ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 121 พลังลมปราณเปิดโล่ง + 122 เธอเป็นอัจฉริยะ
ตอนที่ 121 พลังลมปราณเปิดโล่ง
ตัวอู่เหมยเองก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน ทั้งสองชาติสิ่งที่ได้ยินมากที่สุดในโรงเรียน หากไม่ใช่คำวิพากษ์วิจารณ์ก็เป็นคำเยาะเย้ยถากถาง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้ยินคำชมเชยจากปากของอาจารย์!
ทำไมถึงได้รู้สึกว่าหัวใจนั้นหวานฉ่ำแถมยังเบาหวิว เหมือนกับว่าจะบินออกจากลำคออย่างไรอย่างนั้น
อาจารย์อู๋ยิ้มให้อู่เหมยเป็นเชิงชมเชย ซึ่งยิ่งทำให้เธอตื่นตะลึงมากขึ้น สวรรค์! ดูสวยหยาดเยิ้มยิ่งกว่าหยางกุ้ยเฟยเสียอีก!
อาจารย์อู๋ที่หน้าตาธรรมดายิ้มแล้วดูสวยเหลือเกินจริงๆ อยากให้เธอยิ้มบ่อยๆ จังเลย!
อาจารย์อู๋ค่อยๆ อ่านเรียงความของอู่เหมยให้ฟัง เสียงเธอแหบแห้งเล็กน้อย นี่เป็นอาการที่เกิดจากการทำงานอาชีพครู มีคุณครูเพียงไม่กี่คนที่มีเสียงดังกังวานเป็นพิเศษ แต่อู่เหมยกลับรู้สึกว่าเสียงของอาจารย์อู๋ไพเราะน่าฟังกว่าผู้ประกาศข่าวเสียอีก นอกจากนี้เมื่ออาจารย์อู๋อ่านเรียงความของเธอ ช่างฟังดูเหมือนงานเขียนร้อยแก้วของนักเขียนชื่อดัง ดีเลิศยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
เรียงความหนึ่งบทไม่ยาวสักเท่าไร ไม่นานนักอาจารย์อู๋ก็อ่านจบ เธอวางสมุดเรียงความลงและพูดว่า “เรียงความบทนี้ไม่ได้ใช้คำสวยหรูอะไรเป็นพิเศษ แต่เขียนด้วยความรู้สึกที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่บรรยายการต่อสู้ระหว่างกระรอกกับงูใหญ่ ทำให้รู้สึกเหมือนได้เผชิญเหตุการณ์ด้วยตัวเอง พวกเธอเองก็รู้สึกแบบเดียวกันใช่หรือเปล่า?”
“ใช่ค่ะ/ครับ” บรรดานักเรียนตอบเสียงดัง
อาจารย์อู๋พูดต่ออีกว่า “เพราะฉะนั้นการเขียนเรียงความไม่จำเป็นต้องใช้คำที่สวยหรูมากนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการแสดงความรู้สึกที่แท้จริง ซึ่งเรียงความบทนี้ของอู่เหมยอธิบายตรงจุดนี้ได้ดีมาก เทอมนี้การเรียนของอู่เหมยพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน ครูอยากจะขอเอ่ยชมเชยอู่เหมยเป็นพิเศษ หวังว่าเธอจะมุ่งมั่นพยายามต่อไป และอย่าหยิ่งผยอง”
อู่เหมยตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ แล้วพยักหน้าอย่างแรง คำพูดนี้ของอาจารย์อู๋สร้างความมั่นใจให้แก่เธออย่างยิ่ง บางทีชาตินี้เธออาจจะสลัดฉายาคนเรียนห่วยทิ้งไปได้ก็ได้!
