ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 163 ยุให้รำ ตำให้รั่ว + 164 ยุยงได้สำเร็จ
ตอนที่ 163 ยุให้รำ ตำให้รั่ว
เหอปี้อวิ๋นที่ถูกอู่เหมยพูดดักคอไว้จึงเถียงไม่ได้ แม้แต่ประโยคเดียวเธอก็พูดไม่ออก คำพูดพวกนี้บีบเธอจนหาทางออกไม่ได้ ต่อให้พูดอะไรออกไปดูเหมือนจะผิดไปหมด
เสียดายน้ำมันแต่ไม่สงสารอู่เจิ้งซือ กระทั่งต่อไปจะต้องใส่น้ำมันเยอะขึ้นอีก ถ้าหากว่าใส่น้อยอู่เจิ้งซือจะต้องคิดว่าไม่สนใจเรื่องสุขภาพของเขาอีก อีกหน่อยก็ต้องซื้อของที่ดีกว่านี้ แต่ทุกอย่างก็ต้องใช้เงินนี่นา!
เหอปี้อวิ๋นเริ่มไม่กล้าที่จะคิดบัญชีอะไรแล้ว เธอจินตนาการถึงโทรทัศน์สีที่ได้ลอยออกไปไกลขึ้น ถ้าต้องใช้จ่ายแบบนี้จริงๆ ชีวิตนี้อย่าได้หวังโทรทัศน์สีเลย ยิ่งตู้เย็น เครื่องซักผ้าไม่ต้องพูดถึงแล้ว
อู่เจิ้งซือกินข้าวไปแล้วสองถ้วย กับข้าวก็กินไปไม่น้อย พอท้องอิ่มเขาก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้น แต่พอเหลือบไปเห็นสีหน้าแววตาอมทุกข์ของเหอปี้อวิ๋น ในใจของเขากลับรู้สึกไม่สบายใจ ภรรยาของเขาเป็นแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?
หรือว่าจะเป็นเพราะทำใจไม่ได้เรื่องน้ำมัน?
เฮ้อ! เงินเดือนเขาทุกเดือนออกจะเยอะ ใช้น้ำมันแค่นี้ไม่ได้?
“ที่เหมยเหมยพูดก็มีเหตุผล ร่างกายคือตัวปฏิวัติของเงิน ปี้อวิ๋นฝีมือการทำอาหารของเธอนี่ต้องให้เหมยเหมยสอนแล้วนะ เธอดูกับข้าวที่เหมยเหมยทำวันนี้สิอร่อยมาก” อู่เจิ้งซือพูดอย่างมีเจตนาและมองไปยังเหอปี้อวิ๋น
อู่เหมยยิ้มอย่างเขินอายและพูดขึ้นเสียงดัง “ความจริงฝีมือของแม่ก็ดีนะคะ แม่แค่ทำใจไม่ได้ที่จะต้องใส่น้ำมันเยอะๆ และทำใจไม่ได้ที่จะซื้อเนื้อ เงินเดือนของอาจารย์จางยังสูงไม่เท่าของพ่อเลย แต่ทุกครั้งที่อาจารย์แม่จางย่างเนื้อ ย่างเยอะกว่าบ้านของเราอีกนะ เพราะอย่างนี้ร่างกายของอาจารย์จางถึงได้กำยำกว่าพ่อไง”
สีหน้าและแววตาของอู่เจิ้งซือเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด บ้านของอาจารย์จางมีลูกชายสี่คนที่ต้องกินข้าว ภรรยาก็คอยทำหน้าที่เป็นแม่บ้านไม่มีเงินเดือน พอเขารู้ว่าอาหารการกินของบ้านอื่นกลับดีกว่าบ้านเขาเอง นั่นยิ่งทำให้อู่เจิ้งซือรู้สึกไม่สบายใจและไม่พอใจต่อตัวเหอปี้อวิ๋น
“อาจารย์แม่จางของลูกถือว่าทำหน้าที่จัดการดูแลบ้านได้ดี แต่แม่ของลูกนี่เทียบกับเธอไม่ได้เลย ต้องหัดเรียนรู้บ้างถึงจะดี” อู่เจิ้งซือมองไปทางเหอปี้อวิ๋นอย่างสื่อความหมาย บ่งบอกเป็นนัยๆ ให้เธอรับรู้ถึงความไม่พอใจของเขา
เมื่อก่อนเรื่องอาหารการกินในบ้านเป็นแบบนี้มาตลอดซึ่งอู่เจิ้งซือก็คุ้นชินแล้ว แต่พอวันนี้เขาได้กินกับข้าวฝีมืออู่เหมย อู่เจิ้งซือกลับถูกกระตุ้นปุ่มแยกรสอาหารและทำให้เขาทนต่อรสชาติแย่ๆ แบบเดิมไม่ไหวอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดไม่กี่ประโยคของอู่เหมยก็มีผลต่อตัวเขามาก อาจารย์จางหาเงินได้น้อยกว่าเขา แต่ทำไมเรื่องการกินถึงดีกว่าเขาได้ล่ะ?
