รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 37 ความหวาดหวั่นในเนินเขา
บทที่ 37 ความหวาดหวั่นในเนินเขา
“เป็นมนุษย์แล้วทำไม? มนุษย์ด้อยกว่าผู้ฝึกตนหรือไร? ก่อนผู้ฝึกตนจะเริ่มฝึกฝนก็เป็นมนุษย์มาก่อนไม่ใช่หรือ?”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
หนิงเจี๋ยนั้นยโสเกินไป อ้าปากกี่คราก็มิพ้นปากพล่อย เป็นมนุษย์แท้ ๆ ยังจะพูดดูถูกมนุษย์อีก ชายหนุ่มโมโหยิ่งนัก
ทว่าเขากลับเสียใจขึ้นมา
แล้วจะไปหาเรื่องผู้ฝึกตนทำไมกันนะ
เขาจะสู้ผู้ฝึกตนอย่างหนิงเจี๋ยได้อย่างไร
ต่อให้หนิงเจี๋ยเลวร้ายปานใด อีกฝ่ายก็ยังสามารถฆ่าเขาได้อยู่ดี!
‘จะกลัวอะไร เซี่ยเหยียนก็อยู่ด้วยนี่นา เซี่ยเหยียนเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักไท่หัวเลยนะ ส่วนเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่านางเลย เซี่ยเหยียนเพิกเฉยไม่ได้หรอก!’
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เอวของหลี่จิ่วเต้าก็ยืดตรงขึ้น และเขาก็ไม่กลัวอีกต่อไป
“ดี ดีจริง ๆ!”
หนิงเจี๋ยหัวเราะ รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดูเหมือนว่าแค่เขาไม่ได้หลั่งเลือดให้เห็น มนุษย์ตัวเล็ก ๆ จึงกล้าพูดอวดดีต่อหน้าเขา!
เมี้ยว!
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ จู่ ๆ แมวเหมียวก็แทรกซึมเข้ามายังส่วนลึกของจิตวิญญาณเขา ซึ่งมันทำให้เขาตกใจ และขนทั่วร่างลุกซู่
เขามองไปที่แมวสีขาวตัวเล็ก ๆ ถัดจากหลี่จิ่วเต้าด้วยความไม่เชื่อและหวาดกลัวอยู่ในใจ
ความรู้สึกที่แมวขาวตัวน้อยมอบให้เขานั้นน่าหวาดผวายิ่งกว่าของเวิงอู๋โยวเสียอีก!
‘หลิงเสิ่ง เจ้ามัวทำอันใดอยู่ ทำไมถึงไม่เคลื่อนไหวเลยเล่า ช่วยข้าค้นหาทีว่าแมวสีขาวตัวเล็กนี่อยู่ขอบเขตใด!’
เขาเรียกหาวิญญาณนักบุญในใจ แต่ไร้ซึ่งการตอบสนองแม้สักนิด
วิฬาร์ขาวตัวเล็กนั่นให้ความรู้สึกที่น่ากลัวจนเขาไม่กล้าใช้สัมผัสวิญญาณตัวเองเพื่อตรวจสอบ เพราะหากทำจริง เขาอาจจะตายตกโดยไม่ต้องสงสัย!
ในตอนแรก เขาสามารถรู้ระดับขั้นของเวิงอู๋โยวได้ชัดเจนเนื่องจากหลิงเสิ่งช่วยเหลือเขา
“อย่าแกล้งตายตอนนี้สิ! ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้านะ!”
หนิงเจี๋ยยังคงเรียกหาหลิงเสิ่งต่อไป แต่ก็ไม่มีประโยชน์ หลิงเสิ่งไม่ตอบสนองเขาแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มมองไปยังแมวน้อยสีขาวอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าแมวขาวตัวน้อยกำลังมองมาที่เขาเช่นกัน ดวงตาของมันมีลำแสงอันน่ากลัวปนน่าสยดสยองยิ่งกะพริบอยู่ นี่ทำให้วิญญาณของเขาสั่นสะท้านอย่างหักห้ามไม่ได้ รวมไปถึงร่างกายด้วยเช่นกัน!
การข่มขู่นี้น่ากลัวอย่างยิ่ง หนิงเจี๋ยไม่สงสัยอีกต่อไปแล้ว วิฬาร์ขาวตัวเล็กนี้จะต้องแข็งแกร่งกว่าเวิงอู๋โยวอย่างแน่นอน!
‘มันมีแมวขาวตัวเล็กที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ได้อย่างไร’
หนิงเจี๋ยว้าวุ่นและหวาดกลัว
หากหลิงเสิ่งตอบกลับเขา เขาคงไม่หวาดกลัวมากขนาดนี้
ด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณนักบุญ ไม่ว่าเจ้าแมวขาวตัวเล็กจะแกร่งเพียงใดเขาก็ไม่กลัว!
