ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 131 ไม่เกี่ยวกับผลการเรียน + 132 มีของขวัญ
บทที่ 131 ไม่เกี่ยวกับผลการเรียน
พออู่เหมยมาถึงบ้าน ที่บ้านเธอก็กินข้าวเย็นเสร็จพอดี เหอปี้อวิ๋นกำลังเก็บโต๊ะอยู่ พอเห็นอู่เหมย เธอก็พูดเสียงเย็นชาว่า “กลับมาได้แล้วเหรอ อาหารบ้านอื่นอร่อยมากเลยงั้นเหรอ”
เมื่อกี้นี้อู่เยวี่ยวิ่งตาแดงเรื่อกลับมา แล้วบอกเธอเรื่องที่ถูกเมินเฉยอย่างเย็นชาใส่ที่บ้านสยงมู่มู่ ไม่ต้องบอกหรอกว่าเหอปี้อวิ๋นปวดใจแค่ไหน เธออดตำหนิบ้านสยงไม่ได้ แต่คนที่เธอโกรธแค้นยิ่งกว่าก็ยังคงเป็นอู่เหมย
ในความคิดเธอสิ่งดีๆ ทั้งหมดควรจะเป็นของอู่เยวี่ย สยงมู่มู่เพื่อนคนนี้ก็เช่นกัน แต่ตอนนี้สยงมู่มู่กลับถูกอู่เหมยแย่งไปแล้ว เหอปี้อวิ๋นรู้สึกสบายใจก็แปลกแล้ว
อย่างไรก็ตามเธอก็หัดฉลาดขึ้นบ้างแล้ว เธอจะไม่ทุบตีด่าทอต่อหน้าอู่เจิ้งซือ แต่จะแค่พูดกระทบกระเทียบนิดๆ หน่อยๆ เพื่อระบายความโมโหเท่านั้น
อู่เหมยมองอู่เยวี่ยแวบหนึ่ง แล้วแอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ใครเห็นใครก็รักจริงๆ หรือ!
คราวนี้เธอเสียเปรียบที่บ้านสยงล่ะสิ!
“คุณลุงสยงกับคุณป้าจ้าวให้หนูอยู่กินข้าวด้วยให้ได้ พวกท่านมีน้ำใจมาก หนูไม่อาจปฏิเสธได้ หนูเลยจำต้องอยู่ต่อค่ะ พ่อคะ คุณป้าจ้าวบอกพ่อเรื่องนี้แล้วใช่มั้ยคะ” อู่เหมยไม่ได้มองเหอปี้อวิ๋น คุยแต่กับอู่เจิ้งซือเท่านั้น
“อืม บอกแล้ว แต่แค่ครั้งนี้ก็พอนะ ต่อไปจะอยู่กินข้าวที่บ้านคนอื่นอีกไม่ได้ แบบนี้คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน” อู่เจิ้งซือพูดเสียงทุ้ม
“เข้าใจแล้วค่ะ ต่อไปพอถึงเวลากินข้าว หนูจะกลับมาบ้านค่ะ”
เดิมทีอู่เหมยไม่คิดที่จะกินข้าวที่บ้านสยงบ่อยๆ อยู่แล้ว แม้ว่าบรรยากาศที่บ้านสยงเป็นสิ่งที่เธอใฝ่ฝัน แต่ถึงที่นี่จะอบอุ่นสุขสบาย อย่างไรเสียก็ไม่ใช่บ้านของตัวเอง อยู่กินบ้างเป็นครั้งคราวยังพอได้ แต่ไปกินบ่อยๆ มันดูไม่ดี
อู่เจิ้งซือยิ้มเล็กน้อย เขารู้สึกพอใจกับการแสดงออกของอู่เหมยมาก แล้วโบกไม้โบกมือบอกให้เธอไปอ่านหนังสือ อู่เหมยครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วหยิบสมุดเรียงความออกมาจากกระเป๋าเป้
“พ่อคะ เรียงความที่หนูเขียนหลังจากไปเฟิ่งหวงซานคราวก่อน คุณครูเอ่ยชมด้วยค่ะ แถมยังเป็นเรียงความตัวอย่างอ่านให้เพื่อนในห้องฟังด้วย”
อู่เจิ้งซือประหลาดใจพลางรับสมุดเรียงความมา ห้าดาวบวก นับเป็นคะแนนที่ดีที่สุดของเรียงความแล้ว แล้วยังมีหลายประโยคที่ใช้ปากกาสีแดงขีดเส้นหยักเอาไว้ พร้อมกับเขียนความเห็นอยู่ด้านท้าย ซึ่งไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากชมว่าเขียนได้ดี และให้อู่เหมยรักษามาตรฐานต่อไป
“ดี ดีมาก ปี้อวิ๋นคุณลองมาดูนี่สิ เรียงความของเหมยเหมยได้ตั้งห้าดาวบวกแน่ะ ไม่เลวทีเดียว!”