เหอปี้อวิ๋นจัดการดูแลบ้านอย่างไรกัน?
คำพูดของอู่เจิ้งซือทำให้ใจของเหอปี้อวิ๋นจมลึกไปถึงก้นบึ้ง นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกถึงความอัปยศที่แท้จริง อยู่ดีๆ คุณอู่กลับพูดว่าเธอเทียบไม่ได้กับยัยอาจารย์แม่จางที่เป็นหญิงสาวบ้านนอกและไม่มีวัฒนธรรมเนี่ยนะ?
บ้านตระกูลจางไม่มีแม้แต่ทีวีสักเครื่อง มีเพียงแค่เครื่องเย็บผ้าเก่าๆ เครื่องเดียว บ้านจนยิ่งกว่าเสียงสั่นของกระดิ่ง เงินแค่นั้นที่มีอยู่ใช้เลี้ยงปากท้องก็หมดไปแล้ว
เทียบกับครอบครัวของเธอได้หรือ?
แต่คำพูดนี้เธอจะพูดออกไปไม่ได้ เพราะตอนนี้อู่เจิ้งซือกำลังถูกยัยเด็กนี่หลอกล่อให้หลงกลจนโงหัวไม่ขึ้น พูดออกไปจะหาว่าเธอหลีกเลี่ยงปัญหาอีก อีกหน่อยค่อยหาวิธีพูดกับอู่เจิ้งซือด้วยเหตุผล
“ไม่ใช่เพราะในหนังสือบอกว่าให้กินผักเยอะๆ และกินน้ำมันให้น้อยลงหรอกเหรอ? ในเมื่อพวกเธอไม่พอใจ งั้นต่อไปฉันจะใส่น้ำมันให้เยอะขึ้น” เหอปี้อวิ๋นฝืนยิ้มออกไปแต่ในใจเธอกลับแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ
“แล้วทำไมแม่เอาแต่ทำซุปไก่ตุ๋น เป็ดตุ๋น และกระดูกหมูตุ๋นให้พี่ล่ะ? ไม่แปลกเลยที่พี่จะมีกลิ่นเต่าได้ เป็นเพราะกินเนื้อเยอะแน่ๆ” อู่เหมยกึ่งพูดล้อเล่นกึ่งพูดเหน็บแนมออกไป
จากตอนแรกที่อู่เจิ้งซือมีสีหน้าดีขึ้น แต่พออู่เหมยพูดขึ้น เขากลับเริ่มระแวงและคิดมั่วไปหมด ถ้าลูกสาวคนเล็กไม่พูดเขาคงจะนึกไม่ถึง แต่พอเธอพูดออกมาเขากลับรู้สึกไม่สบายใจ
ลูกสาวคนโตสุดที่รักของเหอปี้อวิ๋น แน่นอนว่าเธอไม่มีทางทำเรื่องที่จะเป็นผลเสียต่อเยวี่ยเยวี่ยได้ ดังนั้นประโยคที่เธอเพิ่งพูดไปว่าให้กินผักและลดการกินน้ำมันเพราะไม่ดีต่อร่างกาย ทั้งหมดนั้นมันดูไม่สอดคล้องกัน!
