ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 159 ไปเอายาถ่ายมาจากไหน + 160 ลงมือทำเองต้องทำให้กินดีอยู่ดี
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 159 ไปเอายาถ่ายมาจากไหน + 160 ลงมือทำเองต้องทำให้กินดีอยู่ดี
ตอนที่ 159 ไปเอายาถ่ายมาจากไหน
อู่เหมยนึกขึ้นได้เมื่อเข้ามาถึงในห้อง การที่ฉิวฉิวฉี่ราดใส่อู่เยวี่ย นับเป็นครั้งแรกที่ทำให้อู่เยวี่ยโวยวายไม่ยอมไปโรงเรียน สัปดาห์หน้าเป็นการสอบรายเดือนแล้ว แค่ให้ฉิวฉิวฉี่ราดใส่เธออีกครั้ง สภาพจิตใจของอู่เยวี่ยจะต้องได้รับผลกระทบและไม่แน่ว่าเธออาจจะทำได้ไม่เต็มความสามารถ!
แน่นอนว่าเธอจะต้องเตรียมทั้งสองวิธีเผื่อไว้ ยาถ่ายก็ต้องใช้!
แต่เธอจะไปหายาถ่ายได้จากที่ไหน?
อู่เหมยอุ้มฉิวฉิวไว้และพูดกับตัวเอง ตอนนี้มันช่างต่างกับชาติก่อนที่มีร้านขายยาเต็มไปหมด แต่ในเวลานี้ถ้าต้องการยาอะไรต้องไปอนามัยหรือไม่ก็โรงพยาบาล ในเมื่อจะทำร้ายใครเธอจะทิ้งจุดอ่อนไว้ไม่ได้ จะไปเอายาระบายจากโรงพยาบาลไม่ได้เด็ดขาด
ใช่แล้ว ต้องใช้ผลของต้นสลอต!
อู่เหมยดีใจจนตาลุกวาวและก็ต้องมืดลงในทันที หาต้นสลอตยังยากกว่าหายาถ่ายเสียอีก เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้นสลอตหน้าตาเป็นยังไง จะไปหาที่ไหนได้?
ฉิวฉิวที่หยิบลูกกวาดจากบ้านของสยงมู่มู่มาไม่น้อย ตอนนี้มันอารมณ์ดีขึ้นมาก แต่เห็นเจ้านายทำหน้าเครียดเป็นโบว์ผูกแบบนั้น ฉิวฉิวมองตาปริบๆ หากเจ้านายอยากได้ยาถ่าย?
แล้วทำไมไม่ถามมันล่ะ?
“ต๊อก ต๊อก”
ฉิวฉิวส่ายหางไปมาและวิ่งออกนอกหน้าต่างไป แค่แวบเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมัน อู่เหมยเข้าใจว่ามันออกไปเดินเล่นเลยไม่ได้สนใจอะไร เธอจึงหยิบสมุดการบ้านออกมาเริ่มทำงาน
วันนี้ทำการบ้านให้เสร็จ พรุ่งนี้เธอจะได้ไปเดินช็อปปิ้งอย่างสบายใจ เอ๊ะ! ไปช็อปปิ้งก็ต้องใช้เงิน หวังว่าพรุ่งนี้ออกไปนอกบ้านแล้วเก็บกระเป๋าเงินได้บ้างเถอะ แบบนั้นคงจะดี!
เหอปี้อวิ๋นตะโกนออกมาจากห้องรับแขก “คุณอู่ ฉันพาเยวี่ยเยวี่ยไปโรงพยาบาลก่อนนะ ถ้ากลับมาช้า ก็ให้อู่เหมยทำกับข้าวล่ะ”
อู่เหมยถอนหายใจออกมา โรงพยาบาลห่างจากอี้จงไม่กี่ร้อยเมตร ต้องใช้เวลาเท่าไหร่กัน?
เหอปี้อวิ๋นจะต้องพาอู่เยวี่ยไปเดินช็อปปิ้งต่อแน่นอน ลูกสาวสุดที่รักเจอเรื่องอัดอั้นตันใจขนาดนั้น จะเป็นไปได้ยังไงถ้าไม่ไปซื้อของให้อารมณ์ดีขึ้น!