อู่เจิ้งซือพูดชมว่าดีไม่หยุด ความดีอกดีใจยากจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ดูออกว่าเขามีความสุขมากจริงๆ เหอปี้อวิ๋นเดินเข้ามาหาและดูแบบผ่านๆ ไม่ได้ดีใจสักเท่าไร
“เรียงความบทเดียวบอกอะไรไม่ได้หรอก ยังไงนักเรียนก็ต้องดูที่คะแนน”
อู่เหมยรู้สึกเศร้าห่อเหี่ยว แล้วมองไปทางเหอปี้อวิ๋น เธอชักสงสัยขึ้นมาแล้ว เมื่อก่อนเธอคิดมาตลอดว่าเหอปี้อวิ๋นไม่ชอบเธอเป็นเพราะเธอเรียนแย่ เหอปี้อวิ๋นรู้สึกขายหน้าถึงได้เกลียดเธอ
แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่ใช่อย่างนั้น เรียงความเธอได้ห้าดาวบวก แต่เหอปี้อวิ๋นดูไม่ดีใจเลยสักนิดเดียว เห็นได้ชัดว่าเหอปี้อวิ๋นไม่ได้สนใจผลการเรียนของเธอเลย
บางทีเหอปี้อวิ๋นอาจจะแค่ใช้เรื่องผลสอบของเธอมาเป็นข้ออ้างในการสั่งสอนเธอ ผู้หญิงคนนี้เกลียดเธอมาจากก้นบึ้งหัวใจเลย!
ไม่ว่าเธอจะผลการเรียนดีหรือว่าผลการเรียนแย่ก็ตาม!
ความเจ็บปวดเอ่อท้นขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ แม้แต่ที่ปลายลิ้นก็รู้สึกขมขื่น อู่เหมยก้มหน้าและหัวเราะเยาะตัวเอง เธอไม่อาจเข้าใจความคิดของเหอปี้อวิ๋นได้เลย ใครๆ ต่างก็พูดว่าไม่มีแม่คนไหนที่ไม่รักลูกของตัวเอง!
แต่ทำไมแม่เธอกลับไม่รักเธอเลย
อู่เจิ้งซือถลึงตาใส่เหอปี้อวิ๋นด้วยความไม่พอใจ เขายิ้มพลางพูดกับอู่เหมยว่า “เทอมนี้การเรียนของเหมยเหมยใช้ได้ทีเดียว พ่อจะให้รางวัลลูก เหมยเหมยลูกอยากได้ของขวัญอะไร”
ช่วงนี้อู่เจิ้งซือได้คิดทบทวนแล้ว วันครูคราวก่อนที่บ้านของพ่อแม่คำพูดของตี๋ชิวเยวี่ยกับจี้เจี้ยนโปได้จุดประกายความคิดเขาเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองมองข้ามละเลยอู่เหมยเกินไปจริงๆ การที่อู่เหมยผลการเรียนแย่แบบนี้ เขาเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ โชคดีที่ตอนนี้ยังแก้ไขได้ทัน!
