ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 149 หาเงินยังไง + 150 ตีหน้าซื่อ
ตอนที่ 149 หาเงินยังไง
ฉิวฉิวไม่เพียงแต่เป็นกระรอกที่ดุร้ายกว่ากระรอกตัวอื่น แต่ยังสามารถฟังภาษาคนได้ ก่อนหน้าที่ถามไปฉิวฉิวตอบได้หมดทุกคำถาม ถ้าเป็นกระรอกทั่วไปจะฉลาดแบบนี้หรือ?
แน่นอนว่าไม่
“ฉิวฉิว แกใช่เทวดาตัวน้อยที่สวรรค์ส่งลงมารึเปล่า?” อู่เหมยถาม
ฉิวฉิวหยุดแทะเมล็ดแตงโมและเอียงคอนึกไปด้วย มันพยักหน้าและมองไปทางอู่เหมย ต่อให้เป็นเทวดาตัวน้อยจริง อย่างน้อยก็มาจากสวรรค์นี่นา!
อู่เหมยรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เธอแค่ถามไปเรื่อยเปื่อย นึกไม่ถึงว่าฉิวฉิวจะไม่ใช่แค่กระรอกธรรมดา แท้จริงเขาคือเทพเซียนองค์ใดองค์หนึ่งที่ลงมายังโลกมนุษย์?
“ฉิวฉิว แกเป็นเทพบนสวรรค์องค์ไหนเหรอ? ฉันขอคิดก่อนว่ามีเทพองค์ไหนที่เดิมทีมีรูปร่างเป็นกระรอกกัน ใช่แล้ว อวี้สู่จิงที่เป็นธิดาบุตรของเทพเจ้าทัวถ่า ฉิวฉิวแกคงไม่ใช่อวี้สู่จิงใช่ไหม? ขอฉันดูหน่อยว่าแกเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย”
อู่เหมยจับขาหลังของฉิวฉิวแยกออกจากกันและมองด้วยความสนใจใคร่รู้ ทำให้เธอเห็นขนอ่อนปุกปุยบนหนังท้อง แต่ต่อให้สิ่งนั้นจะเล็กแค่ไหน อู่เหมยมองแค่แวบเดียวก็รู้ได้และถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
“ฉิวฉิวแกเป็นตัวผู้ แกไม่ใช่อวี้สู่จิง ถ้างั้นแกเป็นเทพเซียนทางด้านไหน?”
อู่เหมยเอามือรองแก้มไว้แล้วคิดอย่างหนัก หัวสมองที่มีขีดจำกัดแบบนี้คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ฉิวฉิวที่ถูกมองจนไม่เหลืออะไรจึงขดตัวกลิ้งไปหาอู่เหมยและเปล่งเสียงร้องต๊อกต๊อกออกมาด้วยความโมโหปนเขินอาย
“ฮ่าๆๆ ฉิวฉิวแกอย่าโกรธไปเลย ฉันขอดูแค่นิดเดียวเอง ถึงอย่างไรทุกวันนี้แกอยู่ข้างนอกก็ตัวเปลือยเปล่าอยู่ดี ดูแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก!”
