นไรกันแน่”
“หรือว่าจะเป็นนักบุญ?”
อสูรทั้งเก้าตนสนทนากันเสียงเบา คาดหวังต่อผู้อาวุโสที่เซี่ยเหยียนกล่าวถึงอย่างเต็มเปี่ยม
เซี่ยเหยียนเดินเข้าไปในเมืองชิงซาน มาอยู่ที่ร้านของท่านเซียน
“คุณชาย ข้ามาแล้ว!”
นางได้พบท่านเซียน บอกท่านเซียนว่านางเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สามารถเดินทางไปยังภาคกลางได้
“ได้”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า คาดหวังในการไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ภาคกลางอย่างมาก
ถึงอย่างไร นับแต่เขาพำนักอยู่ในเมืองชิงซานก็ไม่เคยเดินทางไปที่อื่นอีก อยู่แต่ในเมืองชิงซานมาโดยตลอด
เขาอยากรู้อยากเห็นโลกภายนอกมาก
เพียงแต่ในอดีต เขามีความกังวลในใจ มิกล้าเที่ยวเพ่นพ่านที่อื่น
ในโลกแห่งการฝึกตน เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนและสัตว์อสูร ปุถุชนคนหนึ่งทะเล่อทะล่าออกเพ่นพ่านเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง
เมื่อครั้งเขาเลือกพำนักในเมืองชิงซานก็เพราะเมืองชิงซานอยู่ติดกับสำนักไท่หัว ได้รับความคุ้มครองจากสำนักไท่หัว ไม่มีผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรเข้ามาก่อความวุ่นวาย ปลอดภัยเหลือคณา
บัดนี้เขาสิ้นข้อกังวลเหล่านั้น
เขาได้ประจักษ์ถึงความเก่งกาจของพวกอ้ายฉาน มิหนำซ้ำการเดินทางครั้งนี้ยังมีเซี่ยเหยียนมาด้วย เขาจะต้องกังวลถึงสิ่งใดอีก
เมื่อครั้งพายเรือชมทัศนียภาพที่ทะเลสาบชิงสุ่ย เซี่ยเหยียนเคยลงมือสังหารสิ่งมีชีวิตประหลาดแสนแข็งแกร่งตนหนึ่ง เขายอมรับในฝีมือของเซี่ยเหยียนมาก
นอกจากนี้ เซี่ยเหยียนยังมีฐานะเป็นศิษย์สายตรงของสำนักไท่หัว
สำนักไท่หัวทรงพลังถึงเพียงนั้น เป็นถึงกลุ่มอำนาจยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ ผู้ใดหาญกล้าแตะต้องเซี่ยเหยียน
และเพราะเหตุผลนี้ เขาถึงอยากไปภาคกลาง ไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่นี้ หากมีเพียงเขาคนเดียว หรือมีเพียงพวกอ้ายฉาน เขาคงไม่อยากไป
ความปลอดภัยสำคัญที่สุด
แต่มีเซี่ยเหยียนอยู่ เท่ากับมีความปลอดภัยอยู่
“ข้าไปบอกพวกอ้ายฉาน”
อันหลานเสวี่ยเอ่ยยิ้ม ๆ พลางเดินออกจากลานเล็ก เดินทางไปแจ้งข่าวพวกอ้ายฉาน
พวกอ้ายฉานต่างอยู่ที่บ้านของตน
เมื่อคืนนางมิได้กลับ ค้างในลานเล็กของท่านเซียนหนึ่งคืน
แน่นอนว่ามิใช่นางที่ปริปากขอค้างหนึ่งคืน ท่านเซียนไม่เอ่ยปาก นางไฉนเลยจะกล้าบอกว่าขอค้างหนึ่งคืน
แต่เพราะท่านเซียนเป็นฝ่ายรั้งนางไว้
นางจึงได้พักในสถานที่ประทับของท่านเซียนหนึ่งคืน สร้างความดีใจให้นางอย่างมหาศาล นางตื่นเต้นจนมิได้หลับทั้งคืน
อาหารเช้าที่ท่านเซียนตื่นเช้ามาทำให้ก็ช่วยให้นางได้รับผลประโยชน์อย่างเหนือจินตนาการ
นางอยากพักอยู่กับท่านเซียนไปตลอด…
ทว่านางรู้ดี นี่เป็นเพียงฝันเกินจริงของตนเท่านั้น
นางจะพักอยู่กับท่านเซียนไปตลอดได้อย่างไร!
ได้พักเพียงหนึ่งคืนนับเป็นวาสนาสูงสุดของนางแล้ว!