แต่ตอนนี้หลิงเสิ่งไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย เขาไม่สามารถพึ่งหลิงเสิ่งได้ ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกลัว!
เมี้ยว!
ลั่วสุ่ยร้องอีกครั้ง และเสียงของนางก็เป็นดั่งภูเขายักษ์ที่กดทับหัวใจของหนิงเจี๋ย ทำให้หนิงเจี๋ยไม่สามารถหายใจได้ กระทั่งจิตวิญญาณของเขายังแทบจะพังทลาย!
‘เมี้ยว หน้าด้าน เจ้ากล้าเอ่ยกับผู้อาวุโสเช่นนี้หรือ’
ลั่วสุ่ยโมโหนัก หนิงเจี๋ยจะต่อว่าเซี่ยเหยียนก็ย่อมได้ แต่ชายผู้นี้กลับกล้าจะอวดดีต่อหน้าผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ นางทนไม่ได้!
หากไม่ใช่เพราะรู้ความต้องการของผู้อาวุโส นางคงสังหารหนิงเจี๋ยไปแล้ว!
เป็นศิษย์หลักของนิกายเจ็ดดาราแล้วอย่างไรเล่า!
นางสามารถเอ่ยได้ว่านางได้รับประโยชน์มากมายจากการอยู่กับผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน และขอบเขตของนางก็เปลี่ยนจากขอบเขตก่อกำเนิดเต๋าเป็นขอบเขตครองนภาแล้ว!
นี่กี่วัน?
อย่างช้าก็ไม่เกินสิบวัน
นางทะลวงผ่านสามขอบเขต
หากข่าวนี้กระจายออกไป คนคงอ้าปากค้างกันเป็นแถบ ๆ
ขอบเขตผันอนันต์เป็นแหล่งต้นน้ำและเป็นเรื่องยากมากที่จะข้าม ผู้ฝึกตนจำนวนมากอาจไม่สามารถข้ามขอบเขตผันอนันต์ได้ทั้งชีวิต
เมื่อก่อนเวิงอู๋โยวก็เป็นเช่นนี้ เขาถูกขังอยู่ในขอบเขตนิพพาน และไม่สามารถทะลวงไปสู่ขอบเขตผันอนันต์ได้
หากไม่ได้พบกับหลี่จิ่วเต้า เขาจะไม่สามารถทะลวงผ่านขอบเขตนิพพานได้ แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม
สำหรับขอบเขตที่อยู่เหนือขอบเขตผันอนันต์นั้นยากยิ่งกว่าที่จะก้าวข้าม ขอบเขตก่อกำเนิดเต๋านั้นเหนือกว่าขอบเขตผันอนันต์เป็นอย่างมาก และเป็นเรื่องยากมากที่จะไต่ขึ้นไป
ลั่วสุ่ยเพิ่งทะลวงผ่านจากขอบเขตกำเนิดเต๋าไปยังขอบเขตครองนภาในเวลาเพียงสิบวัน และได้ก้าวข้ามผ่านไปถึงสามขอบเขต นี่เป็นเรื่องน่าทึ่งมากอย่างไม่ต้องสงสัย!
ในอีกด้านหนึ่ง เซี่ยเหยียนเลิกคิ้วและเงยหน้าขึ้น นางยืนอยู่ด้านหน้าหลี่จิ่วเต้าและจ้องไปที่หนิงเจี๋ย โดยฉับพลัน มีปราณวิญญาณอันทรงพลังเปล่งออกมาจากร่างกายของนาง
ไม่ว่าหนิงเจี๋ยจะแปลกแค่ไหน นางก็ทนได้
แต่หนิงเจี๋ยกล้าดูหมิ่นผู้อาวุโสผู้ทรงพลัง นางทนไม่ได้!
“ขอบเขตนิพพาน!?”
หนิงเจี๋ยสัมผัสได้ถึงปราณที่เล็ดลอดออกมาจากตัวเซี่ยเหยียน เขาตกใจอย่างมาก
ไม่เคยคิดว่าเซี่ยเหยียนจะผิดปกติและอยู่ในขอบเขตนิพพานได้!
ต้องทราบว่า เขาได้ความช่วยเหลือจากวิญญาณนักบุญจึงก้าวเข้าสู่ขอบเขตนิพพานได้เร็วขนาดนั้น เซี่ยเหยียนสามารถเข้าสู่ขอบเขตนิพพานได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในพื้นที่รกร้างทางตะวันออก ซึ่งอยู่เหนือความคาดหมายของเขา!
ดีจริง ๆ
เซี่ยเหยียนมักมาหาหลี่จิ่วเต้า และนางก็ได้รับประโยชน์มากมาย
ฟิ้ว!
