ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 147 การหมุนเวียนสับเปลี่ยนฮวงจุ้ย + 148 เป็นฉิวฉิวไม่ง่ายเลย
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 147 การหมุนเวียนสับเปลี่ยนฮวงจุ้ย + 148 เป็นฉิวฉิวไม่ง่ายเลย
บทที่ 147 การหมุนเวียนสับเปลี่ยนฮวงจุ้ย
พอถูกอู่เจิ้งซือตักเตือนไปหนึ่งครั้ง อู่เยวี่ยจึงได้สติและเริ่มใจเย็นลง เอาแต่หลบอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนต้องไม่ดีแน่ เธอเป็นถึงหญิงสาวที่คนทั้งโลกพึงพอใจ ทำไมถึงได้ขังตัวเองอยู่ในบ้านได้?
กลิ่นเหม็นที่มีอยู่บนตัวจะต้องหาทางรักษาให้หาย นี่เป็นเรื่องที่รอต่อไปอีกไม่ได้ คุณหนูแห่งตระกูลอู่ต้องเป็นอู่เยวี่ยเท่านั้น เธอจะไม่ยอมและไม่อาจเป็นคนอื่นไปได้ โดยเฉพาะอู่เหมย
หึ! แค่สอบได้หกสิบแปดคะแนนคิดจะเอาชนะเธอได้หรือ?
ฝันไปเถอะ!
หลังจากที่อู่เยวี่ยสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จ เธอปรับอารมณ์ของตัวเอง และเปิดประตูออกมาจากห้อง พูดด้วยความอ่อนน้อม “พ่อคะ เราไปโรงพยาบาลกันเถอะ”
เหอปี้อวิ๋นคือคนที่ดีใจที่สุด “ไปโรงพยาบาลตอนนี้เลย เดี๋ยวแม่ฉีดน้ำหอมให้อีกหน่อยนะ!”
“ค่ะ!” อู่เยวี่ยตอบอย่างเชื่อฟัง
แม้ว่าอู่เหมยจะทำใจมาพอสมควร แต่ก็คาดไม่ถึงว่ากลิ่นจะเหม็นตลบอบอวลได้ถึงขนาดนี้ เธอจึงใช้มือบีบจมูกแล้ววิ่งไปยังปากประตูอย่างรวดเร็ว
“เหม็นมาก ทำไมในบ้านถึงได้มีกลิ่นเหม็นขนาดนี้? หรือว่าจะมีหนูตายอยู่ในบ้านคะ?” อู่เหมยตั้งใจตะโกนเสียงดัง
อู่เยวี่ยที่ถูกกระตุ้นด้วยคำพูดให้เจ็บปวดอีกครั้ง ขอบตาเธอเริ่มร้อนผ่าวและแดงก่ำ มองไปยังเหอปี้อวิ๋นด้วยสายตาพร่ามัวน้ำตาคลอ
เหอปี้อวิ๋นเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก และได้ตะโกนด่า “ร้องโวยวายอะไรนักหนา? มีที่ไหนกลิ่นเหม็น?”
“ก็มันเหม็นมากจริงๆ พ่อคะ พ่อก็ได้กลิ่นใช่ไหม? ไม่สิ พ่อไม่สบายจมูกน่าจะไม่รับรู้กลิ่น หนูไปเรียกอาจารย์แม่จางมาดมพิสูจน์ดีกว่า” อู่เหมยพูดไปพร้อมกับมือดึงประตูจะเปิด
เหอปี้อวิ๋นร้องตะโกนอย่างตกใจ “แกจะเปิดประตูทำไม? รีบกลับห้องไปทำการบ้านซะ!”