“แม่คะ อย่าลืมซื้อรองเท้ากีฬาสีขาวกลับมาด้วยนะ อาทิตย์หน้าหนูต้องใส่ในคาบเรียนพละ” อู่เหมยเปิดประตูออกมาตะโกนบอกแม่
เหอปี้อวิ๋นตะโกนด่า “ฉันพาพี่สาวแกไปตรวจที่โรงพยาบาล จะมีอารมณ์ไปซื้อของได้ไง ทำไมแกไม่เข้าใจอะไรเลย!”
“ถ้างั้นแม่เอาเงินมาให้หนูก็ได้ พรุ่งนี้หนูจะไปซื้อเอง ไม่รบกวนแม่ก็ได้”
อู่เหมยยื่นมือเล็กๆ ของเธอออกไป ไม่ย่อท้อต่อความพยายาม ต้องขอเงินตอนที่อู่เจิ้งซือยังจำสิ่งนี้ได้
ไม่อย่างนั้นผ่านไปไม่กี่วันอู่เจิ้งซือก็จะลืมเรื่องนี้ แล้วเหอปี้อวิ๋นก็จะหาข้ออ้างเพื่อปัดหนี้สิน
เหอปี้อวิ๋นจับไม้ขนไก่ที่อยู่บนตู้ได้หวังจะเอามาตีเธอ ยัยเด็กนี่ทำไมเป็นสัตว์เลือดเย็นแบบนี้ เกิดเรื่องกับเยวี่ยเยวี่ยขนาดนี้แล้ว เธอยังคิดแต่เรื่องจะซื้อรองเท้าอีก ยัยเด็กนี่ทำให้คันไม้คันมืออีกแล้ว!
อู่เหมยกลับไม่เกรงกลัวเธอและวิ่งกลับไปยังห้องของอู่เจิ้งซือ เหอปี้อวิ๋นจึงได้หยุดการกระทำนั้นลง แต่ยังหน้าดำคร่ำเครียดไม่พอใจ เธออยากจะจับอู่เหมยกลืนลงไป
อู่เยวี่ยรีบร้อนอยากไปโรงพยาบาล แถมเธอยังไม่อยากให้อู่เจิ้งซือโมโหด้วย เธอจึงดึงแขนเสื้อของเหอปี้อวิ๋นและเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ รอให้เธอได้ข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้แล้วจะกลับมาจัดการยัยโง่อู่เหมยนี่
เหอปี้อวิ๋นควักเงินออกมาจากกระเป๋าด้วยความขุ่นเคือง ในกระเป๋ามีธนบัตรใบละหนึ่งหยวนและสองหยวนอยู่ไม่กี่ใบ ที่เหลือก็เป็นใบห้าเจี่ยวที่ยัดรวมไว้ เหอปี้อวิ๋นนับเงินออกมาห้าหยวนแล้วยื่นให้อู่เหมยไป เธอกดเสียงต่ำพูด “ซื้อแบบสามหยวนเอานะ”
“หนูจะซื้อยี่ห้อที่พี่เคยใส่ แบบนั้นมันห้าหยวน อีกสองหยวนนี้แม่ก็ให้หนูมาเถอะ จะได้ไม่เสียเวลาถามหาเงินค่าขนมกับแม่ในอาทิตย์หน้าด้วย”
อู่เหมยที่มือไวคว้าเอาธนบัตรใบหนึ่งหยวนสองใบออกมาจากมือของเหอปี้อวิ๋น เหอปี้อวิ๋นหน้าดำคร่ำเครียดด้วยความตกใจและจ้องอู่เหมย ความเป็นจริงเธออยากจะสั่งสอนยัยเด็กนี่สักหน่อย แต่ก็กลัวอู่เจิ้งซือที่อยู่ในห้องจะโกรธอีก
ตอนนี้คุณอู่ปกป้องยัยเด็กนี่ยิ่งกว่าอะไรดี เธอจะทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วที่อยากจะด่าก็ด่า อยากจะตีก็ตี เพราะแบบนี้เลยทำให้เหอปี้อวิ๋นไปไม่สบายใจและเธอก็รู้สึกอึดอัดใจเอามาก
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 160 ลงมือทำเองต้องทำให้กินดีอยู่ดี
เหอปี้อวิ๋นหน้าดำคร่ำเครียดออกจากบ้านไป ข้างกายเธอมีอู่เยวี่ยที่ใส่หมวกปิดไว้ทำให้กลิ่นเหม็นที่มีอยู่ได้จางไป เป็นแบบนี้ยิ่งทำให้อู่เยวี่ยอารมณ์ดีขึ้น แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าทำไมถึงมีกลิ่นเหม็นโชยออกมาจากผม เพียงแค่รู้ว่าไม่ใช่กลิ่นเต่าก็ทำให้เธอปีติยินดีเป็นอย่างมาก