ปกติอู่เจิ้งซือไม่ได้เป็นคนใจกว้างขนาดนั้น เขาจมลึกอยู่กับความคิดของตัวเอง ทำไมจู่ๆ อู่เหมยถึงยุยงขึ้นมา แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา รอยยิ้มก็ค่อยๆ จางหายไป
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 164 ยุยงได้สำเร็จ
เหอปี้อวิ๋นอยู่กินกับอู่เจิ้งซือมาหลายสิบปี เธอเข้าใจถึงนิสัยใจคอของคนที่ร่วมนอนหมอนคู่เป็นอย่างดี อย่างเช่นตอนนี้ที่เธอรู้ได้ถึงความเคลือบแคงใจของอู่เจิ้งซือซึ่งนั่นทำให้ใจเริ่มสั่นไหว อดไม่ได้ที่อยากจะลากอู่เหมยเข้าไปในห้องแล้วตีแรงๆ ให้หลาบจำ
ใจของอู่เยวี่ยได้จมดิ่งอยู่กับความเงียบ เธอนึกโกรธในคำพูดของอู่เหมยที่ต่อว่าเธอเรื่องกลิ่นเต่า เธอฝืนยิ้มและพูดออกไปเสียงนุ่ม “อันที่จริงหนูก็รู้สึกว่ากับข้าวบ้านเรามันดูธรรมดาและจืดชืดไปหน่อย กับข้าววันนี้ที่อู่เหมยทำอร่อยมากเลย แม่คะ หรือต่อไปนี้เราให้อู่เหมยมาทำกับข้าวดีไหม? เธอดูมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารนะ!”
เธอพูดไปพร้อมกับใช้ขาที่อยู่ใต้โต๊ะสะกิดเหอปี้อวิ๋น จากตอนแรกที่เหอปี้อวิ๋นโกรธลูกสาวคนนี้ที่ไม่ยอมช่วยเธอพูดอะไร แต่พอฟังที่อู่เยวี่ยพูดจบ เธอจึงพูดเสริมตามน้ำไป “การทำกับข้าวเป็นสิ่งที่ต้องใช้พรสวรรค์จริงๆ แต่ฉันไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เลย ไม่อย่างงั้นต่อไปก็ให้อู่เหมยมาดูแลเรื่องกับข้าวเถอะ คุณอู่จะได้กินแล้วรู้สึกดีด้วย”
อู่เหมยแอบด่าออกไปเงียบๆ และรีบแย่งพูดต่อหน้าอู่เจิ้งซือ “หนูต้องเรียนหนังสือ อีกอย่างบ้านเราจะให้เด็กที่อายุแค่สิบสองมาทำกับข้าวให้เหรอ? บ้านเราไม่ได้เหมือนบ้านของพี่ซูหานสักหน่อยที่มีแม่เป็นอัมพาตขยับไม่ได้ แต่ต่อให้เป็นแบบนั้นจริง คงไม่ถึงกับให้หนูทำหรอก เพราะยังมีพี่อยู่ทั้งคน!”
เหอปี้อวิ๋นโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ยัยเด็กนี่กล้าแช่งเธอให้เป็นอัมพาตเหรอ?