อู่เหมยลูบขนของเจ้ากระรอกน้อยอย่างเบามือ และยังแกะเมล็ดแตงโมให้มันด้วย ฉิวฉิวทนต่อสิ่งยั่วยุอย่างเมล็ดแตงโมไม่ไหว จึงกัดกินไม่หยุด เจ้าตัวน้อยแทะเมล็ดแตงโมได้เร็วมาก แค่ใช้ฟันซี่บนและซี่ล่างกัด เปลือกก็ถูกเปิดออกให้เห็นเมล็ดข้างใน แทะได้ไม่นานก็หมดไปเป็นกำมือ
อู่เหมยรู้สึกว่าตัวเองดูแลฉิวฉิวได้ไม่ดีพอ ฉิวฉิวทำเพื่อเธอมามากขนาดนี้ แต่แค่อาหารดีๆ เธอเองยังให้มันไม่ได้เลย ทุกวันนี้ให้ฉิวฉิวกินแต่เมล็ดแตงโม ทำให้สัตว์เทวะน้อยฉิวฉิวต้องลำบากจริงๆ
“ฉิวฉิว รอพี่หาเงินได้ก่อนนะ พี่จะซื้อของดีๆ ให้แกกิน ทั้งเมล็ดสน ถั่วเฮเซลนัต ถั่ววอลนัตพวกนี้ แกต้องชอบกินแน่ๆ”
อู่เหมยไม่เพียงแค่คิดว่าจะต้องพัฒนาด้านการเรียน เรื่องหาเงินก็เป็นสิ่งที่เธอต้องทำด้วย ไม่ใช่แค่การเลี้ยงฉิวฉิว แต่ยังมีเรียนวาดรูปที่ต้องใช้เงิน แค่เงินเพียงสองหยวนต่อสัปดาห์ จะพอใช้จ่ายอะไร
อีกทั้งเมื่อชาติก่อนเธอใช้ชีวิตโดยฟุ่มเฟือย ใช้เงินมือเติบ ไม่มีเงินติดมือกลับรู้สึกไม่ชิน จะซื้ออะไรต้องคิดแล้วคิดอีก
ส่วนเหอปี้อวิ๋นอย่าได้หวังว่าจะได้เงินจากเธอมา
เธอคงต้องคิดวิธีหาเงินเอง แต่ตอนนี้เธอเพิ่งจะอายุสิบสองปี และไม่มีทักษะหรือความถนัดอะไรเลย แล้วเธอจะทำอะไรได้?
เฮ้อ…
อู่เหมยถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกว่าการหาเงินจะเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่าการสอบให้ได้หกสิบแปดคะแนนอีกนะ!
พอได้ยินคำว่าเมล็ดสน ถั่ววอลนัตพวกนี้ ดวงตาดำๆ ของฉิวฉิวกลับเปล่งประกายไปหมด เมล็ดสนของที่นี่รสชาติไม่ค่อยดี สู้ฝั่งทางเหนือไม่ได้มีเนื้อแน่นมาก อีกอย่างบนภูเขาก็ไม่มีต้นวอลนัตแม้แต่ต้นเดียว ทำให้มันไม่ได้กินถั่ววอลนัตมาเป็นเวลานาน รู้สึกคิดถึงที่สุด!
เพียงแค่ทำให้เจ้านายมีเงิน ก็สามารถซื้อของดีๆ ให้มันกินได้แล้ว ฮ่าๆๆ ทำไมมันถึงได้โง่ขนาดนี้!
แต่น่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่ภาคเหนือ ไม่อย่างนั้นมันจะลากเจ้านายไปขุดหาโสมป่า อย่างน้อยแค่หนึ่งรากก็ขายได้เงินเป็นจำนวนไม่น้อย ก่อนหน้านั้นมันเคยเห็นพวกชาวบ้านขุดได้โสมรากเล็กๆ แห้งๆ แต่ก็ดีใจกันไปยกใหญ่ เอาแต่ตะโกนว่าจะรวยแล้ว!
แต่…ที่นี่คือภาคใต้ โสมดีๆ ต้องหาไม่ได้แน่นอน คงต้องหาวิธีอื่นแทน ฉิวฉิวเอาแต่คิดเรื่องเมล็ดแตงโม ใช้สมองคิดอย่างหนักถึงวิธีที่จะทำให้มันได้กินของดีๆ
เพียงแต่… มันเป็นเพียงแค่กระรอกตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ต่อให้วิเศษแค่ไหนก็คิดไม่ออกว่าจะใช้วิธีไหนในการหาเงิน
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 150 ตีหน้าซื่อ
อู่เหมยคิดแล้วคิดอีก จนทำให้เธอไม่อยากคิดต่อ ถ้าเปรียบกับเรือที่เข้าจอดเทียบท่า หัวเรือก็มักจะจอดเทียบแนวระนาบได้โดยธรรมชาติ ต่อให้คิดจนสุดความสามารถแต่ก็ยังคิดไม่ออก ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักครั้งที่คิดได้สักวิธี!
