รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 305 พี่สาว กลั่นแกล้งกันเยี่ยงนี้ไม่ได้!
- Home
- รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人
- บทที่ 305 พี่สาว กลั่นแกล้งกันเยี่ยงนี้ไม่ได้!
“ไม่เป็นไรดีกว่า…”
อันหลานเสวี่ยปฏิเสธยิ้ม ๆ ยังไม่อยากประมือด้วยเท่าใด
จังหวะเทวาปรากฏตามตัวเด็กหนุ่มรูปงาม ขอบเขตพลังสูงกว่านางจริง ซ้ำยังมิได้สูงกว่าเพียงนิดหน่อย เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ก้าวสู่ขอบเขตเทวาแล้ว
นางเพิ่งอยู่ขอบเขตพรตเต๋าเท่านั้น
แต่หากจะบอกว่าการประลองยุทธ์ลับฝีมือเป็นประโยชน์ต่อนางนั้น…
ออกจะเกินจริงไปหน่อย
นางเคยดื่มชาเย็นของท่านเซียน ชิดเชื้อกับพลังเยือกแข็งในใต้หล้านี้เป็นพิเศษ สามารถหยิบยืมพลังเยือกแข็งมาใช้เป็นการส่วนตัวได้
นอกจากนี้ ท่านเซียนยังประทานภาพวาดเหมันต์ไว้ให้นางภาพหนึ่ง แฝงไว้ซึ่งวิถีเหมันต์สูงส่ง มิใช่สิ่งที่ผู้อื่นทัดเทียมได้แน่
เด็กหนุ่มรูปงามผู้นี้เพียงแต่มีขอบเขตพลังสูงกว่านางเท่านั้น ส่วนด้านอื่น…ไม่แน่ว่าจะแข็งแกร่งกว่านาง
ลับฝีมือชี้แนะนับว่าเกินไปหน่อย
ได้ยินอันหลานเสวี่ยปฏิเสธเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มรูปงามไม่สบอารมณ์อย่างมาก
จะให้เขาอารมณ์ดีได้เยี่ยงไร?
เขาอู่เยว่ เป็นบุตรสวรรค์ผู้โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์ตระกูลอู่ จุดประกายเพลิงเทวาได้ในวัยเพียงสิบเก้าปี ก้าวขึ้นมาเป็นเทพ รัศมีสูงส่งแห่งเกียรติยศห้อมล้อมอยู่รอบตัว
สตรีที่ตามจีบเขาต่อแถวกันจากดินแดนฮวงจนถึงดินแดนหยิน!
เขาผู้มีพลังขอบเขตเทวาลดตัวออกปากเชื้อเชิญ ซ้ำยังกล่าววาจาชัดเจนว่าต้องการชี้แนะอันหลานเสวี่ย เพื่อประโยชน์ของอันหลานเสวี่ยเอง เอาใจอันหลานเสวี่ยถึงเพียงนี้
อันหลานเสวี่ยเพิ่งบรรลุขอบเขตพรตเต๋า เหนือขึ้นไปยังมีอีกตั้งแปดขั้น ขอบเขตราชันอีกสี่ขั้น ถึงจะบรรลุเป็นเทพได้
เขาผู้มีพลังขอบเขตเทวาชี้แนะอันหลานเสวี่ยถือว่าเหลือเฟือแล้ว
ทว่านางกลับปฏิเสธเขาลูกเดียว ไม่ไว้หน้าเขาสักนิด เขาอารมณ์ดีได้สิแปลก!
หากมิใช่คำนึงว่าอันหลานเสวี่ยมีภูมิหลังไม่ธรรมดา เขาไฉนเลยจะยอมกล้ำกลืนฝืนทน?
คงฟาดฝ่ามือตบอันหลานเสวี่ยกระเด็นไปนานแล้ว
แม้ว่าอันหลานเสวี่ยพอมีเค้างดงามอยู่บ้าง ทว่าหญิงงามนั้นมีอยู่ถมเถ ระดับขอบเขตพรตเต๋าอย่างนางไม่มีค่าพอจะสวมรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ!
‘เสแสร้งอยู่ได้ ไว้ข้าปราบพยศเจ้าได้เมื่อใด จนเจ้ากลายมาเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว ข้าจัก ‘สั่งสอน’ เจ้าอย่างดีเชียว!’