แม้ว่าอู่เจิ้งซือจะชอบฝีมือการทำอาหารของลูกสาวคนเล็กมาก แต่เขาก็ยังมีเหตุผลพอและรู้ว่าหากฟังคำพูดของเหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ย ผู้คนทั่วทั้งตึกนี้คงได้หัวเราะเยาะเขา
“เหมยเหมยบอกว่าแค่ใส่น้ำมันเยอะขึ้นไม่ใช่เหรอ? เงินเดือนทุกเดือนของผมเอาไปซื้อน้ำมันกับเนื้อเพิ่มคงไม่มีปัญหาใช่ไหม? แต่ถ้าไม่พอจริงๆ ก็เอาเงินเดือนของคุณออกมาใช้บ้าง ไม่ว่ายังไงคุณก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านนี้ ไม่ใช่คนนอก”
อู่เจิ้งซือก้มหน้าลงและนึกถึงเรื่องเงินเดือนของเหอปี้อวิ๋นที่ปกติเธอจะใช้จ่ายกับทางบ้านพ่อแม่เธอ แน่นอนว่าเขารู้เรื่องนี้ดี เพียงแต่เหอปี้อวิ๋นเป็นคนปากหวานพออยู่บนเตียงพูดจาดีหน่อยเรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไป แต่ความไม่พอใจก็ไม่ได้หายไปด้วยกลับกลายเป็นค่อยๆ สะสมขึ้นเรื่อยๆ ในใจ สั่งสมจนนานวันเข้าความโกรธแค้นก็ยิ่งทวีคูณ
ครั้งนี้อู่เหมยได้ก่อเรื่องวุ่นวายจนบรรยากาศในบ้านอึมครึมไปหมด และเธอยังค่อยๆ กระตุ้นความแค้นเคืองที่ถูกซ่อนไว้ในใจของอู่เจิ้งซือขึ้นมา เขาพร้อมที่จะปะทุได้ทุกเมื่อ หากได้รับการกระตุ้นจากอู่เหมยอีกเพียงนิดต้องระเบิดออกมาแน่
แต่เขาเป็นคนอ่อนโยน ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่เคยใช้คำพูดคำจาที่รุนแรง เมื่อครู่ที่พูดออกไปคือเขาหมดความอดทนแล้วจริงๆ สีหน้าที่ปรากฏของเหอปี้อวิ๋นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เธอมองอู่เจิ้งซือด้วยสายตาที่ยากจะเชื่อได้
อู่เจิ้งซือถอนหายใจออกมาเบาๆ และหันกลับเข้าห้องไปโดยไม่มองเหอปี้อวิ๋นเลย
อู่เยวี่ยเริ่มกระวนกระวายในใจขึ้นมา เท่าที่จำความได้นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อพูดจากับแม่แรงขนาดนี้!
อู่เหมยกินข้าวจนหมดชามอย่างอารมณ์ดีและยังคีบเนื้อกินต่ออีกหลายชิ้น อิ่มอกอิ่มใจจนต้องเรอออกมา เธอนำชามที่กินเสร็จไปวางในอ่างล้างจาน และกลับเข้าไปในห้องเพื่อทำการบ้าน ยกพื้นที่ด้านนอกตรงนั้นไว้ให้กับสองแม่ลูก
เหอปี้อวิ๋นภายในใจรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก บางคำพูดของอู่เจิ้งซือทำให้เธอตั้งรับไม่ทัน หรือจะต้องเอาเงินเดือนส่วนของเธอมาใช้จริงๆ หรือ?
ไม่ๆๆ ไม่ได้แน่ ถ้าเอาเงินเดือนของเธอมาใช้ แล้วทางพ่อแม่เธอจะทำอย่างไร?
ความจริงอู่เยวี่ยก็ไม่ค่อยพอใจต่อการที่เหอปี้อวิ๋นใช้เงินไปกับทางบ้านตายายเท่าไหร่ แต่เหอปี้อวิ๋นคอยทำตามที่เธอขอทุกอย่าง เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องนี้เธอคงไม่ปล่อยไว้
“แม่คะ แม่ก็ทำตามที่พ่อบอกเถอะ อย่าทำให้พ่อไม่พอใจเลย” อู่เยวี่ยเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงเบา
เหอปี้อวิ๋นโบกมือไปมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “เยวี่ยเยวี่ยลูกไปทำการบ้านเถอะ อย่าสนใจเรื่องนี้เลย”
อู่เยวี่ยทำปากคว่ำด้วยความไม่พอใจ เธอไม่พอใจต่อการกระทำของเหอปี้อวิ๋นและยิ่งไม่พอใจต่อการกระทำของอู่เหมย หากไม่ใช่เพราะยัยโง่นั่นที่ยุยงให้แตกหัก พ่อก็คงไม่โกรธถึงขนาดนี้
จะยังไงก็ช่าง แต่ตอนนี้กลับเข้าห้องก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้เธอสอบได้ที่หนึ่ง เธอก็ยังคงเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยในใจของพ่อเสมอ เธอจะไม่สนใจเรื่องว้าวุ่นใจของแม่แล้ว ขอแค่เงินในส่วนเธอไม่ลดลงก็พอแล้ว
…………………………………………………………………………………………..