“แม่คะ อย่าโกรธไปเลย หนูไม่ซื้อรองเท้าหนังแล้ว” อู่เยวี่ยพูดอย่างสำนึก
“ทำไมไม่ซื้อล่ะ? เดี๋ยวตรวจอาการเสร็จเราค่อยไปซื้อที่บริษัทไป่ฮว้า เยวี่ยเยวี่ยของเราต้องแต่งตัวสวยๆ สิ” สีหน้าของเหอปี้อวิ๋นดูอบอุ่นขึ้น เธอมองอู่เยวี่ยแล้วยิ้มออกมา
อู่เยวี่ยรู้สึกได้ใจ เธอทำหน้างอและออดอ้อน “แม่หาเงินมาอย่างยากลำบาก หนูแค่อยากจะช่วยแม่ประหยัดบ้าง!”
“เด็กดี เรื่องเงินลูกไม่ต้องเป็นห่วง แค่ห่วงเรื่องสอบให้ได้ที่หนึ่งก็พอแล้ว” เหอปี้อวิ๋นยิ้มกว้างจนเห็นริ้วรอย จิตใจรู้สึกสงบขึ้นแต่อีกใจกลับรู้สึกรังเกียจต่ออู่เหมย
ลูกสาวสองคนเปรียบดั่งฟ้ากับดินจริงๆ ไม่แปลกที่เธอจะลำเอียงไปทางเยวี่ยเยวี่ยบ้าง เยวี่ยเยวี่ยมีแต่จะนำเกียรติและชื่อเสียงมาให้ อีกทั้งยังเห็นใจเธอที่หาเงินมาอย่างลำบาก แต่ยัยเด็กนั่นคอยแต่จะทำให้เธอขุ่นเคืองใจ รู้แต่จะหาวิธีขอเงินจากเธอ
อู่เยวี่ยทำให้อารมณ์ของเหอปี้อวิ๋นพุ่งทะลุได้สำเร็จ เธอยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจและพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “แม่วางใจได้ หนูสอบได้ที่หนึ่งแน่นอน แต่หนูรู้สึกเป็นห่วงเหมยเหมย เห็นเธอไปติวกับสยงมู่มู่แต่ยังสอบได้แค่หกสิบกว่าคะแนน หรือต่อไปนี้จะให้หนูเป็นคนติวให้เหมยเหมยดีคะ รบกวนคนอื่นมากไปก็ไม่ดี!”
เหอปี้อวิ๋นที่ได้ยินชื่ออู่เหมยก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาและพูดด้วยความโกรธแค้น “เหมยเหมยนี่แม่ไม่หวังอะไรแล้ว เยวี่ยเยวี่ยหนูอย่าไปสนใจเลย เดี๋ยวจะเสียเวลาของลูกเอานะ”
ครั้งนี้เหอปี้อวิ๋นกลับไม่ได้เออออตามคำพูดของอู่เยวี่ย เธอครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ไม่รู้ว่ายัยเด็กนั่นไปทำอีท่าไหนถึงได้เข้าตาคนบ้านตระกูลสยง ทั้งยังเป็นคนเดียวของโรงเรียนที่เข้าบ้านนั้นได้ ขนาดเธอเองยังทำไม่ได้
แม้ว่าเธออจะคิดว่าสายตาของจ้าวอิงหนานมีปัญหา เธอก็ไม่ได้คิดจะเรียกให้อู่เหมยกลับมา ไม่ว่ายังไงอู่เหมยก็เป็นลูกสาวของเธอ ต่อไปเธออาจจะใช้อู่เหมยเป็นตัวเชื่อมให้เธอพูดคุยกับจ้าวอิงหนาน
ผู้หญิงอย่างจ้าวอิงหนานเป็นคนแบบที่เธอไม่ถูกชะตาด้วยเลยแม้แต่น้อย แต่ใครให้เธอได้รับราชการกันล่ะ แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับเธอ แต่เหอปี้อวิ๋นก็ต้องยอมทำดีต่อเธอ ไม่แน่ว่าอาจมีสักวันที่ตำแหน่งหน้าที่การงานของเธออาจจะได้พึ่งใบบุญบ้านตระกูลสยง!
