ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 151 กินทิ้งกินขว้าง + 152 ฮั้วหยวนเจี่ยที่ใครๆ ต่างก็รู้จัก
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 151 กินทิ้งกินขว้าง + 152 ฮั้วหยวนเจี่ยที่ใครๆ ต่างก็รู้จัก
ตอนที่ 151 กินทิ้งกินขว้าง
อู่เหมยทอดไข่ดาวด้วยความชำนาญ เธอถูกเหอปี้อวิ๋นเรียกใช้งานตั้งแต่เด็ก แต่ก็ใช่ว่านั่นจะไม่มีข้อดี อย่างน้อยก็ทำให้เธอมีฝีมือในการทำอาหาร อาหารเมนูง่ายๆ ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอเลย
“อู่เหมยต้มบะหมี่เหรอ แล้วแม่เธอล่ะ?” อาจารย์แม่จางถามด้วยความแปลกใจ
อู่เหมยกลอกตามองซ้ายขวา พูดขึ้นเสียงเบา “พี่ของหนูเขามีกลิ่นเต่าเลยไม่ยอมไปโรงเรียน ตอนนี้แม่เสียใจจนไม่ยอมทานข้าว”
อาจารย์แม่จางเห็นท่าทางของอู่เหมยจึงอดขำไม่ได้ แต่จะว่าไปทำไมอู่เยวี่ยถึงมีกลิ่นเต่าได้ล่ะ?
แต่ก่อนก็ไม่เคยได้กลิ่นอะไรแปลกๆ นี่นา!
อู่เหมยตักไข่ดาวที่ทอดเสร็จวางไว้บนเส้นที่ต้มสุกก่อนหน้า จากนั้นเธอก็ตอกไข่ใบใหม่ลงไปในน้ำมันที่เดือดจัดในหม้อ ไข่เริ่มสุกอย่างรวดเร็ว มาพร้อมกับกลิ่นหอมๆ ชวนดึงดูด
อาจารย์แม่จางได้แต่ส่ายหน้าไปมา พลางนึกถึงการกระทำของเหอปี้อวิ๋น เลี้ยงลูกคนโตยังไงให้กลายเป็นคุณหนู แค่อยู่เฉยๆ รอให้คนเอาข้าวมาป้อนให้ถึงปาก นอกจากการเรียนแล้วยังมีอะไรดีอีก?
ถ้าให้เธอเป็นคนเลือกลูกสะไภ้ แน่นอนว่าต้องเลือกคนแบบอู่เหมย นิสัยดีแถมยังมีมิตรไมตรี หน้าตาสวยใส ถึงการเรียนจะแย่ก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่ได้หวังว่าจะให้ลูกเรียนสูงถึงระดับด็อกเตอร์สักหน่อย
เรื่องแบบนี้เหอปี้อวิ๋นทำได้ไม่เข้าท่าจริงๆ
ไม่แปลกที่เหมยเหมยจะทนไม่ได้จนต้องระเบิดอารมณ์ออกมา เธอไม่ยอมตายอยู่กับความสันโดษ และนั่นคือการระเบิดอารมณ์จากความเงียบ
อู่เหมยไม่ได้พูดอะไรต่อมาก ที่เหลือเธอปล่อยให้อู่เจิ้งซือไปคิดต่อเอาเองว่าจริงๆ แล้วภรรยาของเขาเป็นคนแบบไหน เธอพูดกับอู่เจิ้งซือไม่กี่ประโยคก็เดินออกจากห้องไป บะหมี่ต้องกินตอนร้อนๆ ถึงจะอร่อย ถ้าเส้นอืดจะทำให้เสียรสชาติได้
ในส่วนของเธอเองก็ยกเข้าไปกินในห้อง เธอหลีกเลี่ยงที่จะเจอกับสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเหอปี้อวิ๋นที่ยังอยู่ด้านนอก ความน่ารักสู้ฉิวฉิวไม่ได้เลยสักนิด
“ต๊อก ต๊อก”
ฉิวฉิวได้กลิ่นของไข่ดาวที่ลอยมาปะทะจมูก มันจึงไม่หยุดที่จะร้องเรียกหาอู่เหมย เท้าของมันยังยกขึ้นชี้ไปยังไข่ดาว
“ฉิวฉิวอยากกินไข่ดาวเหรอ? แกกินได้ด้วยเหรอ?”
อู่เหมยรู้สึกไม่แน่ใจว่ากระรอกจะกินไข่ได้ไหม?
