รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 900 ปิงหนิง ‘หลีเฟย พฤติกรรมของเจ้าเสมือนสุนัขขี้เลีย!’
- Home
- รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人
- บทที่ 900 ปิงหนิง ‘หลีเฟย พฤติกรรมของเจ้าเสมือนสุนัขขี้เลีย!’
บทที่ 900 ปิงหนิง ‘หลีเฟย พฤติกรรมของเจ้าเสมือนสุนัขขี้เลีย!’
สิ่งมีชีวิตที่ก่อนหน้านี้ยังถกกันว่าระหว่างหนานกงอวี่และปิงหนิง ผู้ใดจะได้ตำแหน่งสุดท้ายพลันชะงักบทสนทนาหลังได้ยินคำกล่าวของสิ่งมีชีวิตตนนั้น
จริงสิ พวกเขาอ่อนต่อโลกไปหน่อย
ในโลกแห่งการฝึกตน ไม่มีมาก่อนได้ก่อน ทุกอย่างดูที่พลังเท่านั้น
อีกอย่างในศึกช่วงชิงโอกาสวาสนา เจ้าได้ก่อนก็เป็นของเจ้าอย่างนั้นหรือ?
เป็นไปได้ที่ไหน!
สถานการณ์ยามนี้ก็เช่นกัน ภายในแดนมงคงปราศจากกฎเกณฑ์ข้อจำกัด ซีได้ตำแหน่งไปก่อนก็เท่านั้น…
“ซี…เฮ้อ แม้จะน่าระอา ทว่าความจริงโหดร้ายเช่นนี้แล!”
“ยังดีที่ในแดนมงคลอันดับสองยังมีตำแหน่งว่าง นางสามารถเข้าไปฝึกฝนในแดนมงคลอันดับสอง”
สิ่งมีชีวิตในที่นี้พากันสั่นศีรษะ มิมีผู้ใดเห็นอนาคตจากซี
ถึงอย่างไร หนานกงอวี่ ปิงหนิง และหลีเฟยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซีจะต้านอย่างไรไหว
ไม่มีทางต้านได้
“ตามคาด หนานกงอวี่และปิงหนิงเข้าไปยังแดนมงคลอันดับหนึ่งได้!”
สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งกล่าว
ชื่อของหนานกงอวี่และปิงหนิงหายไปจากทำเนียบแดนมงคลอันดับสอง และปรากฏในแดนมงคลอันดับหนึ่งพร้อมกัน
“ศึกช่วงชิงตำแหน่งจะเริ่มขึ้นแล้ว ลำพังเข้าไปถึงแดนมงคลยังไม่พอ จำต้องมีตำแหน่งในนั้นด้วย”
สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งเอ่ย
มีเพียงอยู่ในตำแหน่งเท่านั้นจึงจะได้รับประโยชน์ และจะสามารถดูดกลืนสสารขุมปราณชีวิตฟ้าดิน หากไม่มีตำแหน่งย่อมทำไม่ได้
“ศึกชิงแดนมงคลหรือ เจ้าพูดอะไร มีการชิงที่ไหน”
สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งแย้ง
สิ่งมีชีวิตตนก่อนหน้าไม่พูดจา
จริงดั่งที่ว่าไม่มีการชิงใด ๆ ทั้งสิ้น พวกหนานกงอวี่อยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบเบ็ดเสร็จ เป็นความได้เปรียบที่มิอาจก้าวข้าม ทุกอย่างเทไปด้านเดียว ไม่เหมาะจะใช้คำว่า ‘ชิง’
…
ท่ามกลางแดนมงคลอันดับหนึ่ง
“มาแล้วหรือ”
ทันทีที่หนานกงอวี่และปิงหนิงเข้ามาถึงแดนมงคล หลีเฟยก็ก้าวเข้ามาทักทายหนานกงอวี่และปิงหนิงด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาสนิทกันจึงมักอยู่ด้วยกันเสมอ
คราวนี้พวกเขานัดกันว่าจะเข้ามาฝึกฝนในลานเต๋าสัพพัญญูไท่ชิงด้วยกัน เพียงแต่หลีเฟยออกเดินทางก่อนเท่านั้น
“แน่นอน ท่านเข้ามาแล้ว พวกเราทั้งสองไฉนเลยจะยอมรั้งท้าย”
หนานกงอวี่ตบบ่าหลีเฟยด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ทว่ามีปัญหาเล็กน้อย เดิมพวกเราไม่คิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตตนใดสามารถเข้ามายังแดนมงคลอันดับหนึ่ง จึงมิได้เดินทางมาทันที ผลสุดท้ายกลับมีสิ่งมีชีวิตเข้ามายึดตำแหน่งได้จริง”
“ใช่ปัญหาที่ไหน”
หลีเฟยคลี่ยิ้ม ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
“ไฉนเลยจะมิใช่ปัญหา ยามนี้เหลือเพียงตำแหน่งเดียว ท่านต้องการให้ข้ากับท่านพี่อวี่ตัดสินใจเลือกหรืออย่างไร หากเป็นเช่นนี้ ข้ายอมถอนตัว ให้ท่านพี่อวี่ฝึกฝนด้วยตำแหน่งนี้”
ปิงหนิงหัวเราะแผ่วเบา งดงามเฉิดฉัน
“เลิกอวดความรักต่อหน้าข้าเสียที!”
