รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 79 โลกแห่งการฝึกตน หาได้สงบสุขไม่…
- Home
- รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人
- บทที่ 79 โลกแห่งการฝึกตน หาได้สงบสุขไม่…
“ท่านเซียนมอบหมายภารกิจให้ข้าตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าอยากได้เครื่องปรับอากาศตอนนี้ แต่หากข้าอยากชักพาความลับสวรรค์ออกมาทำลายผนึกของซากโบราณ ยังต้องบรรลุอีกหลายขอบเขตเป็นอย่างน้อย แล้วเวลาที่ใช้ก็คงไม่น้อยเช่นกัน…”
ผู้เฒ่าเมิ่งจีหน้าตาคร่ำเครียด
เพราะได้ท่านเซียนคอยชี้แนะเส้นทางฝึกฝนของเขานั่นแหละ หากไม่ได้ท่านเซียนชี้แนะ เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องบรรลุขึ้นไปอีกหลายขอบเขต…
“โอ๊ย ท่านเซียนทำได้ทุกอย่าง มีสิ่งใดบ้างที่ท่านไม่รู้”
ลั่วสุ่ยส่ายหัว “มีหรือที่ท่านเซียนจะไม่รู้ว่าท่านในตอนนี้ไม่มีพลังพอจะทลายผนึกซากโบราณ อย่าได้ร้อนใจไปเลย ในเมื่อท่านเซียนมอบหมายภารกิจให้ท่านแล้ว เช่นนั้นท่านเซียนย่อมมีแผนช่วยให้ท่านได้ทลายผนึกซากโบราณลง”
“จริงด้วย…”
ผู้เฒ่าเมิ่งจีตาลุกวาว ถึงอย่างไรลั่วสุ่ยก็ติดตามท่านเซียนมาเป็นเวลานานกว่า พินิจได้รอบคอบกว่าเขามากนัก
มีเรื่องใดปิดบังจากท่านเซียนได้บ้าง?
ย่อมไม่มี!
ความสามารถอันน้อยนิดของเขา ท่านเซียนย่อมรับรู้อยู่แล้ว ไฉนเลยจะมอบหมายภารกิจที่เขาไม่อาจทำให้ลุล่วงได้
ท่านเซียนต้องมีแผนอื่นแน่นอน!
เขาใจร้อนเกินไป!
“จำไว้ ห้ามบุ่มบ่ามเด็ดขาด นึกถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสสอนสั่งท่านเมื่อครั้งพาท่านกลับมา บอกให้ท่านเข้าใจโลกของมนุษย์ด้วยร่างกายของมนุษย์ จำไว้ให้มั่นว่าห้ามมีเรื่องพิพาทโดยเด็ดขาด!”
ลั่วสุ่ยเตือนผู้เฒ่าเมิ่งจีด้วยท่าทีจริงจัง
“หา?”
หลังผู้เฒ่าเมิ่งจีได้ยินคำพูดของลั่วสุ่ย ก็หน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
ใช่แล้ว ลั่วสุ่ยพูดไม่ผิด
ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านเซียนพาตัวเขากลับ เคยถ่ายทอดประสบการณ์ฝึกฝนให้เขาอยู่หลายวันติด ช่วยให้เขาได้ตระหนักถึงข้อดีของการสัมผัสชีวิตมนุษย์ด้วยจิตปุถุชน
เขาเองก็เข้าอกเข้าใจ ไม่พูดถึงเรื่องฝึกฝนอีก ใช้ชีวิตในนามปุถุชน สัมผัสกับโลกมนุษย์
“แต่…ปุถุชนธรรมดาจะไปที่ซากโบราณได้อย่างไรกันเล่า!”
เขาเครียดจนแทบทนไม่ไหว ทำอย่างไรทั้งหมดนี้จะไม่ย้อนแย้งกันนะ?
สัมผัสชีวิตมนุษย์ด้วยจิตปุถุชน ย่อมไม่สามารถใช้พลังฝึกฝนได้อีก ทว่าถ้าไม่ใช้พลังฝึกฝน แล้วเขาจะปลดผนึกซากโบราณได้อย่างไร?
“เฮ้อ อย่างไรท่านก็เพิ่งติดตามผู้อาวุโสได้ไม่นานล่ะนะ”
ลั่วสุ่ยกล่าว “ผู้อาวุโสบอกให้ท่านสัมผัสมนุษย์ด้วยจิตปุถุชน เป็นความเอ็นดูที่มีให้ท่านคนเดียว ผู้อาวุโสหาได้ให้ผู้อื่นสัมผัสมนุษย์ด้วยจิตปุถุชนไม่…ท่านทำเองไม่ได้ มิรู้จักใช้ให้ผู้อื่นทำแทนให้หรือ”
“เข้าใจแล้ว!”