ฉิวฉิวหิวมากจนไม่อาจรอให้อู่เหมยมาป้อนเองได้ ยื่นเท้าข้างหนึ่งไปยังไข่ดาวบนถ้วยและลากออกมาบนโต๊ะ มันกินได้อย่างเอร็ดอร่อยและรวดเร็ว เพียงไม่นานไข่ก็หมดไปเกินครึ่ง
อู่เหมยมองดูมันกินอย่างขบขัน เธอเอาไข่ส่วนที่เหลือยกให้มันไป แต่ฉิวฉิวกลับส่ายหน้าปฏิเสธที่จะรับไข่ดาวอีกส่วนของอู่เหมย
“ฉิวฉิวแกนี่ดีจริงๆ เลย รอให้พี่หาเงินได้เยอะๆ แกอยากกินเท่าไหร่ก็เต็มที่เลย เราจะได้ทำเป็นกินทิ้งกินขว้างกัน”
อู่เหมยที่กำลังพุ้ยเส้นบะหมี่เข้าปากอยู่กับฉิวฉิวที่กำลังจิตนาการถึงการใช้ชีวิตแบบหรูหรา กินทิ้งกินขว้างอย่างมีความสุข
…………………………………………………………………………………………..
บทที่ 152 ฮั้วหยวนเจี่ยที่ใครๆ ต่างก็รู้จัก
กินบะหมี่หมดไปแล้วหนึ่งถ้วยจึงทำให้อู่เหมยรู้สึกดีขึ้นมาก เธอเตรียมจะเก็บถ้วยออกไปล้าง แต่กลับมีกล่องเล็กๆบางอย่างหล่นลงมาจากระเบียงหน้าต่าง เธอแกะกล่องออกมาด้วยความประหลาดใจ ด้านบนปรากฏตัวอักษรไม่กี่ตัวที่ดูสละสลวยมีชีวิตชีวา
‘ขึ้นมาเล่นด้วยกันสิ!’
อู่เหมยนึกขำไม่หยุด สยงมู่มู่จะขี้เกียจอะไรขนาดนี้ แค่ออกจากห้องลงมาข้างล่างไม่กี่ชั้นเอง!
เป็นจังหวะพอดีกับที่เธอไม่อยากอยู่ในบ้าน เสียงของเหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยด้านนอกทำให้เธอรู้สึกรำคาญใจ ออกไปทำการบ้านที่บ้านสยงมู่มู่ก็ดีเหมือนกัน เธอใช้ปากกาเขียนข้อความตอบกลับลงบนกระดาษและดึงกระตุกที่เชือก ไม่นานกล่องเล็กๆ นั้นก็ถูกดึงกลับขึ้นไป
เมื่ออู่เหมยจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนเสร็จ เธอค่อยๆ วางฉิวฉิวลงบนระเบียงหน้าต่าง “ฉิวฉิว แกขึ้นไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะตามไป!”
ฉิวฉิววิ่งหายขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว ช่วงไม่กี่นาทีต่อมาได้ทำให้อู่เหมยรู้สึกอิจฉา พลางนึกว่าหากตัวเธอเองสามารถไปไหนมาไหนได้ไวแบบนี้บ้างคงจะดี!
“พ่อคะ หนูออกไปทำการบ้านที่บ้านของสยงมู่มู่นะ” อู่เหมยตะโกนเข้าไปบอกอู่เจิ้งซือในห้อง
“ไปเถอะ แต่ต้องกลับมาก่อนมื้อค่ำนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
อู่เหมยขานรับเสียงดัง และทำเป็นไม่สนใจเหอปี้อวิ๋น เธอหอบหนังสือไว้กองหนึ่งแล้ววิ่งไปยังชั้นสาม
สยงมู่มู่เปิดประตูรอไว้อยู่ก่อนแล้ว เหลือแค่รอให้อู่เหมยเข้ามา ลุงสยงและจ้าวอิงหนานดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก พวกเขากำลังดูฮั้วหยวนเจี่ยอยู่ อู่เหมยจำได้ว่าเมื่อปีก่อนที่ฉายฮั้วหยวนเจี่ยเป็นครั้งแรก ผู้คนต่างให้ความสนใจและติดตาม หากบ้านไหนไม่มีทีวีก็จะไปขอดูที่บ้านอื่นแทน ไม่ว่ายังไงทุกคืนก็ไม่ควรพลาดดูละครสองตอนที่จะฉาย ซึ่งนั่นถือได้ว่าเป็นที่รู้จักของทุกๆ คน
บ้านไหนที่ใจกว้างหน่อยก็จะยกทีวีออกมาวางไว้ยังลานบ้าน มักจะมีเพื่อนบ้านข้างๆ ยกเก้าอี้และม้านั่งต่างๆ ออกมาวาง ทำให้พื้นที่ลานกว้างบริเวณนั้นแออัดไปด้วยผู้คน ครึกครื้นเสียยิ่งกว่าการไปดูหนังในสมัยนี้
ในทีวีที่ฉายอยู่เป็นหมีเสวี่ยที่รับบทเป็นจ้าวเชี่ยนหนาน หมีเสวี่ยในตอนนี้ยังเด็กและสวยมาก คนที่รับบทเป็นฮั้วหยวนเจี่ยก็หล่อไม่แพ้กัน แต่น่าเสียดายที่พักหลังๆ เขาออกจากบ้านเพื่อไปบวชเป็นพระ
“ลุงสยงคะ ป้าจ้าวคะ!”