อู่เยวี่ยมีปฏิกิริยาไม่พอใจต่อเหอปี้อวิ๋น เธอกัดฟันล่างแน่นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก ไว้วันหลังเธอค่อยหาวิธีเกลี้ยกล่อมเหอปี้อวิ๋นให้ลากตัวอู่เยวี่ยกลับมาแล้วกัน
แม้แต่ตัวเธอเองยังไม่กล้าไปบ้านตระกูลสยงเลย ยัยอู่เหมยหน้าโง่นั่นมีสิทธิ์อะไรถึงไปได้!
ยัยโง่นั่นจะไม่มีทางได้ดีไปกว่าเธอแม่แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม
ใกล้จะห้าโมงเย็นแล้วแต่เหอปี้อวิ๋นยังไม่กลับมา
การบ้านของอู่เหมยก็ใกล้จะเสร็จแล้ว แถมท้องเธอก็เริ่มร้องจ๊อกๆ แล้วด้วย ดูแล้วอาหารมื้อเย็นนี้จะหนีไม่พ้นฝีมือเธอ เพราะอู่เจิ้งซือเป็นคนที่กินข้าวได้ตรงเวลามาก มื้อเช้าก่อนแปดโมง มื้อเที่ยงก่อนสิบสองโมง มื้อเย็นก็ต้องก่อนหกโมงตามกฎ ถ้าช้าไปแค่นาทีเดียวเขาจะไม่พอใจเอาได้
“พ่อคะ หนูไปทำกับข้าวก่อนนะ”
อู่เหมยตะโกนเข้าไปในห้อง อู่เจิ้งซือตอบกลับมาด้วยเสียงเบา การทำกับข้าวไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรสำหรับอู่เหมย กระทั่งเรื่องฝีมือของเธอยังดีกว่าเหอปี้อวิ๋นอีก
ชาติที่แล้วเธออยู่แต่บ้านทุกวัน ไม่มีอะไรให้ทำ เลยทำให้คิดแต่เรื่องฝีมือในการทำอาหาร เธอจึงทำตามตำราอาหารด้วยตัวเอง ฝึกฝนอยู่นานจนทำให้ฝีมือในการทำอาหารของเธอดีขึ้นมาก เหมยซูหานจึงชอบทานอาหารฝีมือเธอ แต่แค่ไม่ชอบตัวเธอก็เท่านั้น
อู่เหมยได้แต่หัวเราะเยาะตัวเอง พลางตักข้าวขึ้นมาสามถ้วยตวงและล้างให้สะอาด เธอใส่น้ำลงไปไม่ให้สูงไปกว่านิ้วมือและวางหม้ออลูมิเนียมไว้บนเตา การหุงข้าวด้วยหม้ออลูมิเนียมต้องใส่น้ำเยอะหน่อย ถึงจะทำให้ข้าวอร่อย
ในตู้มีไข่ไก่ หน่อไม้แห้ง มันฝรั่งแห้ง พวกผักตากแห้ง และยังมีแผ่นเต้าหู้แห้งกับวุ้นเส้นด้วย ในห้องเก็บของมีเนื้อเค็มแขวนไว้อยู่หลายชิ้น ปกติแล้วเหอปี้อวิ๋นจะตัดเอามาทำกับข้าวแค่นิดเดียว อู่เหมยเหลือบมองซ้ายขวาหาเก้าอี้เพื่อจะปีนขึ้นไปหยิบเนื้อลงมาหนึ่งชิ้น เธอใช้แรงตัดเนื้อชิ้นนั้นออกมาน่าจะประมาณเจ็ดแปดเหลียง[1]
ไหนๆ ก็ลงมือทำกับข้าวเองแล้ว เธอจะทำกับข้าวอร่อยๆ ให้เยอะหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเหนื่อยเสียเปล่า
…………………………………………………………………………………………..
[1] 1 เหลียง (两) = 50 กรัม