ฟังคำพูดของลั่วสุ่ยจบ ผู้เฒ่าเมิ่งจีพลันกระจ่างทันที
ใช่แล้ว
ท่านเซียนขอให้เขาสัมผัสชีวิตมนุษย์ด้วยจิตปุถุชน เป็นเพราะความเอ็นดูที่มีให้กับตัวเขา แม้นผู้อื่นปรารถนาแต่ก็ไม่ได้!
เขาเพียงรับประกันให้ได้ว่าตัวเองสัมผัสมนุษย์ด้วยจิตปุถุชนก็พอ!
“ข้าจะขอให้เจ้านิกายมาที่นี่!”
เขานับถือลั่วสุ่ยอย่างยิ่งยวด
ลั่วสุ่ยติดตามข้างกายท่านเซียนมานาน ด้านคาดเดาความประสงค์ของท่านเซียนนั้น เก่งกาจกว่าเขามากนัก!
“เหตุใดตอนที่ผู้อาวุโสมอบหมายภารกิจให้ท่านถึงไม่บอกวิธีปลดผนึกแก่ท่าน นี่แหละความหมาย…ผู้อาวุโสต้องการให้ท่านพเนจรโลกมนุษย์ด้วยจิตปุถุชนต่อไป ไม่อยากให้ท่านต้องละทิ้งกลางทาง…”
ลั่วสุ่ยกล่าว
“อีกอย่าง ท่านอย่าลืมกำชับเจ้านิกาย บอกกล่าวข้อห้ามต่างๆ ของผู้อาวุโสแก่เจ้านิกาย จำให้มั่นว่าอย่าฝ่าฝืนข้อห้ามของผู้อาวุโสเด็ดขาด!”
นางเอ่ยต่อ “จำไว้ ตอนนี้ท่านเป็นปุถุชน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับผู้ฝึกตน เมื่อเจ้านิกายมาที่นี่ ท่านก็ต้องจำเรื่องนี้ให้มั่น!”
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
ผู้เฒ่าเมิ่งจีพยักหน้า ก่อนจะหยิบยันต์ติดต่อออกมาหนึ่งแผ่น บันทึกรายละเอียดต่าง ๆ ลงยันต์ติดต่อ และส่งไปแจ้งเจ้านิกาย
…
ณ ซากโบราณ ประกายแสงเจิดจ้าทะยานฟ้า ประหนึ่งเสาค้ำฟ้าที่เชื่อมนภากับพสุธาเข้าด้วยกัน
โจวตง ลวี่เหลียง และเวิงอู๋โยวรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก
“พวกเราเป็นฝ่ายเจอก่อนแท้ ๆ บัดนี้กลับแค่จะขอส่วนแบ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังไม่ได้เลยหรือ!”
เวิงอู๋โยวเอ่ยอย่างเคียดแค้น
ยอดฝีมือจากทั้งสี่ภาคเข้ามารวมพล แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ รวมถึงสัตว์อสูรแข็งแกร่งมากมายมาถึง แต่ก็จนปัญญากับซากโบราณเช่นกัน โจมตีมาเป็นเวลานานแล้ว กระทั่งรวมพลังของยอดฝีมือทั้งหมดไว้ในค่ายกลยังไม่อาจสะเทือนซากโบราณได้แม้แต่น้อย
ด้านหลังยังมียอดฝีมือเข้ามาทางนี้เพิ่มขึ้นอีก
ทีแรกยังดี พวกเขายังมีส่วนร่วม หลังจากที่มียอดฝีมือมาเยือนที่นี่มากขึ้น พวกเขาก็ไม่ไหวอีกต่อไป ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมแล้ว…
ยอดฝีมือที่ตามมาทีหลังแข็งแกร่งยิ่งกว่า ซ้ำยังนำยอดศาสตรามามากมาย ดูมีความมั่นใจสูงว่าจะสามารถทลายผนึกซากโบราณ และเข้าไปในซากโบราณได้
เวลานี้เหล่ายอดฝีมือกำลังจำกัดพื้นที่ ผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรกำลังต่ำถูกขับไล่ ป้องกันมิให้สบโอกาสครั้งซากโบราณเปิดออก
กองกำลังอ่อนจากแดนบูรพาทิศ แดนทักษิณทิศ แดนประจิมทิศ แดนอุดรทิศ หรือแม้กระทั่งภาคกลางยังอยู่ต่อไม่ได้ ล้วนอยู่ในรายชื่อผู้ถูกขับไล่ทั้งนั้น
บรรดายอดฝีมือจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงสัตว์อสูรพลังแกร่งกล้าจากภาคกลางหมายมั่นจะยึดครองซากโบราณแห่งนี้!