อู่เหมยทักทายอย่างมีมารยาท จ้าวอิงหนานรู้สึกดีใจเมื่อเห็นเธอ “มาแล้วเหรอเหมยเหมย เข้ามาก่อนสิ! มู่มู่อยู่ในห้องแน่ะ!”
“ค่ะ ป้าจ้าว ชื่อของคุณป้ากับจ้าวเชี่ยนหนานต่างกันแค่ตัวเดียวเอง แต่สวยทั้งคู่เลย” อู่เหมยรวบรวมความกล้าเพื่อจะพูดประโยคชวนขำออกมา แต่มันคือความรู้สึกจากใจจริงๆ ของเธอ จ้าวอิงหนานเธอสวยอยู่แล้ว ไม่ได้สวยน้อยกว่าหมีเสวี่ยเลย
เธออยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
อู่เยวี่ยที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชม นอกจากการเรียนดีแล้ว เธอยังดูร่าเริงสดใสวางตัวเข้ากับคนง่าย พบเจอใครก็สามารถพูดคุยทักทายได้หมด ซึ่งต่างจากอู่เหมยที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา จะเรียกใครยังไม่กล้า ไม่แปลกที่ใครๆ ต่างไม่ชอบ
จ้าวอิงหนานหัวเราะออกมาอย่างพอใจ ยื่นมือไปคว้าเอาลูกกวาดช็อกโกแลตในจาน แกะมันออกจากถุงพร้อมกับยื่นไปตรงปากให้อู่เหมยและพูดด้วยรอยยิ้ม “เหมยเหมยนี่ปากหวานจริงๆ เดี๋ยวป้าให้กินลูกกวาดเป็นรางวัล”
ลูกกวาดของที่บ้านตระกูลสยงอร่อยจัง โดยเฉพาะรสช็อกโกแลต รสชาติคือของจริง อู่เหมยกินไปคำแรกก็รู้ได้เลยว่าต้องเป็นของนำเข้า เพราะต่อให้ผ่านไปกี่สิบปี ในประเทศก็ทำช็อกโกแลตแท้ที่มีรสชาติแบบนี้ไม่ได้
“หนูพูดความจริงค่ะ ป้าจ้าวสวยมากจริงๆ ในโรงเรียนต่างก็พูดกันว่าคุณลุงกับคุณป้าเหมือนเทวดากับนางฟ้าเลย”
ทุกอย่างยากที่จะเริ่มต้น แต่ถ้าได้พูดจาประจบออกไปคำแรก คำพูดต่อๆ มาก็มักจะทำให้พูดได้ง่ายขึ้น อู่เหมยไม่ได้เย่อหยิ่งหรือแข็งกระด้างขนาดนั้น ที่แท้ก็ต้องค่อยๆ ฝึกต่อไปจนหน้าเริ่มหนาขึ้น และจะชินไปเอง
ลุงสยงและจ้าวอิงหนานพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ถูกยกยอ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ใครกันที่จะไม่ชอบฟังคำพูดดีๆ โดยเฉพาะคำยกยอจากปากของเด็กน้อยที่ไม่ค่อยพูดคนนี้ยิ่งทำให้เขาพอใจเป็นที่สุด!
สยงมู่มู่ที่ทนต่อความน่ารำคาญไม่ไหว เปิดประตูออกมาพร้อมกับตะโกน “พอได้หรือยัง? อู่เหมยเธอยังจะไม่เข้ามาอีก?”
…………………………………………………………………………………………..