หลีเฟยปรายตามองปิงหนิง “ท่านรู้ว่าข้าพูดถึงสิ่งใด”
“ข้ามีท่านพี่อวี่อยู่ย่อมต้องอวดเป็นปกติ มิฉะนั้นต้องปล่อยให้สตรีนางอื่นมาอวดหรือไร”
ปิงหนิงเอ่ยยิ้ม ๆ “ท่านเองก็รีบหาใครสักคนเถิด จะได้อวดต่อหน้าข้ากับท่านพี่อวี่บ้าง”
นางย่อมเข้าใจความหมายของหลีเฟย ก่อนนี้นางเพียงพูดเล่นเท่านั้น
ให้นางกับท่านพี่อวี่เลือกตัดใจสักคนอย่างนั้นหรือ
เป็นไปได้อย่างไร!
ผู้ที่ต้องไปย่อมต้องเป็นซี!
“เอาล่ะ อย่าเสียเวลากันเลย พวกเราไปเจรจากับซีผู้นี้กันเถิด”
หนานกงอวี่โบกมือ ออกเดินทางพร้อมปิงหนิงและหลีเฟย รุดหน้าไปยังตำแหน่งที่ซีอยู่
แดนมงคลอันดับหนึ่งกว้างขวางนัก เสมือนมิติแห่งเล็กแห่งหนึ่ง ตำแหน่งทั้งสามมิได้ตั้งอยู่ติดกัน ห่างกันไกลโข
พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่พำนักของซี
แม้ซีจะกำลังฝึกฝน แต่นางก็ไม่เคยชะล่าใจ คอยจับตาดูสถานการณ์ด้านนอกอยู่ตลอด
ทันทีที่พวกหนานกงอวี่มาถึงที่นี่ นางก็ยุติการฝึกฝน
หญิงสาวลืมตาพร้อมลุกยืน ทอดสายตามองพวกหนานกงอวี่สามคน “ทุกท่านมีธุระอันใด”
ในแดนมงคลอันดับหนึ่งมีที่ว่างเพียงสามตำแหน่ง บัดนี้พวกหนานกงอวี่สามคนมาหานาง นางก็พอเข้าใจว่ากำลังจะเกิดเรื่องใด
“แม่นางผู้นี้งดงามยิ่ง…”
ปิงหนิงปริปากขึ้นก่อน สายตาที่ทอดมองซีทอประกายประหลาดใจ
นางไม่เคยคิดเลยว่าซีจะงดงามปานนี้ เทียบกับนางแล้วมิได้ด้อยไปกว่ากันเลย ซ้ำแล้วนางยังมิอาจเทียบด้วย บุคลิกของซีที่สูงส่งเกินไป นางพ่ายแพ้ในด้านบุคลิก
อีกด้าน หลังหนานกงอวี่และหลีเฟยได้เห็นซีก็มีสายตาเปลี่ยนไปเช่นกัน
บุคลิกของซีโดดเด่นยิ่งนัก นางมีภูมิหลังอย่างไรกันแน่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลำพังจากบุคลิกของซีก็ทราบได้ว่าภูมิหลังของนางไม่ธรรมดา
“เป็นอันใดไป หวั่นไหวหรือ”
เวลานั้นเอง ปิงหนิงหันมองหลีเฟยพร้อมเอ่ยยิ้ม ๆ “หากท่านหวั่นไหว ข้ายินดีช่วยให้ท่านสมปรารถนา สละตำแหน่งนี้ ให้พวกท่านทั้งสองได้ลงเอยกัน”
นางเห็นสายตาของหลีเฟยจับจ้องซีอยู่ตลอด ซ้ำสายตานั้นยังไม่ปกติ เป็นสายตาที่มิเคยปรากฏกับสตรีนางใด นางรู้ว่าหลีเฟยหวั่นไหวต่อซี
“เป็นสหายกันมาตั้งหลายปี เรื่องนี้ข้าทำให้ได้”
ปิงหนิงกล่าวพลางยิ้ม ยินดีช่วยหลีเฟย
หากหลีเฟยมีใจให้ซีจริง คงไม่อาจขอให้นางจากไป มิฉะนั้นหลีเฟยและซีจะพัฒนาความสัมพันธ์อย่างไรเล่า
ย่อมไม่อาจพัฒนาได้แล้ว
“เจ้าว่าอะไร!”
