ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 133 ขอคำชม + 134 ไร้ปณิธานที่ยิ่งใหญ่
ตอนที่ 133 ขอคำชม
อู่เหมยพยายามสงบจิตสงบใจทำการบ้านให้เสร็จ แล้วรีบร้อนออกไปข้างนอก อู่เยวี่ยตะโกนเรียกเธอ “เธอจะออกไปทำไมอีกน่ะ”
“แล้วพี่เกี่ยวอะไรด้วย”
อู่เหมยตอกกลับไปอย่างเย็นชา แล้วเธอก็วิ่งออกไปโดยไม่แม้แต่จะมอง อีกทั้งตะโกนบอกอู่เจิ้งซือที่อยู่ข้างในว่า “พ่อคะ หนูทำการบ้านเสร็จแล้ว หนูไปวิ่งที่สนามด้านหลังนะคะ”
“อยู่ดีๆ ไปวิ่งทำไม มีเวลาแล้วไม่รู้จักทำงานบ้าน?” เหอปี้อวิ๋นโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ มือเต็มไปด้วยฟอง
“เสื้อผ้าของหนู หนูต้องซักเองตลอด คุณครูบอกว่าต้องออกกำลังกายเป็นประจำถึงจะมีแรงเรียนหนังสือ” อู่เหมยตอบอย่างสงบนิ่ง
อู่เจิ้งซือเดินออกมา “ไปเถอะ วิ่งสักสองรอบแล้วก็กลับบ้าน ระวังด้วยนะ”
“ค่ะ บ๊ายบายค่ะพ่อ!” อู่เหมยโบกไม้โบกมือให้อู่เจิ้งซือ
หลังจากอู่เหมยออกไป อู่เจิ้งซือก็มองเหอปี้อวิ๋นอย่างไม่พอใจ แล้วเดินมือไพล่หลังกลับเข้าห้องไป เหอปี้อวิ๋นขยี้ผ้าด้วยความโมโห รู้สึกสงสารมือตัวเองเหลือเกิน ช่วงนี้งานยุ่งมาก ไม่เพียงงานบ้านจะมากกว่าแต่ก่อนเป็นเท่าตัว มือยังหยาบกร้านขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
“ฉิวฉิว แกอยู่ที่ไหน รีบกลับบ้านกับพี่เร็ว!”
อู่เหมยร้องเรียกเจ้ากระรอกน้อยเสียงเบา เธอเป็นห่วงว่ามันจะเจอเข้ากับแมวจรจัด แล้วก็กลัวว่ามันจะกลับบ้านไปเองแล้ว สีหน้าเธอดูร้อนใจมาก
เหยียนหมิงซุ่นกระโดดลงมาจากบาร์คู่ ในที่สุดเด็กหญิงก็ออกมาตามหาแล้ว เงาสีขาวเงาหนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้ แล้ววิ่งไปทางอู่เหมย เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วกระโจนเข้าไปจับตัวเจ้ากระรอกน้อยกลับมาอย่างเร็วจี๋ปานสายฟ้าแลบ
“กูกู”
ฉิวฉิวดีดดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมแขนเหยียนหมิงซุ่น เหยียนหมิงซุ่นลูบหัวมันเบาๆ “ใจเย็นๆ ฉันจะพาแกไปหาเจ้านายเดี๋ยวนี้แหละ”
ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจที่เหยียนหมิงซุ่นพูด เจ้าตัวน้อยสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็วและแอบอิงอย่างว่านอนสอนง่าย เหยียนหมิงซุ่นยิ้มอย่างพอใจ แล้วกอดเจ้าฉิวฉิวพลางเดินไปหาอู่เหมย
“เธอกำลังตามหาฉิวฉิวอยู่เหรอ”
พอได้ยินเสียงดังจากข้างหลัง อู่เหมยที่ร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาก็หันขวับทันที แล้วเธอก็เห็นเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนของเหยียนหมิงซุ่น เธอส่งเสียงร้องด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ
“ฉิวฉิว แกปลอดภัย ดีจังเลย ดีจริงๆ!”
ฉิวฉิวกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนเธอ อู่เหมยกอดเจ้าตัวน้อยแน่นและจุ๊บอีกหลายฟอด เธอดีอกดีใจสุดๆ เหมือนได้ของที่เสียไปกลับคืนมา
“เจ้าตัวน้อยคงจะหิวแล้วละ เมื่อกี้ฉันป้อนวอลนัทให้มันกินหนึ่งเม็ด ฉันคิดว่าเธอคงจะร้อนใจน่าดู ก็เลยพามันมาหาเธอ” เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงเรียบ
อู่เหมยรู้สึกซาบซึ้ง “ขอบคุณค่ะพี่หมิงซุ่น ฉันนึกว่าเจ้าฉิวฉิวถูกแมวจรจัดกินไปซะแล้ว ฉันร้อนใจแทบแย่”
ฉิวฉิวส่งเสียงร้องไม่พอใจ แมวจรจัดอะไรพวกนี้อ่อนด้อยมาก แม้แต่งูพิษมันยังไม่กลัว แล้วจะกลัวแมวจรจัดได้อย่างไร
อีกอย่างคือไม่นึกเลยว่าผู้ชายคนนี้จะโกหกนายหญิง มันหาลูกสนกินเองชัดๆ มีวอลนัทที่ไหนกัน
เหยียนหมิงซุ่นยิ้ม “ไม่ต้องขอบคุณหรอก แล้วเธอทำการบ้านเสร็จหรือยัง”
อู่เหมยพยักหน้า “ทำเสร็จแล้วค่ะ พี่หมิงซุ่น เรียงความฉันได้ห้าดาวบวกด้วยล่ะ แล้วอาจารย์ยังอ่านให้เพื่อนในห้องฟังเป็นเรียงความตัวอย่างด้วย!”
เหยียนหมิงซุ่นมองดูเด็กหญิงที่ตาเป็นประกายและมีสีหน้าเว้าวอนขอคำชม แล้วเขาก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาพูดชมเปาะ “เยี่ยมยอดมาก เธอเขียนเรียงความอะไรเหรอ”
“เป็นบันทึกการท่องเที่ยวจากที่เราไปปิกนิกกันที่เฟิ่งหวงซานคราวก่อน ฉันเขียนถึงการต่อสู้ระหว่างเจ้าฉิวฉิวกับงูใหญ่ อาจารย์บอกว่าฉันเขียนได้สมจริงมาก คุณพ่อก็ชมฉันเหมือนกัน แล้วก็ให้รางวัลเป็นรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่”
อู่เหมยเหมือนกับสาวน้อยอย่างแท้จริง เธอกระหายอยากจะบอกเรื่องเรียงความของเธอกับทุกๆ คนที่เธออยากบอก เธอคาดหวังว่าจะได้รับการยอมรับเสียเหลือเกิน!
“อาจารย์อู่คงดีใจมากเลยใช่มั้ย”
“อืม คุณพ่อดีใจมาก แต่คุณแม่ไม่ดีใจ พี่สาวก็ไม่ดีใจ แต่ฉันก็ไม่สนใจหรอก” ที่จริงอู่เหมยแอบน้อยใจนิดหน่อย ความน้อยใจพรั่งพรูออกมาต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่นโดยอัตโนมัติ
………………………………………………..
ตอนที่ 134 ไร้ปณิธานที่ยิ่งใหญ่
เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจเหอปี้อวิ๋น นานๆ ทีลูกจะได้คะแนนดี ทำไมไม่เห็นพูดชมเลยสักคำ
“ฉันเองก็ดีใจมาก ต่อไปเธอต้องคว้าห้าดาวบวกได้อีกแน่นอน” เหยียนหมิงซุ่นพูดให้กำลังใจ
อู่เหมยพยักหน้าหงึกหงัก “อืม ฉันจะตั้งใจเรียนค่ะ แล้วก็พยายามสอบให้ได้หกสิบคะแนนทุกวิชา”
เหยียนหมิงซุ่นกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ แค่หกสิบคะแนนเองเหรอ
“ทำไมไม่ตั้งเป้าที่เก้าสิบคะแนนล่ะ”
อู่เหมยทำหน้ายู่ แล้วพูดอย่างน่าสงสารว่า “ฉันสอบไม่ได้เก้าสิบคะแนนอยู่แล้ว หกสิบคะแนนฉันยังไม่มั่นใจเลยค่ะ”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เมื่อก่อนเธอสอบได้กี่คะแนน” เหยียนหมิงซุ่นไม่เข้าใจนิดหน่อย สำหรับเขาแล้วการเรียนหนังสือเป็นเรื่องที่ง่ายมากจริงๆ หากไม่ใช่เพราะเขาทุ่มกำลังให้กับเรื่องอื่นแล้วละก็ คนที่สอบได้ที่หนึ่งอาจไม่ใช่เหมยซูหานก็ได้
“คือฉันรู้ตัวเองดี ยังไงซะฉันก็ทำไม่ได้เก้าสิบคะแนนหรอกค่ะ”
อู่เหมยไม่อยากบอกคะแนนวิชาอื่นของเธอต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่น เธอรู้สึกว่ามันน่าขายหน้ามาก แล้วก็กังวลว่าเหยียนหมิงซุ่นจะดูถูกเธอเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ!
เหยียนหมิงซุ่นมองออกว่าอู่เหมยไม่สบอารมณ์ เขาก็เลยไม่ซักไซ้อะไรอีก เขายิ้มพลางพูดว่า “ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อนก็ได้ พอเป้าหมายเล็กสำเร็จแล้ว เราค่อยพยายามทำเป้าหมายใหญ่ให้ลุล่วง แบบนี้ถึงจะมีแรงผลักดันทุกวัน เหมยเหมย แล้วในอนาคตเธออยากทำอะไร?”