เมื่อคืนท่านเซียนเห็นว่านางไม่มีที่อยู่ ถึงยอมให้นางอยู่ค้างหนึ่งคืน
นางรู้ตำแหน่งบ้านของพวกอ้ายฉาน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็พาพวกอ้ายฉานมายังบ้านท่านเซียน
อ้ายฉานมิได้บอกผู้ใหญ่ในบ้านถึงตัวตนที่แท้จริงของท่านเซียน พวกเขากลัวว่าผู้ใหญ่ในบ้านจะเผลอหลุดปาก แล้วรบกวนแผนการท่องโลกในฐานะปุถุชนของท่านเซียน
“ไปเถิด”
หลี่จิ่วเต้าปิดประตูลาน อุ้มแมวน้อยสีขาวขึ้นแล้วออกเดินทางพร้อมพวกเซี่ยเหยียน
ไปภาคกลางคราวนี้ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด ทิ้งแมวน้อยสีขาวไว้ที่บ้านเขามิใคร่จะสบายใจนัก จึงพาไปด้วย
ครั้นมาถึงบ้านหลิงอิน หลี่จิ่วเต้าก็มิได้เข้าไป แต่เขาให้อ้ายฉานเข้าไปเรียกหลิงอิน
เขามิกล้าเข้าไป ความทรงจำเยือนบ้านหลิงอินครั้งก่อนยังสดใหม่ราวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
หนก่อนที่มาบ้านหลิงอิน ชวนหลิงอินไปคืนสุกี้หม้อไฟที่บ้าน ปรากฏว่ามารดาของหลิงอินเข้ามาถึงก็ถามเขาว่าจะเกี่ยวดองกับหลิงอินเมื่อใด ซ้ำยังบอกอีกว่ายิ่งเกี่ยวดองไวยิ่งดี จะได้รีบมีลูก!
ความสัมพันธ์ยังไปไม่ถึงไหน จะให้มีลูกแล้วหรือ?
หลี่จิ่วเต้านึกกลัวจากใจจริง!
เขายัง…อายุน้อย!
เขามิได้ให้อันหลานเสวี่ยกับเซี่ยเหยียนเข้าไปเช่นกัน เพราะกลัวว่ามารดาของหลิงอินจะเข้าใจผิดอีก ถึงเวลานั้นคงยิ่งวุ่นวายไปใหญ่
เขาจึงให้อ้ายฉานเข้าไป
อ้ายฉานเป็นเด็ก เข้าไปคงไม่มีปัญหา
ผ่านไปไม่นาน หลิงอินกับอ้ายฉานเดินออกมา
“ไปเถิด ไปดูทิวทัศน์ที่ภาคกลางบ้าง”
คนครบแล้ว พวกหลี่จิ่วเต้าจึงเดินทางออกไปที่นอกเมืองชิงซาน
“ข้ากลัวว่าคนในเมืองจะแตกตื่น จึงทิ้งรถลากไว้นอกเมือง”
เซี่ยเหยียนนำทางอยู่ด้านหน้า เมื่อมาถึงนอกเมือง สัตว์อสูรทั้งเก้าจึงลากรถออกมากลางอากาศ
ก่อนหน้านี้ อสูรทั้งเก้าตัวล้วนซ่อนตัวอยู่ในมิติอากาศ
“คุณชายเชิญขึ้นรถ!”
เซี่ยเหยียนกล่าวกับท่านเซียนอย่างนอบน้อม
นี่หรือผู้อาวุโสท่านนั้น?
อสูรทั้งเก้าตนเห็นท่าทีนบนอบเยี่ยงนี้ของเซี่ยเหยียน จึงเดาว่าหลี่จิ่วเต้าก็คือผู้อาวุโสที่เซี่ยเหยียนพูดถึง
‘ผู้อาวุโสเก่งกาจยิ่ง อยู่ในขั้นกลับสู่พื้นฐานอย่างสมบูรณ์ ไม่มีเค้ากระเพื่อมของพลังปราณแม้แต่น้อย เหมือนปุถุชนเปี๊ยบ!’
พวกมันคิดในใจ
ก่อนหน้านี้เซี่ยเหยียนเคยเตือนพวกมันแล้วว่า ผู้อาวุโสท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน พวกมันอย่าได้พูดหรือถามอะไรเหลวไหลเด็ดขาด
“ได้”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า ขึ้นไปบนรถลาก
สำนักใหญ่ก็คือสำนักใหญ่
อสูรที่ใช้ลากรถล้วนไม่ธรรมดา ดุดันเหลือแสน
หากว่าไม่มีเซี่ยเหยียน เขาคงไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้
และเมื่อเข้ามานั่งด้านใน เขายิ่งสะท้อนใจ
ผู้ฝึกตนนี่สุดยอด ภายนอกรถลากคันนี้ดูไม่เท่าไร ทว่าภายในกลับวิเศษถึงเพียงนี้ ใหญ่โตหรูหรายิ่งกว่าวังเสียอีก!
จากนั้นพวกหลิงอินและอันหลานเสวี่ยก็ขึ้นรถลากมาเช่นกัน