…………………………………………………
บทที่ 132 มีของขวัญ
อู่เยวี่ยจ้องมองสมุดเรียงความเล่มนั้นด้วยความงงงัน เล็บจิกลงไปที่กลางฝ่ามือ คิดไม่ถึงว่าเจินหวานหว่านเด็กบ้านั่นจะไม่ได้บอกเรื่องที่สำคัญขนาดนี้กับเธอ อู่เหมยเจ้าน้องโง่คนนี้เริ่มฉลาดขึ้นมาแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ
เมื่อก่อนเรียงความเธอคำนำกับสรุปไม่ไปทางเดียวกันเลย เหมือนกับบัญชีรายรับรายจ่ายประจำวัน แต่จู่ๆ คราวนี้กลับได้ห้าดาวบวก?
แถมคุณครูยังอ่านให้นักเรียนในห้องฟังเป็นเรียงความตัวอย่างด้วย?
เป็นไปได้อย่างไรเนี่ย!
ผลงานมีหน้ามีตาแบบนี้เป็นของเธออู่เยวี่ยเท่านั้น อู่เหมยมีสิทธิ์อะไรได้ไป การด่าประจาน วิพากษ์วิจารณ์ หัวเราะเยาะและทุบตีต่างหากถึงจะเป็นชีวิตประจำวันของอู่เหมย ส่วนการชื่นชมและการชมเชยไม่ควรจะเยื้องกรายมาหาอู่เหมยเลยด้วยซ้ำ
อู่เหมยมองอู่เจิ้งซือด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ เดิมทีเธอแค่อยากทำให้อู่เยวี่ยรู้สึกเสียใจ คิดไม่ถึงว่าจะมีข่าวดีเกินคาด!
“หนูขอของขวัญอะไรก็ได้เหรอคะ” อู่เหมยถามเสียงเบา
อู่เจิ้งซือยิ้มพลางพยักหน้า “แน่นอนว่าขอของแพงมากไม่ได้ ต้องขอของขวัญเท่าที่พ่อรับได้”
อู่เหมยยิ้มกว้างและพูดว่า “หนูอยากได้รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่ใหม่ ไม่เอาที่พี่เขาเคยใส่แล้วนะคะ ขอแบบซื้อใหม่ๆ เลย”
อู่เจิ้งซือเหลือบมองรองเท้าผ้าใบที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองของอู่เหมย คิ้วเขาขมวดเล็กน้อย แล้วตอบตกลง “ได้อยู่แล้ว ปี้อวิ๋นเดี๋ยวพรุ่งนี้คุณไปซื้อรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ให้เหมยเหมยด้วยนะ”
เหอปี้อวิ๋นรู้สึกปวดใจ ต้องเสียเงินอีกแล้ว แล้วเมื่อไรเธอจะได้ซื้อโทรทัศน์สีของเธอล่ะ
เจ้าเด็กบ้านี่เป็นผีทวงหนี้ชัดๆ!
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เลิกงานแล้วฉันจะไปซื้อ” ต่อให้ไม่ยอมแค่ไหน แต่เหอปี้อวิ๋นก็จำต้องรับปาก แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยเถียงอู่เจิ้งซือต่อหน้าลูกๆ และคนนอกเลย นี่เป็นหน้าที่ของศรีภรรยาที่ดี
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อคุณแม่ หนูไปทำการบ้านนะคะ!”
อู่เหมยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เธอเดินฮัมเพลงกลับเข้าห้องไป แต่อู่เยวี่ยดีใจไม่ออกแม้แต่นิดเดียว แล้วก็กลับเข้าห้องเช่นกัน ที่ด้านนอกห้องเหอปี้อวิ๋นระบายความไม่พอใจเสียงเบา “ที่รัก หมู่นี้เหมยเหมยใช้เงินเก่งเหลือเกิน ทั้งพัดลม ทั้งโคมไฟตั้งโต๊ะ เงินเดือนคุณทั้งเดือนถูกเธอใช้หมดเลย ต่อไปคุณห้ามยอมเธอไปเสียทุกอย่างนะคะ”
อู่เจิ้งซือชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงเรียบว่า “เงินเดือนที่ผ่านๆ มาของผมใช้หมดแล้วอย่างงั้นเหรอ บ้านเราไม่มีเงินเก็บเลยเหรอไง?”
