ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 157 หัวปีหรือท้ายปี + 158 ก่อกวนขวัญทหาร
ตอนที่ 157 หัวปีหรือท้ายปี
อู่เหมยไม่อยากใช้เงินของสยงมู่มู่แม้แต่น้อย อีกหน่อยคงมีหลายส่วนที่เธอต้องใช้เงิน เธอจะพึ่งพาสยงมู่มู่ไปตลอดคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าตัวเธอเองมีเงินถึงจะถูก!
สยงมู่มู่หัวเราะเยาะเธอ “แล้วเธอจะหาเงินยังไง? ประกอบกล่องหรือถักเชือกเหรอ?”
“ไม่ได้ พ่อฉันรักหน้าตาและศักดิ์ศรีมาก ถ้าฉันประกอบกล่องอยู่ในบ้าน เขาต้องโกรธมากแน่ๆ”
ช่วงนี้อู่เหมยคิดอยู่หลายวิธี ทั้งประกอบกล่องหรือถักเชือกเธอก็คิดมาหมดแล้ว แถมยังเคยคิดจะไปเก็บขยะ แต่ก็ต้องปฏิเสธและตัดข้อนี้ออกไป เพราะถ้าเธอทำคงปิดบังอู่เจิ้งซือไม่ได้ คนที่รักหน้าตาและชื่อเสียงอย่างเขาคงไม่มีทางที่จะยอมให้อู่เหมยทำงานพวกนี้
“แล้วเธอจะทำอะไรได้? คงไม่ถึงกับต้องไปตั้งแผงลอยขายของใช่ไหม? เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคนหัวโบราณอย่างพ่อเธอต้องเห็นแน่ๆ ใช้เงินของฉันน่ะดีแล้ว ถึงยังไงคนอย่างฉันก็มีเงินเยอะ ให้เธอแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา หรืออีกหน่อยถ้าเธอมีเงินค่อยหามาคืนฉันก็ได้นี่!”
สยงมู่มู่เขาไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินจริงๆ ทุกอาทิตย์จ้าวอิงหนานจะให้เงินกับเขาห้าหยวนเป็นค่าขนม และยังมีลุงป้าตายายให้เงินแต๊ะเอียเขาในช่วงวันตรุษจีนด้วย เงินในท้องพระคลังของเขาที่มีก็ไม่ใช่น้อยๆ อย่าว่าแค่ซื้อกระดาษเลย ต่อให้เลี้ยงอู่เหมยยังทำได้เลย
“ถึงนายจะมีเงินเยอะแต่ฉันก็ไม่ต้องการ ฉันจะให้นายเป็นฝ่ายเลี้ยงตลอดได้ยังไง ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะถูกมองยังไง” อู่เหมยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ชีวิตในชาติก่อนเธอไม่เคยออกไปทำงานมาก่อน กว่าจะเรียนจบและได้ใบจบมามันไม่ง่ายเลย พอเรียนจบเหมยซูหานก็ขอเธอแต่งงานทันที จากนั้นเธอก็อยู่แต่บ้านคอยทำหน้าที่เป็นภรรยาของเขา เงินแค่หยวนเดียวก็ไม่เคยทำงานหามาก่อน เธอจึงไม่อยากพึ่งพาใครอีกแล้ว
สยงมู่มู่พิจารณาดูอู่เหมยด้วยความเจ้าเล่ห์ และพูดขึ้น “พอดีว่าพี่ไม่มีน้องสาว แล้วพี่ก็รู้สึกถูกชะตากับเธอพอสมควร ถ้าเธอมาเป็นน้องสาวของพี่ ให้พี่เลี้ยงเธอมันก็เป็นไปตามสัจธรรมอยู่แล้ว”
อู่เหมยได้ยินที่สยงมู่มู่เรียกตัวเองว่า ‘พี่’ ทีไรก็รู้สึกขนลุกทุกที นายนี่เมื่อชาติก่อนไม่รู้ว่าใครแก่กว่าใครอ่อนกว่า แต่หากว่าเขาอ่อนกว่าต้องเรียกเธอว่าพี่ถึงจะถูก
เหอะๆๆ ถูกเจ้าบ้านี่ปั่นจนหัวหมุนไปหมด เรื่องอะไรจะให้เธอเรียกเขาว่าพี่ล่ะ!