หลีเฟยเอ่ยเสียงค่อย ท่าทางประหม่าระคนเขินอาย
เป็นการบ่งบอกว่าเขาชอบซีอย่างมิต้องสงสัย
“ฮ่า ๆ พี่หลีเฟยสายตาสูงส่งกว่าผู้ใดเรื่อยมา ยากจะหาสตรีนางใดเข้าตาท่าน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีอันใดต้องพูดกันอีก ตำแหน่งนี้พวกเรายอมสละให้!”
หนานกงอวี่หัวเราะร่วนพลางกล่าว
ตำแหน่งย่อมสำคัญ ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลีเฟยวิเศษกว่า เขาเองก็ยินดีช่วยหลีเฟย
“สละ? นี่เป็นตำแหน่งที่ข้าได้มาด้วยตนเอง ไยต้องให้พวกเจ้าสละ”
เวลานั้นเอง ซีเอ่ยขึ้นมา “ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าคิดการใด ขอให้ไปจากที่นี่ด้วย ข้าไม่ต้อนรับพวกเจ้า”
ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
ราวกับนางยอมให้บงการง่าย ๆ
นางไม่ต้องการ ‘ความโปรดปราน’ เช่นนี้
ไม่จำเป็นเลย
“แม่นางเจ้าอารมณ์จริง ๆ!”
ปิงหนิงเอ่ยยิ้ม ๆ “แน่นอนว่านี่เป็นตำแหน่งที่แม่นางได้มาด้วยตนเอง ทว่าบัดนี้เกินจำนวนแล้ว ตำแหน่งไม่พอ ข้าหวังว่าแม่นางจะเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ด้วย”
นางเอ่ยต่อ “พวกเรายินดีสละตำแหน่งให้ แต่ขอให้แม่นางจดจำความหวังดีของเรา อย่าได้วางท่าเช่นนี้”
จริง ๆ เลย นี่ซีวางมาดใส่พวกเขาหรืออย่างไร
หากมิใช่หลีเฟยมีใจให้ซี นางไฉนเลยจะยอม คงไล่ซีไปนานแล้ว
ส่วนภูมิหลังของซีที่อาจมีอยู่นั้น นางไม่กังวลสักนิด
ซีมีเบื้องหลัง แล้วพวกเขาไม่มีหรือไร
พวกเขาทั้งสามมีผู้ใดภูมิหลังธรรมดาบ้าง ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวภูมิหลังอื่นใดสักนิด
“เจ้านี่พูดจาน่าขันเสียจริง ไม่เข้าใจคำกล่าวของข้าหรือ นี่คือตำแหน่งของข้า ไยต้องเอ่ยว่าสละ จำนวนเกิน ตำแหน่งไม่พอ นั่นเป็นปัญหาของพวกเจ้า”
ซีเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา
หลังนางเอ่ยประโยคนี้จบ คิ้วของปิงหนิงก็ขมวดทันที
ซีผู้นี้แข็งกร้าวเหลือเกิน!
นางรู้สึกไม่พอใจ
ยกตำแหน่งสำคัญปานนี้ให้ ซีกลับไม่นึกขอบคุณ ซ้ำยังแสดงทีท่าขึงขัง ชวนให้นางขุ่นใจยิ่งนัก
ซีคงมิได้คิดอย่างไร้เดียงสาว่าขอเพียงครองตำแหน่งได้ก่อนก็จะอยู่ในตำแหน่งไปได้ตลอดกระมัง
ทว่าลงท้ายนางก็มิได้เอาเรื่อง เพียงแต่หันมองหลีเฟย
ทั้งหมดปล่อยให้หลีเฟยตัดสินใจแล้วกัน
“เอาอย่างนี้ ข้าสละตำแหน่งให้แล้วกัน พวกท่านสองคนฝึกฝนในนี้ไป”
หลีเฟยกล่าว
ดูออกว่าเขามีใจให้ซีจริง ๆ และไม่ต้องการให้สหายผู้สนิทกันมาหลายปีต้องลำบากใจ จึงยินดีสละตำแหน่งให้เอง เข้าไปฝึกฝนในแดนมงคลอันดับสอง
“ดูท่าพี่หลีเฟยจะเกิดความรู้สึกชอบขึ้นมาจริง ๆ”
หนานกงอวี่หัวเราะเสียงดัง ไฉนเลยจะดูไม่ออก
จากนั้น เขาก็หันมองซี “พี่หลีเฟยนั้นไม่เลว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ความหวังดีของพี่หลีเฟยเสียเปล่า จดจำความดีครานี้ของพี่หลีเฟยไว้ด้วย”
“ใช่แล้ว เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้ ตำแหน่งนี้พี่หลีเฟยเป็นผู้สละให้เจ้า!”