“ต่อไปครูจะอ่านเรียงความของอู่เชาให้ทุกคนฟัง อู่เชาเขียนบันทึกการท่องเที่ยวที่เฟิ่งหวงซานเช่นกัน แต่เฟิ่งหวงซานที่เขาเขียนนั้นแตกต่างจากเรียงความของอู่เหมยโดยสิ้นเชิง แต่ก็เขียนได้เยี่ยมมากทั้งคู่…”
คาบนี้อู่เหมยเรียนอย่างผ่อนคลายเป็นพิเศษ ผ่อนคลายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จิตใจก็อิ่มเอมเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความที่อาจารย์อู๋คอยส่งสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักและเอาใจใส่ให้เธออยู่บ่อยๆ เธอก็เลยไม่กล้าที่จะใจลอย เธอรู้สึกว่าถ้าเกิดเธอใจลอยเดี๋ยวจะผิดต่ออาจารย์อู๋เกินไป!
หลังจากหมดคาบ อู่เชาก็กระทุ้งอู่เหมย แล้วพูดเสียงเบาว่า “เหมยเหมยพลังลมปราณเธอเปิดโล่งไหลเวียนสะดวกแล้วเหรอ?”
อู่เหมยมองค้อนเขาตาเหลือก เธอทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ และพูดว่า “พอเขียนเสร็จพ่อฉันก็ช่วยดูให้ เขาเองก็บอกว่าฉันเขียนใช้ได้ทีเดียว”
แต่อู่เชากลับคิดว่าอู่เจิ้งซือช่วยขัดเกลาสำนวนให้ แล้วเขาก็เข้าใจทันที มิน่าล่ะการเขียนของเธอถึงได้พัฒนาดีขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้
คนที่คิดแบบเดียวกันยังมีเจินหวานหว่านอีกคน เธอรู้สึกอึดอัดใจมาก เธอเองก็เขียนเกี่ยวกับเฟิ่งหวงซานเหมือนกัน แต่เนื่องจากไม่มีคุณพ่อที่เป็นอาจารย์วิชาภาษาจีน เรียงความเธอถึงได้ไม่เข้าตาอาจารย์อู๋ ไม่สามารถเป็นเรียงความตัวอย่างที่จะอ่านให้ทุกคนฟังได้
คนโง่อย่างอู่เหมยจะเขียนเรียงความดีๆ ได้อย่างไรกัน
คุณพ่อเธอจะต้องช่วยขัดเกลาสำนวนให้แน่นอน ถ้าพ่ออู่เหมยเป็นพ่อเธอจะดีขนาดไหนนะ!
คาบแรกในช่วงบ่ายคือวิชาคณิตศาสตร์ อาจารย์วิชาคณิตศาสตร์ยกกระดาษข้อสอบเปล่าที่หอมกลิ่นหมึกพิมพ์เข้ามาหนึ่งตั้ง บรรดานักเรียนต่างก็ส่งเสียงร้องโอดครวญ อาจารย์วิชาคณิตศาสตร์พูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า “วันนี้เราจะมาสอบกัน ครูจงใจไม่บอกให้พวกเธอรู้ แบบนี้ครูจะได้รู้ผลสอบที่แท้จริงของพวกเธอทุกคน”
อู่เหมยปวดหัวขึ้นมาทันที ในบรรดาวิชาหลักสี่ห้าวิชา วิชาที่เธอกลัวที่สุดก็คือคณิตศาสตร์ ไม่รู้เหมือนกันว่าคราวนี้จะสอบได้กี่คะแนน
เธอเริ่มทำโจทย์ด้วยความกระสับกระส่าย ทำข้อที่ทำได้ก่อน ส่วนข้อยากๆ เก็บไว้ทำทีหลัง เพียงแต่ว่า…