ชายหนุ่มไม่กล้าจะอยู่นานไปกว่านี้ เขาหนีไปไวนัก เพราะคิดว่าหากตนยังอยู่ต่อละก็ ไม่แคล้วชีวิตได้จบสิ้นเป็นแน่!
เซี่ยเหยียนนั้นไม่เป็นไร แต่แมวขาวตัวน้อยนั้นน่ากลัวนัก พลังของมันอยู่เหนือกว่าเขามาก!
หนิงเจี๋ยรีบหนีไปจากเนินเขาเขียว และหนีไปอีกพันโยชน์ เมื่อพบว่าแมวขาวตัวน้อยไม่ได้ไล่ตามมา เขาจึงหยุดอยู่ตรงนั้น
‘หลิงเสิ่ง มัวทำอันใดอยู่กันแน่!’
เขาตะคอกถาม ในยามนี้รู้สึกอับอายยิ่งนัก
“ฟู่ว…”
ในตอนนั้นเอง หลิงเสิ่งก็เริ่มเคลื่อนไหวและตื่นขึ้นมาเสียที
“บ้าไปแล้ว! ถึงกับมี ‘ความหวาดหวั่น’ อยู่ในเนินเขาเช่นนี้!”
ใจของหลิงเสิ่งสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว จนถึงตอนนี้เขาก็ยังกลัวอยู่
ตั้งแต่ที่มาถึงเนินเขา หลิงเสิ่งก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมากมายมหาศาล น่าหวาดผวาถึงขั้นต้องรีบผนึกตัวเองไว้ และไม่มีเวลาจะแจ้งให้หนิงเจี๋ยทราบ
“เจ้าหมายความว่าเช่นไร”
หนิงเจี๋ยจ้องเขม็ง ความหวาดหวั่นคืออะไร เหตุใดเขาจึงสัมผัสไม่ได้เลยเล่า?
“ขอบเขตเจ้าอยู่ขั้นไหน…ความหวาดหวั่นเช่นนั้น อย่าว่าแต่ข้าตอนนี้เลย ต่อให้ข้าสภาพสมบูรณ์พร้อมก็ยังไม่พอ ไม่ถึงครึ่งของเขาด้วยซ้ำ!”
หลิงเสิ่งเอ่ยอย่างตกตะลึง
หนิงเจี๋ยคิดถึงเรื่องนี้ มันไม่จำเป็นที่หลิงเสิ่งจะต้องโกหกเขา บางทีมันอาจจะมี ‘ความหวาดหวั่น’ ในเนินเขาเขียวจริง และขอบเขตของเขานั้นต่ำเกินกว่าจะรับความหวาดหวั่นนั้นได้
“ความหวาดหวั่นที่ว่าคืออันใดกันแน่”
“ข้าไม่รู้! ข้าไม่กล้าพอจะสัมผัสเยอะเกินไป ไม่เช่นนั้นข้าคงบอกเจ้าไปแล้ว…”
วิญญาณนักบุญเอ่ย
ในตอนนั้น หลังจากที่เขาสัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นนั้น ดวงวิญญาณทั้งหมดก็แทบแหลกสลาย หากเขาไม่ผนึกตัวเองไว้ทันเวลา เกรงว่าเขาคงตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
หลังเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาจึงเริ่มใจเย็นลง
“จะว่าไป แล้วเจ้าเล่า ได้สังหารมนุษย์ผู้นั้นหรือยัง?”
เขาถามหนิงเจี๋ย
“ช่างมันเถิด!”
สีหน้าของหนิงเจี๋ยเต็มไปด้วยความรำคาญยิ่ง เขาเอ่ยต่อ “ด้วยเหตุผลบางอย่าง มีแมวขาวน่ากลัวและน่าพรั่นพรึงอยู่เคียงข้างมนุษย์นั่น ข้าเกือบโดนแมวขาวฆ่าตายแล้ว!”
ชายหนุ่มเล่าทุกอย่างโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
“ช่างมันเถิด มันไม่ได้ขวางทางอะไร แม้ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะปกปิดความแข็งแกร่งหรือเป็นผู้ฝึกตนก็ไม่สำคัญเท่าใดนัก เพราะไม่ว่าเขาจะแกร่งแค่ไหน แต่เขาจะแกร่งกว่านิกายเจ็ดดาราได้หรือ?”
หลิงเสิ่งเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ไม่ใช่ว่าบอกไปแล้วหรือ เจ้ารีบร้อนและประมาทเกินไป เจ้าต้องจัดการสิ่งนี้เสีย ฟังข้า กลับไปนิกายเจ็ดดาราเดี๋ยวนี้ แล้วนำผู้แข็งแกร่งแห่งนิกายเจ็ดดาราไปอาณาจักรเซี่ยซะ เมื่อถึงเวลานั้น เซี่ยเหยียนจะไม่กลับมาแต่งงานกับเจ้าแต่โดยดีหรอกหรือ”