อู่เหมยเพียงแค่ทำท่าจะเปิดประตูเพื่อหลอกให้อู่เยวี่ยตกใจเล่นก็เท่านั้น อู่เจิ้งซือรักในหน้าตาเป็นที่สุด หากเธอไปเรียกอาจารย์แม่จางมาจริงๆ มีหวังได้ถูกอู่เจิ้งซือทำโทษแน่ๆ
จังหวะที่วิ่งผ่านหน้าอู่เยวี่ยไป กลิ่นนั้นยิ่งแรงมากกว่าเดิม แต่กลิ่นเหม็นๆ ที่ผสมไปกับกลิ่นของน้ำหอม ยิ่งทำให้กลิ่นแปลกกว่าเดิมมากขึ้น พอได้กลิ่นยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียน
อู่เหมยปิดจมูกแน่นขึ้น ตะโกนด้วยความอึดอัด “หนูหาที่มาของกลิ่นเหม็นๆ นี่เจอแล้ว พ่อคะ มันคือกลิ่นบนตัวของพี่ พี่มีกลิ่นเต่า”
อู่เยวี่ยเหมือนดั่งถูกฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะ บทสรุปที่เธอไม่อยากยอมรับที่สุดคือกลิ่นเต่า เธออยากเป็นเจ้าหญิงที่มีแต่กลิ่นหอมโชย ไม่ได้อยากเป็นเจ้าหญิงที่มีกลิ่นเต่า ต้องเป็นความตั้งใจของอู่เหมยแน่ๆ เพียงเพราะอยากเห็นเธอเป็นตัวตลก ยัยชั่วนี่!
“ฉันไม่ได้มีกลิ่นเต่า อู่เหมยเธออย่ามาพูดอะไรมั่วๆ นะ” อู่เยวี่ยตะโกนออกไปอย่างเหลืออด
“หนูไม่ได้อยากทะเลาะกับพี่ หนูเข้าห้องก่อนนะ ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ กลิ่นเต่าบนตัวพี่รุนแรงจริงๆ แล้วต่อไปหนูจะนอนได้ยังไง!”
อู่เหมยใช้ดาบแทงไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ก่อนเป็นอู่เยวี่ยไม่ใช่เหรอที่เอาแต่บอกว่าเธออัปลักษณ์?
เวลาที่มีคนเรียกเธออัปลักษณ์ คงมีแต่อู่เยวี่ยที่รู้สึกพึงพอใจ บัดนี้ ฮวงจุ้ยได้หมุนเวียนสับเปลี่ยนแล้ว เธอจะไม่ใช่หญิงสาวอัปลักษณ์อีกต่อไป อู่เยวี่ยต่างหากล่ะที่จะกลายเป็นหญิงสาวกลิ่นตัวเหม็น ฮ่าๆๆ สวรรค์ได้เปิดทางแล้ว!
อู่เหมยพึงพอใจต่อเหตุการณ์และมองอู่เยวี่ยที่หน้าซีดเผือด เธอผลักประตูเข้าไปในห้องเพราะทนกลิ่นเหม็นด้านนอกไม่ไหวจริงๆ แม้จะอยากหัวเราะเยาะอู่เยวี่ยให้มากกว่านี้ก็ตาม แต่เกรงว่าตัวเธอเองจะเป็นลมไปเสียก่อน
พอปิดประตูลง อู่เหมยกลับรู้สึกสบายใจขึ้น มองเห็นเงาลางๆ ที่ใกล้เข้ามา และได้ปีนขึ้นมายังไหล่ของเธอ หางใหญ่ๆคอยปัดไป่อยู่ตรงหน้าของเธอ ทำให้เกิดความรู้สึกจั๊กจี้ อู่เหมยจึงได้หลุดหัวเราะออกมา
“ฉิวฉิวอย่าส่งเสียงล่ะ เดี๋ยวพ่อได้ยินเอานะ”
อู่เหมยอุ้มฉิวฉิวเข้าไปในห้อง จับตัวและป้อนเม็ดแตงโตให้มัน เจ้าตัวเล็กคงออกไปหาอาหารข้างนอกมาแน่เลย อยู่ในบ้านก็ไม่ค่อยจะได้กินอะไร มีแค่บางครั้งที่จะได้กิน
“ฉิวฉิว วันนี้พี่มีความสุขมาก…”
อู่เหมยดีใจมากและยังพูดเรื่องต่างๆให้เจ้ากระรอกน้อยฟัง การสอบคณิตศาสตร์ที่พัฒนาขึ้น และยังมีเรื่องกลิ่นเต่าของอู่เยวี่ย อู่เหมยยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอารมณ์ดี เธอกอดและลูบหลังฉิวฉิวไปพลางๆ
“ฉิวฉิว แกคือสัตว์นำโชคของฉันเลยนะ ฉันรักแกที่สุดเลย!”