ดูเหมือนเธอจะรู้สึกว่ามันยากหมดเลย นอกจากพวกเติมคำในช่องว่างแบบที่ต้องท่องจำแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นโจทย์คำนวณทั้งสิ้น อู่เหมยทำโจทย์ที่ทำได้เสร็จแล้ว ซึ่งก็ทำได้น้อยเสียเหลือเกิน จากนั้นเธอกัดปากกาพลางจ้องมองกระดาษข้อสอบ เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือทำตั้งแต่ตรงไหนดี
……………………………………………
ตอนที่ 122 เธอเป็นอัจฉริยะ
อู่เหมยนึกถึงวิธีทำโจทย์ที่เหมยซูหานบอก แล้วเธอก็ถือโอกาสเริ่มนำมาประยุกต์ใช้ เธออ่านโจทย์พลางวาดรูป ซึ่งมันมีส่วนช่วยจริงๆ อู่เหมยทำโจทย์ติดต่อกันหลายข้อ ส่วนคำตอบจะถูกหรือไม่นั้นเธอไม่แน่ใจ แต่เธอมีความมั่นใจขึ้นไม่น้อยทีเดียว หัวสมองก็ดูจะแล่นฉิว ความคิดไหลลื่นอย่างมาก
อู่เหมยทำข้อสอบเสร็จอย่างกระท่อนกระแท่น เธอรู้สึกว้าวุ่นใจ หวังแค่ว่าคราวนี้จะได้คะแนนเยอะขึ้นกว่าเดิมสักเล็กน้อย ถ้าได้หกสิบคะแนนก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
“เหมยเหมยเธอทำครบทุกข้อหรือเปล่า ฉันไม่ได้ทำสองข้อสุดท้าย มีเวลาไม่พอ” เจินหวานหว่านทำหน้านิ่วพลางถาม
อู่เหมยส่ายหัว “ฉันก็ทำไม่ครบ ทำไม่ได้ตั้งหลายข้อ”
ในใจเจินหวานหว่านเกิดมีกำลังใจขึ้นมาทันที แม้ผลการเรียนของเธอสู้คนที่เรียนเก่งไม่ได้ แต่พอจะสู้กับคนที่เรียนแย่ได้สบายๆ ทุกครั้งที่สอบได้ไม่ดี อู่เหมยสามารถทำให้เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นเหนือกว่า ส่งผลให้เธออารมณ์ดีขึ้นมากทีเดียว
เรียนอีกสองคาบก็เลิกเรียนแล้ว อู่เหมยเองก็ขี้เกียจที่จะคิดถึงผลสอบแล้ว อย่างไรเสียถ้าสอบได้หกสิบคะแนนก็นับว่าโชคดีมาก แต่ถ้าไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ อย่างมากก็แค่โดนตี ไม่คงไม่คิดมันแล้ว
เธอสะพายกระเป๋าเป้แล้ววิ่งออกไป สยงมู่มู่นัดเธอไว้แล้วว่าวันนี้จะไปจ่ายค่าเรียนที่หอวัฒนธรรมเยาวชน เธอจะไปสายไม่ได้
“เหมยเหมยจะไปไหน รอก่อน เดี๋ยวเราไปด้วยกัน” อู่เชาตะโกนอยู่ข้างหลัง
“ฉันมีธุระ ไปก่อนนะ!”
อู่เหมยไม่อยากไปด้วยกันกับเขา เรื่องไปเรียนวาดรูปที่หอวัฒนธรรมเป็นความลับของเธอ เธอไม่อยากคุยกับคนในตระกูลอู่เลยสักคนเดียว ทั้งนี้จะได้ไม่เปิดเผยความลับให้อู่เจิ้งซือรู้
ฝ่ายมัธยมต้นเลิกเรียนช้ากว่าฝ่ายประถมห้านาที อู่เหมยวิ่งไปรอสยงมู่มู่ที่โรงจอดรถ เธอไม่มีทางเจอเข้ากับอู่เยวี่ยที่นี่ สยงมู่มู่มาเร็วมาก ไม่ทันไรเขาก็มาถึง คราวนี้อู่เหมยเป็นคนขี่จักรยานเหมือนเคย ทั้งสองคนขี่ไปที่หอวัฒนธรรมโดยไม่สังเกตเห็นเลยว่าเด็กชายตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งแอบตามพวกเขามาอย่างเงียบๆ
“ฉันพาเธอไปสมัครกับอาจารย์เฮ่อเลยแล้วกันนะ”