“รีบไสหัวไปเสีย อย่าทำตัวไม่รู้ผิดชอบชั่วดี บีบบังคับให้ข้าต้องฆ่าคน!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งขี่อยู่บนสิงห์ยักษ์ขนสีทองอร่ามเจิดจ้าตะคอกเสียงดุ มองทุกคนอย่างผู้เหนือกว่า ด้วยสายตาหยิ่งโส
เขามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงหลิน เป็นผู้อาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงหลิน นามไป๋หยู มาถึงซากโบราณแห่งนี้เป็นคนแรก เขาค่อนข้างอารมณ์ร้อน ซ้ำยังมีท่าทีดูแคลนผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรตนอื่น ๆ ตั้งแต่แรก
แถมเขายังเป็นหนึ่งในยอดฝีมือกำลังหลักที่บงการให้จำกัดพื้นที่อีกด้วย
เวิงอู๋โยว โจวตง และลวี่เหลียงอยู่ทางทิศนี้พอดี
พวกเขาอัปยศอดสูอย่างยิ่ง
ตั้งแต่มาถึงซากโบราณ พวกเขาไม่เคยจากไปไหนเลย กลัวเหลือเกินว่าจะพลาดฉากเปิดของซากโบราณ ผู้ใดจะรู้ว่าสิ่งที่ได้ในตอนสุดท้ายจะเป็นเยี่ยงนี้…
ทั้งสามโมโหอย่างที่สุด ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นกลุ่มแรกที่ค้นพบที่นี่นะ!
“สหาย ไม่จำเป็นต้องตัดทางกันปานนี้ก็ได้กระมัง ผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรเดินทางไกลมาจากทั้งห้าทิศ เหนื่อยยากกว่าจะมาถึงที่นี่ สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรเลย แบบนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ”
ลวี่เหลียงทนไม่ไหวจึงพูดกับไป๋หยู
หลังเขากล่าวจบ สีหน้าโจวตงกับเวิงอู๋โยวพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
อนิจจา เหตุใดลวี่เหลียงถึงพูดจาเช่นนี้กับไป๋หยู
โลกนี้แต่ไหนแต่ไรมาผู้แข็งแกร่งก็มีสิทธิ์มีเสียงมากกว่า ผู้อ่อนแอถูกผู้แข็งแกร่งกลืนกิน สิ่งที่ผู้แข็งแกร่งกล่าวก็คือกฎ ผู้อ่อนแอบังอาจเรียกร้องยุติธรรมจากผู้แข็งแกร่ง นับว่ารนหาที่ตายแท้ ๆ!
ต่อให้ลวี่เหลียงโมโหเพียงใด ก็ไม่ควรพูดเช่นนี้
หลังไป๋หยูได้ยินคำกล่าวของลวี่เหลียง สายตาก็หันขวับมาหาลวี่เหลียงทันที
“สหาย…คนอย่างเจ้ากล้าดีอย่างไรมาเรียกขานข้าว่าสหาย!”
เสียงของเขาเย็นเยียบ ฟังแล้วหนาวสะท้านประหนึ่งตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง ลวี่เหลียงได้สติขึ้นมาทันที กล้ามเนื้อตึง ขนตั้งชัน ไอเย็นทะยานขึ้นจากฝ่าเท้าสู่สมอง!
เขาวู่วามเกินไปแล้ว ถึงขั้นลั่นวาจาเยี่ยงนี้กับยอดฝีมือจากแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาช่างรนหาที่ตายเสียจริง!
“ผู้อาวุโสโปรดอย่าโมโห เป็นความผิดของข้าเอง ผู้อาวุโสโปรดอภัยให้ด้วย!”
เขารีบกล่าวขอโทษไป๋หยู
นี่แหละ โลกแห่งการฝึกตน
รูปลักษณ์ของเขาอยู่ในวัยชรา ขณะที่รูปลักษณ์ของไป๋หยูอยู่ในวัยกลางคน ดูแล้วเขามีอายุมากกว่าไป๋หยู กระนั้นโลกแห่งการฝึกตนไม่ถือเรื่องพวกนี้ แต่ดูกันที่พลัง!
พลังทัดเทียมนับเป็นสหาย พลังเหนือกว่านับเป็นผู้อาวุโส พลังด้อยกว่านับเป็นผู้น้อย!
ก่อนหน้านี้เขาวู่วามเกินไป กระทำความผิดใหญ่หลวง ทำให้ตัวเขากังวลลนลานอย่างที่สุด
โลกแห่งการฝึกตนหาได้สงบสุขเช่นนั้นไม่ ปะทะคารมกันเพียงประโยคเดียวก็มีโอกาสจบชีวิตลง โหดร้ายยิ่งนัก…
“ผู้อาวุโสจิตใจกว้างขวาง โปรดอย่าถือสาผู้น้อยเลย เขาเพียงเสียสติไปชั่วขณะเท่านั้น หวังว่าผู้อาวุโสจะให้อภัยเขาในครั้งนี้!”
โจวตงก็รีบเอ่ยกับไป๋หยูด้วยความนอบน้อม