อู่เหมยทั้งกอดทั้งหอมตัวฉิวฉิวไปไม่รู้กี่ครั้ง ขนของมันทั้งนุ่มทั้งปุกปุย ฉิวฉิวทำตาปริบๆ มองเธอด้วยความพอใจ ให้ระดับคุณชายฉิวฉิวออกโรง เรื่องแค่นี้จะไม่สำเร็จได้อย่างไร!
…………………………………………………………………………………………..
บทที่ 148 เป็นฉิวฉิวไม่ง่ายเลย
“ฉิวฉิว แกคิดว่าทำไมอู่เหมยถึงมีกลิ่นเต่าได้เหรอ? เพราะชาติที่แล้วเธอไม่มี ฉันไม่เข้าใจจริงๆ”
อู่เหมยบอกความจริงกับเจ้ากระรอกน้อย เรื่องการฟื้นคืนชีพเธอจะบอกใครไม่ได้ทั้งนั้น ทำได้แค่พูดต่อหน้าของสัตว์เลี้ยงอย่างมันก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นเธอคงได้อึดอัดตาย
ฉิวฉิวมองตาปริบๆ ฟื้นคืนชีพ?
มิน่าล่ะมันถึงได้เจอกับเจ้าของ ที่แท้เจ้าของของมันก็ไม่ธรรมดา!
คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางฟื้นคืนชีพได้แน่ มีแต่ต้องกลับชาติมาเกิดใหม่!
“ต๊อก ต๊อก”
ฉิวฉิวเปล่งเสียงร้องพร้อมพุ่งตัวเข้าไปหาอู่เหมย สองขาหน้าของมันไม่หยุดที่จะกวาดไปในอากาศ เห็นแบบนั้นแล้วช่างน่าตลก อู่เหมยจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ฉิวฉิวทำอะไร หรือว่าปวดฉี่เหรอ?”
อู่เหมยอุ่มฉิวฉิวไปวางนอกหน้าต่าง ปล่อยให้มันไปทำธุระของตัวเอง แต่ฉิวฉิวกลับส่ายหัวไปมา ตอนตื่นนอนในช่วงเช้าของทุกวันมันจะขับปัสสาวะออกไป แต่ช่วงเวลานั้นของวันนี้กลับยกมันให้กับอู่เยวี่ยไปแล้ว
“หรือว่าปวดหนักเหรอ? โถ่ เจ้าขนฟูแกรีบไปทำธุระให้เรียบร้อยสิ ถ้าเสร็จแล้วค่อยกลับมา!” อู่เหมยอมยิ้มและปล่อยเจ้าตัวเล็กออกไปด้านนอก
ฉิวฉิวใช้ขาหน้าข้างหนึ่งตีลงบนมือของอู่เหม่ย มันซ่อนขาข้างที่แหลมคมเอาไว้ ส่วนที่ตีโดนมือของอู่เหมยเป็นแค่ก้อนเนื้อที่ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่ม ไม่มีความรู้สึกเจ็บแต่อย่างใด
อู่เหมยเริ่มไม่เข้าใจการกระทำจึงได้เอียงคอเพื่อประเมินดูการกระทำของเจ้าตัวเล็ก ฉิวฉิวส่ายหางไปมาด้วยความปวดหัว พลางนึกว่าเจ้านายตัวน้อยของมันต้องสมองกระทบกระเทือนเป็นแน่!
มันนึกบางอย่างขึ้นได้จึงวิ่งไปยังหมอนของอู่เยวี่ย แล้วยกขาหลังขึ้นหนึ่งข้าง ทำท่าทางประกอบเหมือนกับสุนัขที่กำลังฉี่อยู่ จากนั้นก็เทียบขนาดของหัวมันเอง พร้อมยกขาหน้าขึ้นมาปิดหน้า อู่เหมยมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยความงุนงงและตกตะลึง
แต่เธอก็พอเข้าใจกับสิ่งที่เห็น ฉิวฉิวแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ หากเธอยังไม่เข้าใจที่มันทำอีก เธอคงเป็นพวกโง่เขลาที่รักษาไม่หายแล้วล่ะ
อู่เหมยถามออกไปเสียงเบา “ฉิวฉิวแกได้ฉี่ราดใส่หัวของอู่เยวี่ยไหม?”