“หิวจังเลย สงสัยต้องต้มบะหมี่เองแล้วล่ะ”
พอท้องเริ่มร้องขึ้นมา อู่เหมยจึงเตรียมตัวไปต้มบะหมี่กิน เธอไม่หวังจะไปพึ่งเหอปี้อวิ๋นหรอก เพราะตอนนี้ใจของเธอคงจะอยู่ที่ลูกสาวคนโตสุดที่รัก คงไม่มาสนใจว่าเธอจะหิวไหม
“พ่อคะ หนูหิวแล้ว” อู่เหมยเปิดประตูออกมาพร้อมตะโกนบอก
อู่เจิ้งซือหรือที่จะอยากอาหาร ตั้งแต่เช้าเขาได้แต่สำลักกลิ่นเหม็นของอู่เยวี่ย อีกอย่างอู่เยวี่ยเอาแต่ร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่ในห้อง เขาจะมีอารมณ์ไปนึกเรื่องกินข้าวได้อย่างไร
“กิน กินๆๆๆ วันดีคืนดีก็นึกได้แต่เรื่องกิน พี่สาวแกป็นถึงขนาดนี้แล้ว ยังมีกะจิตกะใจจะกินข้าวอีกเหรอ!” เหอปี้อวิ๋นที่ยังโมโหอยู่ จึงพาลเอาอารมณ์โกรธทั้งหมดไปลงที่อู่เหมยแทน
อู่เหมยย้อนถาม “พี่สาวมีกลิ่นเต่า แค่ข้าวก็จะไม่ให้หนูกินเลยเหรอ? พี่เขาคิดไม่ได้เองแล้วมันเกี่ยวอะไรกับหนู? แต่หนูว่านะสภาพจิตใจของพี่ไม่แข็งแรงเอาซะเลย กลิ่นเต่าแค่นี้ก็รับไม่ได้ แต่ก่อนหนูเคยถูกคนอื่นหัวเราะเยาะและมองว่าอัปลักษณ์ ยังไม่เห็นจะเป็นจะตายแบบที่พี่เป็นอยู่ตอนนี้เลย”
เหอปี้อวิ๋นโกรธจนหางคิ้วกระตุกและหลุดปากด่า “แกกล้าเอาตัวเองไปเทียบกับพี่สาวเหรอ? หนังหน้าของแกนี่ทำด้วยอะไร ขนาดมีดคมๆ ยังแทงไม่เข้าเลย วันๆ สอบได้ที่โหล่แต่ยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่สาวของแกรักในเกียรติและศักดิ์ศรี หนังหน้าก็บาง จะเทียบกับคนหนังหน้าหนาๆ แบบแกได้เหรอ?”
“ไม่ว่าแม่จะนั่งหรือจะนอนมอง ยังไงหนูก็ดูขัดตาแม่ไปหมด เพราะฉะนั้นต่อไปแม่ก็ไม่ต้องมองหนู ลูกสุดรักสุดหวงของแม่ก็คือพี่ ไม่ใช่หนู ท้องหนูหิวแล้วเป็นธรรมดาที่จะต้องกินข้าว ไม่คุ้มหรอกที่ให้อยู่เป็นเพื่อนพี่แล้วต้องหิวแบบนี้”
อู่เหมยเบื่อที่จะตีหน้าซื่อต่อหน้าเหอปี้อวิ๋นแล้ว ต่อให้เสแสร้งแค่ไหนเหอปี้อวิ๋นก็เป็นแบบนี้อยู่เสมอ สู้ทำตัวตรงไปตรงมาไม่ดีกว่าหรือ
อู่เจิ้งซือตำหนิ “เหมยเหมย ทำไมถึงพูดแบบนี้กับแม่?”