เวลานั้นเองปิงหนิงกล่าวเพื่อจงใจเน้นข้อนี้ หากซียังมีท่าทีราวกับทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่นางคิด เช่นนั้นการยอมสละตำแหน่งของหลีเฟยคงเป็นการเสียเปล่า
อย่างน้อยก็ต้องให้ซีกระจ่างในเรื่องนี้ ให้นางมีความซาบซึ้งและขอบคุณหลีเฟยที่ยอมสละตำแหน่ง
“ดูท่าพวกเจ้าจะฟังคำกล่าวของข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ”
ซีกล่าว “ข้าจะกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย นี่คือตำแหน่งของข้า มิใช่สิ่งที่พวกเจ้าต้องสละกันไปสละกันมา นอกจากนี้ ภายภาคหน้าข้ากับพวกเจ้าย่อมไม่มีทางเกี่ยวข้องกันอีก พวกเจ้าล้มเลิกความคิดเหล่านั้นได้แล้ว”
แน่นอนว่าหากนางไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกปิงหนิงคิด ซาบซึ้งต่อหลีเฟยเหลือแสน นางคงไม่มีปัญหา
ทว่านางไม่อาจทำเรื่องเช่นนั้น
คนอย่างนางไม่อาจหวังพึ่ง ‘ความโปรดปราน’ ของผู้อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา!
“ในโลกที่พลังเป็นใหญ่ เจ้าไม่คิดว่าวาจาของเจ้าน่าขันหรือ ตำแหน่งของเจ้าอะไรกัน เพียงเพราะเจ้าได้ครองก่อนหรือ พอกันที เจ้าเลิกไร้เดียงสาได้แล้ว!”
ปิงหนิงมองซีพลางกล่าว “ไม่เคยมีกฎว่ามาก่อนได้ก่อน อย่าได้ลืมตัว!”
“มาก่อนได้ก่อน ข้าอ้างเรื่องนี้กับเจ้าเมื่อไหร่”
ซีส่ายหัว “เจ้าต่างหากที่เลิกไร้เดียงสาได้แล้ว”
“โอหังยิ่งนัก…”
ปิงหนิงหัวเราะ กล่าวต่อหลีเฟยว่า “สตรีที่ท่านชอบทะนงกว่าพวกเราเสียอีก คิดจริงหรือว่าตนนั้นไร้เทียมทาน”
“ความทะนงก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ ระดับอย่างท่านกับข้า ผู้ใดไม่ทะนงบ้าง”
หลีเฟยเอ่ย เขาหวั่นไหวจริง ๆ จึงพูดจาปกป้องซี
“ท่านทำเช่นนี้ไม่ไหวเลย!”
ปิงหนิงสั่นศีรษะ บอกกับหลีเฟย “นางไม่มีความรู้สึกดี ๆ ต่อท่านสักนิด ท่านยังละทิ้งศักดิ์ศรี ใช้แก้มร้อน ๆ ของท่านไปแนบกับก้นเย็น ๆ ของนางครั้งแล้วครั้งเล่า พฤติกรรมเช่นนี้ของท่านท้ายสุดย่อมไม่เหลือสิ่งใด”
นางกล่าวต่อ “ผู้ประพฤติตัวเช่นท่านมีอยู่ไม่น้อย ผู้คนนิยามพฤติกรรมเช่นขนี้องพวกท่านไว้ คล้ายว่าจะเป็น ‘สุนัขขี้เลีย’”
สุนัขขี้เลีย?
วลีนี้แสลงหูยิ่ง
หลีเฟยขมวดคิ้ว กระนั้นกลับรู้สึกว่าปิงหนิงพูดถูก
และคำว่าสุนัขขี้เลียก็ดูเหมาะเหม็งอย่างยิ่ง
“หนิงเอ๋อร์พูดถูก นางไม่รู้จักสำนึกบุญคุณด้วยซ้ำ ใช้ชีวิตในโลกของตนเอง มองว่าตนนั้นไร้เทียมทานในใต้หล้า นี่มิใช่ความทะนง หากแต่เป็นความยโสโอหัง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
เวลานั้น หนานกงอวี่เอ่ยขึ้น ว่า “ข้าว่าพี่หลีเฟยเปลี่ยนคนชอบเถิด นางไม่เหมาะกับพี่หลีเฟย”
เขาไม่พอใจในท่าทางของซีมากเช่นกัน ซีไฉนเลยจะไม่เข้าใจสถานการณ์ในยามนี้
แต่นางยังแสดงท่าทีแข็งกร้าว
หมายความว่าอย่างไร ซีคิดจริงหรือว่าจะจัดการพวกเขาได้
น่าขันยิ่งนัก
ซีนี่ผยองสุด ๆ ไปเลย