เขาพูดในใจอย่างเคียดแค้น
ทว่าสีหน้าของเขามิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด รอยยิ้มยังคงสดใสอบอุ่น
“อุตส่าห์ได้มาพบกันที่นี่ ทุกคนต่างลับฝีมือประลองยุทธ์กันด้วยความครึกครื้น แม่นางไปร่วมสนุกหน่อยเถิด มิใช่ศึกชี้ชะตาเสียหน่อย”
เขาเอ่ยยิ้ม ๆ
อันหลานเสวี่ยยังไม่รู้สึกสนใจ
นางอ้าปากหมายจะปฏิเสธอีกครา ทว่าท่านเซียนกลับส่งเสียงมา
หลี่จิ่วเต้ายิ้มแย้มพลางกล่าว “สนุกครึกครื้นบ้างเป็นเรื่องดี อีกอย่าง คุณชายท่านนี้บอกแล้วมิใช่หรือ เจ้าอาจได้รับประโยชน์จากการประลองนี้ ฮ่า ๆ เช่นนี้เจ้าไปลับฝีมือกับเขาหน่อยไม่ดีหรือ ถึงอย่างไรก็มีแต่ได้ ไม่มีเสีย”
เขาก็อยากเข้าไปลับฝีมือบ้าง อนิจจา เขาไร้พลัง สู้กับใครไม่ได้
“ทราบแล้ว”
อันหลานเสวี่ยไม่แย้งใด ๆ ผงกหัวให้ท่านเซียน ก่อนจะเดินลงจากแท่น หมายจะประลองฝีมือกับอู่เยว่
อีกด้าน เซี่ยเหยียนไม่ยอมอยู่สงบแม้แต่น้อย
นางเดินลงจากแท่นมานานแล้ว
เห็นนางเป็นสตรีเพศ แต่ความกระหายการต่อสู้ของนางมิได้น้อยไปกว่าบุรุษเพศเลย นางชื่นชอบการต่อสู้มาก!
“ดูเจ้าห้อมล้อมด้วยแสงเทวะ เห็นได้ชัดว่ามีพลังแกร่งกล้า มาเถิด เรามาประลองฝีมือเพื่อสมานมิตรกันเถิด!”
เซี่ยเหยียนเข้าไปหาบุตรสวรรค์ผู้หนึ่ง และท้ารบคนผู้นั้น
“หา?”
บุตรสวรรค์ผู้นั้นหน้าเขียวไปหมด
ในใจอยากร่ำไห้ อยากบอกเหลือเกินว่า พี่สาว เลิกล้อเล่นกันทีได้หรือไม่ แขนขาเรียวเล็กเช่นข้า ไฉนเลยจะทนมือทนเท้าพี่สาวได้ไหว?
แข็งแกร่งระดับอสูรราชันศักดิ์สิทธิ์อย่างบิดาฉงคูยังไม่อาจยับยั้งศรของเซี่ยเหยียน เขาไม่อยากต่อสู้กับเซี่ยเหยียนผู้นี้!
“ท่านพี่หลู เราสองคนไม่ได้พบกันเสียนาน ศึกคราวก่อนยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ วันนี้เรามาสานต่อการต่อสู้คราวก่อนให้จบเถิด!”
เขามองบุตรสวรรค์อีกคน พร้อมเดินเข้าไปหา
“???”
บุตรสวรรค์ผู้ถูกเรียกว่าท่านพี่หลูงุนงงไปหมด
พี่ชาย ท่านเรียกผู้ใดหรือ ข้าไม่เคยพบหน้าท่านเสียหน่อย!
แล้วการต่อสู้เมื่อคราวก่อนมาจากไหน!?
อีกอย่าง ข้าหาได้แซ่หลูไม่!
ท่านมาหาผิดคนแล้ว!
“ตั้งแต่ได้สู้กับท่านเมื่อคราวก่อน ข้าได้เพียรพยายามฝึกฝน บัดนี้ฝีมือพัฒนาอย่างก้าวกระโดด! มาเถิด หนนี้ข้าจักชนะท่านให้ได้!”
บุตรสวรรค์ที่เซี่ยเหยียนเข้าไปหาไม่พูดพร่ำทำเพลง ฟาดฝ่ามือไปหาบุตรสวรรค์ที่เขาเรียกด้วยสกุลหลู บีบบังคับเปิดฉากการต่อสู้!
“ชนะกับผี!”
บุตรสวรรค์ผู้ถูกเรียกด้วยสกุลหลูไม่ปอดแหกแม้แต่น้อย ทั้งคู่เริ่มประชันฝีมือกัน
“มาหาผิดคนหรือ ไม่เป็นไร เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ได้”
เซี่ยเหยียนมาอยู่เบื้องหน้าบุตรสวรรค์อีกคนหนึ่ง
หารู้ไม่ นางยังไม่ทันปริปาก บุตรสวรรค์ผู้นั้นก็ตะโกนลงไปข้างล่าง “ว่ากระไร ศิษย์น้องสวี่ตามหาข้าหรือ ได้ ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
จากนั้น บุตรสวรรค์ผู้นั้นก็พุ่งลงไปชั้นล่างด้วยความเร็วปานสายฟ้า
“เวลาไม่เหมาะเจาะเอาเสียเลย”
เซี่ยเหยียนจนใจ กระนั้นมิได้คิดอะไรมาก นางมาอยู่ตรงหน้าสัตว์อสูรดุดันตัวมโหฬารตนหนึ่ง
กร๊อบ!