“นายเด็กกว่าฉันอีก!” อู่เหมยรีบพูดปฏิเสธไป
“พี่เกิดหัวปีวัว เธอล่ะ?” สยงมู่มู่พูดด้วยความมั่นใจ
อู่เหมยเกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นมา เธอก็เกิดปีวัวเหมือนกัน แต่เป็นช่วงฤดูหนาว แน่นอนว่าเธอไม่ได้โตกว่าสยงมู่มู่ แต่เธอก็อยากยอมรับ ดูก็รู้ว่าเธอน่ะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าสยงมู่มู่เสียอีก
ครั้งนี้สยงมู่มู่ได้ใจและหัวเราะออกมาเสียงดัง “ลองเรียกว่าพี่ดูสิ แล้วพี่จะให้เงินเธอใช้!”
“เพี้ยะ!”
อู่เหมยรู้สึกโมโหมจึงฟาดเขาไปหนึ่งที
“กลับบ้านดีกว่า ฉิวฉิวแกลงไปเองนะ!”
เธอวางฉิวฉิวที่ตายังเอาแต่จ้องลูกกวาดอยู่ลงบนระเบียงหน้าต่าง และหันกลับไปเปิดประตูเพื่อเดินออกไป สยงมู่มู่ยิ้มอย่างพอใจและพูดกับเธอ “พรุ่งนี้ฉันจะไปเรียกเธอเอง อย่างนอนตื่นสายล่ะ”
อู่เหมยถอนหายใจเบาๆ และหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้ทางคุณลุงสยงกับคุณป้าจ้าว “ลุงสยง ป้าจ้าว หนูกลับก่อนนะคะ”
“อู่เหมยวันหลังมาเที่ยวบ่อยๆ สิ”
ลุงสยงกับจ้าวอิงหนานมองอู่เหมยด้วยความรักใคร่เอ็นดูจึงทำให้เธอทำตัวไม่ถูก อู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋นไม่เคยมองเธอด้วยสายตาแบบนี้เลย!
ภายในบ้านที่มีอู่เยวี่ยออกมาจากห้องอาบน้ำ เส้นผมที่เปียกกระเซิง กลิ่นเหม็นเริ่มจางลงไปบ้าง ขอบตาเธอแดงก่ำและบวม เธอนั่งกินบะหมี่อยู่กับเหอปี้อวิ๋น บะหมี่ถ้วยนั้นมีไข่ดาวที่ทอดได้เหลืองสวยอยู่สามฟอง แต่ในจานของเหอปี้อวิ๋นกลับมีแค่น้ำซุปใสๆ ราดเส้นหมี่และโรยหน้าด้วยต้นหอม
อู่เหมยเบะปากและมอง เธอนึกในใจว่าอู่เยวี่ยกินไข่ดาวสามฟองในครั้งเดียว ไม่กลัวอิ่มตายหรือไง!
เธอเดินเข้ามาในบ้านและใช้มือปิดจมูกไว้ กลิ่นเหม็นบนตัวของอู่เยวี่ยเริ่มจางไปมาก ถ้าเว้นระยะห่างกับเธอก็จะทำให้ไม่ได้กลิ่น แต่อู่เหมยก็ไม่อยากจะปล่อยยัยคนชั่วคนนี้ไปง่ายๆ ตราบใดที่เธอยังมีโอกาสโจมตีอู่เยวี่ย ต่อให้เป็นจุดเล็กๆ เธอก็ไม่อยากปล่อยผ่าน
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 158 ก่อกวนขวัญทหาร
อู่เยวี่ยเห็นอู่เหมยใช้มือบีบจมูกตัวเองไว้ ใบหน้าเธอขาวซีดและรู้สึกเกลียดจนต้องกัดฟันแน่น เธอแทบอยากจะเอามูลสัตว์ถาดใหญ่ๆ สาดใส่ตัวอู่เหมย
แต่ท้ายสุดเธอก็คืออู่เยวี่ยผู้ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกเบื้องลึก พอผ่านความวุ่นวายตอนเช้ามาได้ เธอจึงใจเย็นลงมาก อีกทั้งกลิ่นเหม็นบนตัวเธอในตอนนี้ได้เริ่มจางลงและนั่นได้จุดประกายความมั่นใจของเธอขึ้นมาใหม่ หรือบางทีกลิ่นเหม็นบนตัวเธออาจจะไม่ใช่กลิ่นเต่า?