ไม่นานนักก็มาถึงหอวัฒนธรรม สยงมู่มู่เดินนำอยู่ข้างหน้า ส่วนอู่เหมยเดินตามเขาเข้าไปข้างใน เธอมองดูสภาพแวดล้อมภายในหอวัฒนธรรมด้วยความตื่นตาตื่นใจ
อู่เชาวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ทางเข้าหอวัฒนธรรม แล้วเขาก็เห็นจักรยานคันนั้นของสยงมู่มู่ เขางุนงงมาก อู่เหมยไปสนิทสนมกับสยงมู่มู่ตั้งแต่เมื่อไรกัน
พวกเขามาทำอะไรที่หอวัฒนธรรมนะ
อาจารย์เฮ่อเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าปี เธอกำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ จึงมองไม่เห็นหน้าตาของเธอ แต่บุคลิกและภาพลักษณ์ดูดีเป็นพิเศษ ชุดเดรสสีขาวช่วยขับดุนให้เธอดูสูงสะโอดสะอง เห็นแล้วก็ลืมผู้หญิงธรรมดาๆ คนอื่นไปเลย
“อาจารย์เฮ่อครับ นี่เพื่อนผมอู่เหมย เธออยากเรียนวาดรูปกับอาจารย์ครับ” สยงมู่มู่พูดจาสุภาพเรียบร้อย
อาจารย์เฮ่อเงยหน้าขึ้นมา เธอไม่ได้หน้าตาสะสวยเป็นพิเศษ แต่รูปร่างบุคลิกลักษณะดีมาก อีกทั้งแต่งตัวเก่ง คะแนนด้านหน้าตาจากเจ็ดคะแนนก็เปลี่ยนเป็นสิบคะแนนได้ นี่แหละคืออาจารย์เฮ่อ สรุปคือสวยมาก
อู่เหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าอาจารย์เฮ่อคนนี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตามาก จะต้องเคยเจอที่ไหนมาก่อนแน่นอน
“เธอชื่ออู่เหมยเหรอจ๊ะ เคยเรียนวาดรูปมาก่อนหรือเปล่า” เสียงของอาจารย์เฮ่อก็ไพเราะเหลือเกิน ฟังดูนุ่มนวล ดุจดังอาบสายลมในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน
อู่เหมยส่ายหัว “ไม่เคยเรียนเป็นจริงเป็นจังค่ะ แค่วาดมั่วๆ ตามหนังสือนิดหน่อยค่ะ”
“ช่วยวาดให้ครูดูสักแผ่นได้มั้ย วาดรูปอะไรก็ได้” อาจารย์เฮ่อยื่นดินสอ 2B หนึ่งแท่งกับกระดาษหนึ่งแผ่นให้
อู่เหมยรับดินสอกับกระดาษมา เธอครุ่นคิดแล้วก็ลงมือวาดบนกระดาษ เธอวาดเร็วมาก เพียงไม่นานกระรอกน้อยที่น่ารักตัวหนึ่งก็โลดแล่นบนหน้ากระดาษ อาจารย์เฮ่อมองอู่เหมยด้วยความประหลาดใจ
“ไม่เคยเรียนมาก่อนจริงๆ เหรอจ๊ะ”
“ไม่เคยค่ะ”
อู่เหมยปฏิเสธเสียงหนักแน่น ชาติก่อนเธอเรียนอยู่พักหนึ่งจริงๆ แต่ชาตินี้เธอไม่ได้เรียน เธอก็เลยได้แต่ยืนกรานว่าไม่เคยเรียน
อาจารย์เฮ่อประหลาดใจสุดขีด แล้วเธอก็สวมกอดพลางจุ๊บอู่เหมยหลายที ทำเอาอู่เหมยตกอกตกใจยกใหญ่ อาจารย์เฮ่อร้องเสียงดังด้วยความดีใจ “ต่อไปเธอมาเรียนวาดรูปกับครูนะ เธอเป็นอัจฉริยะ พรสวรรค์ดีๆ แบบนี้จะต้องนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์นะ!”
อู่เหมยกะพริบตาปริบๆ เธอร้อนรนสุดขีด ใบหน้าก็ร้อนผ่าวไปหมด
…………………………………………………