ฉิวฉิวรู้สึกโล่งใจไปขึ้นมา เพราะในที่สุดเธอก็เข้าใจเสียที มันจึงผงกศีรษะเล็กๆ ของมันตอบด้วยความดีใจ อู่เหมยคิดไปคิดมา ทำให้นึกได้ถึงกลิ่นเหม็นที่ปรากฏบนตัวของอู่เยวี่ย
แท้จริงแล้ว…
“ฉิวฉิว กลิ่นเหม็นบนตัวของอู่เยวี่ยเป็นแกเหรอที่ทำ?”
“ต๊อก ต๊อก”
ฉิวฉิวผงกศีรษะเล็กๆ ของมันอีกครั้ง
ไม่ได้เป็นเพราะเธอขอร้องมันเหรอ กลิ่นหอมพิเศษของเหล่าธัญพืชนี้นอกจากตัวมันแล้ว จะมีใครอีกล่ะ
อู่เหมยรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก นึกไม่ถึงเลยว่ากลิ่นเหม็นที่จะทำให้อู่เยวี่ยจะเป็นจะตายให้ได้ มันคือผลงานชิ้นเอกของฉิวฉิว เธออุ้มฉิวฉิวไว้ด้วยความดีใจ ทั้งกอดทั้งหอมมัน “เจ้าตัวเล็ก ทำไมแกถึงได้เก่งขนาดนี้ ฉันรักแกที่สุดเลย”
“ต๊อก ต๊อก”
มันร้องต๊อกๆ แล้วค่อยๆ ปีนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของอู่เหมย มองยังไงก็ไม่เหมือนพวกงูพิษที่กำลังจะฉกกัดเหยื่อ แต่กลับเหมือนเจ้าหัวผักกาดขาวมากกว่า เจ้านายช่วยชีวิตมันไว้ครั้งหนึ่ง แน่นอนว่ามันจะต้องช่วยเจ้านายสั่งสอนยัยคนน่ารังเกียจนั่น
ภายนอกประตูมีเหอปี้อวิ๋นที่กำลังเกลี้ยกล่อมให้อู่เยวี่ยยอมไปโรงพยาบาล เธอพูดไปจนเสียงแหบแห้ง กลับกันที่อู่เหมยรู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก และถามออกไปเสียงเบา “ฉิวฉิว กลิ่นฉี่ของแกจะเหม็นถึงกี่วันเหรอ? หรือพอถึงพรุ่งนี้ก็ไม่มีกลิ่นแล้ว?”
พอถามจบอู่เหมยจึงได้หัวเราะออกมา เธอนี่โง่จริงๆ เลย ฉิวฉิวเป็นแค่กระรอกตัวหนึ่ง ต่อให้ฉลาดแค่ไหน ก็เป็นแค่สัตว์เลี้ยง จะมาตอบคำถามเธอได้ยังไงกัน!
แต่นึกไม่ถึง ฉิวฉิววิ่งขึ้นไปบนหมอน และทำท่าเหมือนกับสุนัขที่กำลังจะฉี่อีกครั้ง ครั้งนี้อู่เหมยเข้าใจในทันที แค่รอว่าถ้ากลิ่นเหม็นหายไปแล้ว ค่อยเพิ่มกลิ่นหอมพิเศษของเหล่าธัญพืชให้ใหม่ เธอดีใจจนต้องพูดออกมาว่า
“ฉิวฉิว แกนี่ฉลาดจริงๆ”
อู่เหมยคิดเพียงแค่ว่านับแต่นี้ต่อไป อู่เยวี่ยผู้สูงส่งจะต้องพกกลิ่นเหม็นสุดแสนจะรันทดนี้ไปเรียนด้วยทุกวัน ในใจเธอก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกสบายใจยิ่งกว่าได้กินน้ำลูกบ๊วยเปรี้ยวเสียอีก
แต่พอตั้งใจหันกลับไปมองฉิวฉิวที่กระเทาะเมล็ดแตงโมอยู่ อู่เหมยกลับนึกขึ้นได้ว่าการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงตัวนี้ของเธอ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่าย!
…………………………………………………………………………………………..