อู่เหมยงงงัน แล้วมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยความสับสน ‘เธออยากทำอะไร?’
คำถามนี้เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ!
หลังจากกลับมาเกิดใหม่ สิ่งเดียวที่เธอคิดก็คือแก้แค้น นอกนั้นเธอไม่เคยคิดถึงเลย
เหยียนหมิงซุ่นพูดต่ออีกว่า “ทุกคนควรจะต้องมีเป้าหมายระยะยาวหนึ่งอย่างกับเป้าหมายระยะสั้นหลายๆ อย่าง เป้าหมายระยะสั้นเป็นการสร้างรากฐานให้กับเป้าหมายระยะยาว เราค่อยๆ ทำเป้าหมายระยะสั้นให้สำเร็จไปทีละอย่าง ทีนี้เป้าหมายระยะยาวก็จะเป็นจริงขึ้นมา ชีวิตถึงจะสมบูรณ์”
“เป้าหมายระยะยาว? แต่ฉันไม่ได้คิดเรื่องที่ไกลเกินไป ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง” อู่เหมยเศร้าซึมเล็กน้อย
เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ตอนนี้เธอยังเด็ก ลองคิดเป้าหมายระยะสั้นก่อนก็ได้ ตอนนี้เธออยากทำอะไรมากที่สุดล่ะ”
“ฉันอยากสอบได้หกสิบคะแนนทุกวิชาค่ะ” อู่เหมยพูดโพล่งออกมา
มุมปากเหยียนหมิงซุ่นกระตุกเล็กน้อย เจ้าเด็กคนนี้หลอกง่ายเสียจริงๆ เขาถามอย่างจนใจ “ถ้าสอบได้หกสิบคะแนนแล้ว เธออยากทำอะไรอีก อยากจะสอบได้ที่หนึ่งบ้างหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ฉันทำไม่ได้แน่นอน” อู่เหมยส่ายหัวแรง เรื่องไหนที่เธอรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางทำได้ เธอก็จะไม่เปลืองแรงทำหรอก
เป็นครั้งแรกที่เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ไว้เดี๋ยวจะลองถามหมิงต๋าดูว่าตกลงเจ้าเด็กคนนี้ผลการเรียนแย่ขนาดไหนกัน
อู่เหมยแอบชำเลืองมองเหยียนหมิงซุ่นแวบหนึ่ง เธอรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย กลัวเหยียนหมิงซุ่นจะคิดว่าเธอไร้ปณิธานที่ยิ่งใหญ่ แต่เรื่องสอบได้ที่หนึ่งเธอทำไม่ได้จริงๆ เธอไม่มีพรสวรรค์ด้านเรียนหนังสือเลยสักนิด
“พี่หมิงซุ่นคะ วันนี้ฉันไปสมัครเรียนวาดรูปเรียบร้อยแล้วค่ะ อาจารย์เฮ่อบอกว่าฉันวาดเก่งมาก แถมยังพูดชมฉันด้วย” อู่เหมยพูดเสียงเบา
เหยียนหมิงซุ่นนึกถึงรูปเจ้าฉิวฉิวที่อู่เหมยวาดบนภูเขาเฟิ่งหวงซานคราวก่อน เธอวาดได้ไม่เลวจริงๆ เขาอดยิ้มไม่ได้ “เยี่ยมมาก พอเรียนวาดรูปจบแล้ว ต่อไปก็จะมีอนาคตที่สดใสได้ ไม่แน่ว่าในอนาคตเธออาจจะเป็นจิตรกรก็ได้นะ!”
“สยงมู่มู่ก็พูดแบบนี้เหมือนกันค่ะ เขาบอกว่าต่อไปฉันสามารถเดินบนเส้นทางอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องปวดหัวกับเรื่องเรียน”
พอได้ยินชื่อของสยงมู่มู่ เหยียนหมิงซุ่นก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวและถามว่า “เหมยเหมยสนิทกับสยงมู่มู่เหรอ”
“เปล่าค่ะ เราเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน”
อู่เหมยเล่าเรื่องที่เธอกับสยงมู่มู่รู้จักกันได้อย่างไร แล้วบอกอีกว่า “คุณลุงสยงกับคุณป้าจ้าวพวกท่านใจดีมาก ฉันชอบพวกท่านค่ะ”
แน่นอนว่าเหยียนหมิงซุ่นรู้จักพ่อแม่ของสยงมู่มู่ พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ใครๆ ต่างพากันอิจฉา แม้ตระกูลสยงจะมีชื่อเสียงมากในวงการดนตรี แต่ก็ไม่อาจเทียบกับตระกูลจ้าวได้
………………………………………………