เสียงกระดูกหักดังขึ้น สัตว์อสูรตัวนี้ใช้กรงเล็บตะปบแขนอีกข้างของมันหัก
“ขออภัย ข้าคันแขนข้างนี้ คิดอยู่ว่าตีเบา ๆ แก้คันเสียหน่อย หารู้ไม่ เผลอออกแรงมากไป ทีเดียวเล่นเอากระดูกหัก คงไม่อาจลงไปประลองยุทธ์กับท่านได้แล้ว”
สัตว์อสูรตัวนั้นกล่าวต่อเซี่ยเหยียน
“…”
เซี่ยเหยียนหน้าบอกบุญไม่รับ หาข้ออ้างก็ช่วยแนบเนียนหน่อยได้หรือไม่
นี่มัน…หลอกเด็กอยู่หรือไร!
นางเข้าใจแล้ว สิ่งมีชีวิตระดับโอรสธิดาสวรรค์ในที่นี้กลัวนางกันทั้งสิ้น มิกล้าต่อสู้กับนาง
คิดแล้วก็คงจริง สัตว์อสูรระดับราชันศักดิ์สิทธิ์อย่างบิดาฉงคูยังปราชัยแก่นาง ผู้ใดเลยจะกล้าลับฝีมือกับนาง?
เอาเถิด…ไม่สู้ก็ไม่สู้ มิใช่เรื่องใหญ่อันใด
นางหมดอารมณ์ประลองยุทธ์ลับฝีมือ จึงเดินขึ้นแท่นที่นั่ง
ระหว่างทาง นางชะงัก เอื้อมมือไปบนโต๊ะตัวหนึ่ง
ตึง!
เสียงหัวกระแทกดังสนั่น บุตรสวรรค์วัยเยาว์คนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะหยิบจานฝนหมึกสี่เหลี่ยมออกมา ก่อนจะใช้หัวโหม่งทันที
ให้ตายสิ เขาโขกเสียเต็มแรง หน้าผากถลอกปอกเปิด เลือดเนื้อเละเป็นก้อนเดียวกัน
“บ้าเอ๊ย น่าหงุดหงิดจริง! เหตุใดโรคปวดหัวถึงไม่หายเสียที!? ต้องกระแทกสักทีสองทีถึงดีขึ้น!”
เขาจับจานฝนหมึกสี่เหลี่ยมกระแทกหัวตึงตึงอีกสองที
หากต้องเข้าไปประลองยุทธ์กับเซี่ยเหยียน แล้วเซี่ยเหยียนยั้งแรงไม่ทันยิงเขาตายในศรเดียวจะทำเยี่ยงไร
เขายอมกระแทกหัวตัวเองยังดีกว่าไปเสี่ยงต่อสู้กับเซี่ยเหยียน
“ข้าเพียงอยากกินองุ่นเท่านั้น…”
เซี่ยเหยียนกระซิบ มือที่เอื้อมเข้าไปเด็ดองุ่นลูกหนึ่งจากจานผลไม้บนโต๊ะ
นางหมดคำพูดเหลือแสน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน นางน่ากลัวถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
อืม คิดแล้วน่ากลัวถึงเพียงนั้นจริงด้วย!
“หา!?”
บุตรสวรรค์วัยเยาว์ผู้กระแทกหัวตนเองตะลึงงัน
‘บัดซบ!’
เขาก่นด่าในใจ ทรมานเป็นหนักหนา
เขาอยากบอกเหลือเกินว่า พี่สาว อยากกินองุ่นก็ส่งเสียงบอกหน่อยมิได้หรือ กลั่นแกล้งกันเช่นนี้ไม่ได้กระมัง!
ให้ตายสิ ที่เขากระแทกไปกระแทกเต็มแรงทั้งนั้น กะโหลกแทบแตก ตอนนี้ยังตาพร่าอยู่เลย!!!
เขาร้องไห้ ร้องออกมาจริง ๆ น้ำตาไหลพราก ไม่เคยอดสูเยี่ยงนี้มาก่อน!
“เฮ้อ นี่หรือคือรสชาติของความไร้เทียมทาน ระทม ระทมเหลือเกิน…”
เซี่ยเหยียนกินองุ่นเข้าไปในคำเดียว มือไพล่หลัง สั่นศีรษะถอนใจ ไม่อยากประลองยุทธ์อีกแล้ว
ไม่มีผู้ใดกล้าประลองกับนางเลย