“พ่อคะ หนูก็อยากจะพูดดีๆ กับแม่นะ แต่ทุกครั้งถ้าแม่ไม่ด่าแม่ก็จะตีหนู ถ้าพูดถึงแต่ก่อนหนูถูกคนหัวเราะเยาะตลอด ก็ไม่เคยเห็นว่าแม่จะเสียใจมาก่อนเลย”
อู่เหมยพูดจบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เธอเดินไปหยิบเส้นหมี่ในตู้เองโดยไม่บอกกล่าวอะไร และยังหยิบไข่ไก่อีกสองฟองเพื่อวิ่งออกไปเพื่อต้มกิน
เหอปี้อวิ๋นเห็นการกระทำของอู่เหมยที่ทำเป็นไม่สนใจเธออารมณ์โกรธจึงปะทุขึ้นมา “คุณอู่ คุณดูยัยเด็กนี่สิ ฉันพูดอะไรไปเธอเถียงคำไม่ตกฟาก ไม่มีแม้แต่ความเคารพ ไม่เห็นหัวกันเลยหรือไง”
อู่เจิ้งซือเริ่มรู้สึกปวดขมับขึ้นมา ท้องก็เริ่มร้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาเริ่มไม่พอใจต่อเหอปี้อวิ๋นที่ไม่ทำมื้อกลางวัน แต่เรื่องของอู่เหมยในตอนนี้เขากลับพึงพอใจอยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่าใจเขาเริ่มเอนเอียงไปทางอู่เหมย
“แต่คุณก็ควรจะทำตัวให้เหมือนกับที่คนเป็นแม่ทำหน่อย ดูที่คุณทำกับเยวี่ยเยวี่ยและเหมยเหมยสิ ดั่งสวรรค์กับนรก คุณเองที่เป็นคนคลอดทั้งคู่ออกมา… ลูกสาวทั้งสองคน คุณลำเอียงขนาดนี้ ไม่แปลกที่เหมยเหมยจะแข็งข้อกับคุณได้”
อู่เจิ้งซือหยุดชะงักไปชั่วขณะ มีสีหน้าที่แปลกไป แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น แต่เหอปี้อวิ๋นกลับนึกไม่ถึง ตอนแรกตั้งใจจะให้อู่เจิ้งซือสั่งสอนยัยเด็กนั่น แต่กลับเป็นตัวเธอเองที่ถูกอู่เจิ้งซือต่อว่า
อู่เจิ้งซือที่รู้สึกว่าท้องเริ่มหิวจึงตะโกนบอกอู่เหมย “เหมยเหมย ต้มเส้นเยอะๆ หน่อยนะ”
“ได้ค่ะพ่อ หนูทอดไข่ดาวให้พ่ออีกสองฟองนะ”
อู่เหมยเดินไปหยิบไข่ไก่ออกมาจากตู้อีกครั้ง เหอปี้อวิ๋นที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ ต้องข่มอารมณ์โกรธไว้เพื่อไม่ให้ด่าออกไป เพราะตอนนี้คุณอู่คอยให้ท้ายยัยเด็กนั่นอยู่ เธอจะทำให้สถานการณ์ตอนนี้แย่ลงไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคืออู่เยวี่ย
อู่เจิ้งซือไม่มีความอดทนที่จะรออู่เยวี่ยอีก เขาสั่งอู่เหมยให้ยกบะหมี่ที่ต้มเสร็จไปให้เขาในห้อง เขาต้องเตรียมเนื้อหาสำหรับสอน เพราะอาทิตย์หน้าเขาต้องไปเปิดคลาสเรียนให้กับโรงเรียนอีกหนึ่งแห่ง
…………………………………………………………………………………………..