บางทีอาจจะเป็นเพราะอะไรบางอย่างก็ได้?
อู่เยวี่ยตัดสินใจแล้วกับแผนการที่แย่ที่สุด ต่อให้มันจะเป็นเป็นกลิ่นเต่า เธอก็จะหาทางรักษากลิ่นเหม็นๆ บนตัวให้หาย ขนาดหยางอวี้หวยเธอมีกลิ่นเต่า แต่เธอยังคงเป็นคนโปรดของฮ่องเต้เหมือนเดิม!
บนโลกใบนี้ไม่ได้มีคนที่ดีเลิศไปหมดทุกอย่าง บนร่างกายมีจุดด่างพร้อยบ้างนั่นถือว่าเป็นเรื่องปกติ เธอน่าจะเริ่มคิดได้บ้างแล้ว อย่างมากเธอก็แค่อาบน้ำสระผมหลายๆ ครั้ง ฉีดน้ำหอมให้มากขึ้น คงไม่เหมือนวันนี้ที่ทำตัวขายหน้าขนาดนั้น
อู่เยวี่ยคิดไปไกลถึงหนทางสุดท้ายที่มี นั่นคือการแต่งงานกับเหยียนหมิงต๋า ถึงแม้ว่าคนที่เธอชอบจะเป็นเหมยซูหาน แต่ตระกูลเหมยยากจนเกินไป มีพ่อเป็นคนเสเพลส่วนแม่ก็พิการ แค่คนทำงานหาเงินเลี้ยงให้ยังไม่มีเลย สิ่งเดียวที่มีราคาก็คงจะเหลือแค่บ้านหลังเก่าซอมซ่อที่ไม่มีแม้แต่กระจกหน้าต่าง
ชอบก็อยู่ส่วนชอบ เพราะนั่นไม่ได้แปลว่าเธอจะยอมทนมีชีวิตที่ลำบาก ระหว่างความรักกับขนมปัง (เงิน) อู่เยวี่ยรู้ดีเสมอว่าควรเลือกอะไร แม้ว่าเธอจะมีอายุแค่สิบสี่ปี แต่เธอกลับวางแผนอนาคตของเธอไว้หมดแล้ว และรู้ดีว่าตัวเธอเองต้องการอะไร
หากเหมยซูหานคือความรัก งั้นเหยียนหมิงต๋าก็คือขนมปัง (เงิน) แต่น่าเสียดายที่ขนมปังก้อนนี้ไม่ได้ทำให้อู่เยวี่ยพอใจมากนัก เพียงแค่ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ หากโรคประหลาดของเธอรักษาไม่หายจริงๆ เธอคงต้องเลือกอีกทางที่ดีกว่า โดยเลือกขนมปังก้อนเก่าอย่างเหยียนหมิงต๋า
เพราะยังไงพ่อของเหยียนหมิงต๋าก็ไม่ได้มีตำแหน่งเล็กๆ และแม่ของเขาก็เป็นถึงหมอในโรงพยาบาลใหญ่ เป็นอาชีพที่มีหน้ามีตาทั้งคู่ ฐานะทางครอบครัวก็ไม่ได้ถือว่าแย่
ส่วนเหยียนหมิงต๋าจะเห็นด้วยหรือไม่ อู่เยวี่ยไม่มีแม้แต่ความกังวล เพราะสำหรับเธอแล้ว การบังคับเหยียนหมิงต๋าเป็นเรื่องง่ายกว่าที่พระเจ้ายูไลจัดการกับซึงหงอคงเสียอีก ถึงยังไงเขาก็หนีไม่พ้นจากเงื้อมมือเธอหรอก
อยู่ในห้องอาบน้ำนานหลายชั่วโมง อู่เยวี่ยจึงคิดถึงความเป็นไปได้ไว้ทั้งหมด รวมถึงหนทางสำรองเธอก็คิดไว้หมดแล้ว แค่ความคิดความอ่านคงไม่แปลกนักถ้าเธอจะเป็นผู้ชนะของเกมชีวิตนี้
เหอปี้อวิ๋นไม่มองอู่เหมยที่เดินเข้าไปแม้แต่หางตา พูดกับอู่เยวี่ยด้วยความเอ็นดู “เยวี่ยเยวี่ยรีบกินเร็ว เดี๋ยวแม่พาลูกไปตรวจที่โรงพยาบาล เมื่อกี้แม่ได้กลิ่นเหมือนจะมาจากเส้นผมของลูก ไม่ใช่กลิ่นเต่าแน่นอน”
อู่เยวี่ยมองเหอปี้อวิ๋นด้วยความแปลกใจปนดีใจ “แม่คะ กลิ่นมาจากเส้นผมจริงเหรอคะ?”