เหอปี้อวิ๋นรีบพูดว่า “มีเงินเก็บอยู่แล้วค่ะ ฉันเก็บไว้อยู่ค่ะ ฉันก็แค่อยากเก็บเงินไว้ซื้อโทรทัศน์สีนี่นา!”
“โทรทัศน์สีไว้ซื้อปีหน้าก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องประหยัดเงินกับเรื่องของลูกๆ”
แต่ไหนแต่ไรอู่เจิ้งซือไม่ค่อยสนอกสนใจโทรทัศน์สีหรือตู้เย็นพวกนี้ มีหรือไม่มีก็ได้ สำหรับเขาขอแค่ในบ้านมีหนังสือก็พอแล้ว
เหอปี้อวิ๋นมองออกว่าเขาเริ่มหงุดหงิดแล้ว เธอก็เลยไม่กล้าพูดอะไรอีก เธอรู้สึกอึดอัดใจมาก ในโรงเรียนประถมที่เธอทำงานอยู่ เธอนับเป็นคุณครูที่มีฐานะทางครอบครัวดีเลิศ ไม่ว่าจะซื้อพัดลมหรือว่าโทรทัศน์วิทยุ เธอซื้อเป็นคนแรกตลอด แน่นอนว่าเรื่องโทรทัศน์สีเธอเองก็ไม่อยากล้าหลังคนอื่นเช่นกัน
ส่วนสาเหตุที่เหอปี้อวิ๋นอยากจะซื้อโทรทัศน์สีให้ได้ก่อนตรุษจีน ก็เป็นเพราะเธอได้ข่าวว่าเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเตรียมจะเปลี่ยนโทรทัศน์ที่บ้านเป็นโทรทัศน์สีราวๆ ช่วงตรุษจีนนี่แหละ เหอปี้อวิ๋นถึงได้รีบร้อนเลื่อนกำหนดซื้อโทรทัศน์สีให้เร็วขึ้น
แต่คิดไม่ถึงว่าอู่เหมยจะทำเสียแผน ทำให้แผนการเธอล้มเหลวไม่เป็นท่า จุดสนใจนี้กำลังจะถูกคนอื่นแย่งไปอยู่แล้ว เหอปี้อวิ๋นจะไม่โมโหได้อย่างไร!
พอเข้ามาในห้อง อู่เหมยก็หยิบกล่องกระดาษออกมาจากใต้เตียง ไม่ได้เห็นหน้าเจ้าฉิวฉิวมาทั้งวัน เธอคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว แต่ว่า…
ในกล่องกระดาษว่างเปล่า มีแต่เปลือกถั่วลิสงเกลื่อนไปหมด และฉิวฉิวก็หายไป
อู่เหมยใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม ฉิวฉิวไปไหนนะ
เธอวิ่งไปดูที่ขอบหน้าต่าง หวังว่าฉิวฉิวจะแค่ไปฉี่ไปอึ แต่ที่ขอบหน้าต่างก็ไม่มีร่องรอยเช่นกัน แต่มีเปลือกถั่วลิสงสามสี่เม็ด แล้วก็ยังมีก้อนเล็กๆ สีดำอีกสองสามก้อน
อู่เหมยเบาใจขึ้นเล็กน้อย ดูท่าฉิวฉิวจะวิ่งออกไปเอง เดี๋ยวเธอจะลองไปหาที่สนามด้านหลังดู หวังว่าเจ้าฉิวฉิวจะไม่ได้วิ่งกลับขึ้นเขาไปนะ
……………………………………………..
ประกาศจากทีมงาน
เนื่องจากมีข้อผิดพลาดบางประการ จึงทำให้ไม่ได้อัพนิยายเรื่อง ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น ในวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา
จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ และจะทำการลงเพิ่มอีก 2 ตอนในวันนี้ตามปกติ ขอบคุณที่สนับสนุนเรามาโดยตลอดครับ
Ink Stone