“น่าจะใช่ แม่ลองดมดูได้กลิ่นแรงสุดตรงเส้นผมของลูก ส่วนอื่นๆ กลิ่นอ่อนไปเยอะแล้ว เดี๋ยวลองให้หมอตรวจดูน่าจะรู้ผลว่าเป็นอะไร ไม่ต้องกังวลแล้วนะ!”
เหอปี้อวิ๋นยื่นมือออกไปลูบหัวของลูกรัก แต่พอสัมผัสหัวอู่เยวี่ยได้แค่ครู่เดียวก็ต้องรีบดึงมือกลับ เพราะกลิ่นยังถือว่าแรงมาก แค่สัมผัสโดนกลิ่นก็ติดขึ้นมาง่ายมาก ใช้ผงซักฟอกล้างกลิ่นก็ไม่หาย
อู่เยวี่ยสีหน้าสลดลงและทำหน้าบูดบึ้ง คนเราล้วนมีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น พอเกิดเรื่องขึ้นธาตุแท้ก็ถูกเผยออกมาให้เห็น ทั้งที่บอกว่าแม่ไม่เคยรังเกียจที่ลูกขี้เหร่ ในเมื่อรักก็ต้องพร้อมที่จะรับได้ในข้อเสียต่างๆ ในตัวลูก แค่กลิ่นเหม็นมันร้ายแรงมากหรือไง?
แต่ตอนนี้กลับหดตัวอยู่แต่ในห้องไม่ยอมออกมา แค่แตะต้องตัวเธอยังไม่ยอมแตะ เหอะ! ไม่ใช่เพราะรังเกียจเธอเหรอ?
อู่เยวี่ยมีสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย แต่ก็ปรับเปลี่ยนเป็นยิ้มได้อย่างรวดเร็ว เธอพูดจาอ่อนหวาน “แม่คะ แม่เป็นแม่ที่ดีที่สุดสำหรับหนู ต่อไปนี้หนูจะเป็นฝ่ายทดแทนบุญคุณแม่เอง”
เหอปี้อวิ๋นดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้ สายตาแห่งความรักใคร่เอ็นดูลูกสาวนั้นหวานปานน้ำเชื่อม ทำเอาอู่เหมยรู้สึกสะอิดสะเอียนจนทนไม่ไหว ใช้มือถูกันไปมาด้วยความขนลุกแล้ววิ่งเข้าห้องไป
ปล่อยให้อู่เยวี่ยได้ดีใจไปก่อนเถอะ รอวันสอบมาถึงค่อยฉีดกลิ่นธัญพืชอันหอมหวนให้เธอใหม่ เหอะ! สำหรับเธอแล้วเรียกว่ารก่อกวนขวัญทหาร ต้องอดทนต่อกลิ่นเหม็นๆ แล้วคนอย่างอู่เยวี่ยจะมีกะจิตกะใจไปสอบได้ไหม!
…………………………………………………………………………………………..