ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 167 ใจร้ายไม่ลง + ตอนที่ 168 ตอบแทนน้ำใจซึ่งกัน
ตอนที่ 167 ใจร้ายไม่ลง
ลุงหมิงหันหน้าไปมองเหยียนหมิงซุ่น พลางหัวเราะถาม “นายไม่เสียดายเหรอ?”
อย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้ ว่าเด็กคนนี้ฉลาดแค่ไหน เมื่อก่อนเขายอมให้เพราะเป็นของเล่นที่ไม่เข้าตานัก ส่วนของดีๆ เขาเก็บไว้เองหมด ชามใบนี้ถึงแม้จะแตกไปบ้าง แต่เป็นถึงเตาเผาจุน ราคาต้องไม่ใช่น้อยๆ แน่ แต่เจ้าเด็กนี่จะไม่เก็บไว้เองเหรอ?
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ พูดด้วยออกไปอย่างเหมาะสม “ช่วงนี้ผมร้อนเงิน ยาของยายเริ่มหมดแล้ว หากลุงหมิงจะรับไว้ ชามนี้มันเป็นของที่ดีที่สุดแล้ว”
คำพูดของเขาปะปนไปด้วยทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก ที่ยายเขาป่วยมันคือเรื่องจริง แต่เรื่องร้อนเงินนั้นกลับไม่ใช่ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาร่วมมือกับลุงของเขารับซื้อพวกของลายครามแล้วเอาไปขายต่อในราคาที่สูงกว่า หากเขาซื้อโสมให้ยายกินทุกวันยังทำได้เลย ที่เขาต้องการจะส่งต่อชามแตกๆ ใบนี้ นั่นเป็นเพราะในมือเขายังมีของที่ดีกว่า
ครั้งนี้ลุงเขาไปได้ของจากฉางอันมาไม่น้อย แค่ดูผ่านๆ ก็รู้ว่าเป็นของดีที่ได้ราคา ของทุกชิ้นเมื่อเทียบกับชามงอบเคลือบลายแดงที่ทำจากเตาเผาจุนใบนี้แล้ว ยังมีราคาสูงกว่ามาก ลุงหมิงรู้ว่าลุงของเขาไปที่ฉางอันมา หากยังยังทำเหมือนเดิมแบบนี้ เรื่องเหตุผลและน้ำใจคงไม่ต้องพูดถึง
ถึงอย่างไรลุงหมิงรับเขาเข้าองค์กรก็ถือว่าครึ่งหนึ่งของเขามีศักดิ์เป็นอาจารย์ เกียรติและมิตรภาพระหว่างกันคงเลี่ยงไม่ได้
เขาวางแผนไว้ตั้งแต่แรก ถือโอกาสในช่วงสองปีที่ยังไม่เข้มงวดนี้ เขาได้ให้ลุงกักตุนของไว้ในบ้านเยอะหน่อยเพราะอีกไม่นานของพวกนี้จะกลายเป็นเงินทุนในการเริ่มต้นของเขา เขาอยู่ในที่ลับ ลุงอยู่ในที่แจ้ง ลุงหลานสองคนช่วยกันขยันขันแข็ง อีกหน่อยเขาจะต้องทำให้เหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางแหงนหน้าขึ้นมามองพวกเขาให้ได้
ลุงหมิงวางชามงอบไว้บนโต๊ะและไม่ได้รีบร้อนที่จะคุยเรื่องราคา แต่กลับถามด้วยความเป็นห่วง “อาการป่วยของยายนายยังไม่ดีขึ้นอีกเหรอ?”
เหยียนหมิงซุ่นส่ายหน้าไปมา ใบหน้าเศร้าสลด “ตั้งแต่ที่แม่ผมจากไป อาการของยายก็ไม่ดีขึ้นเลย”
“ครั้งก่อนที่ฉันแนะนำหมอจีนให้ก็ไม่ได้ผล?”
“หมอมีความสามารถในการรักษาที่สูงมาก แต่เขาบอกว่าต้องใช้โสมมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยา ไม่อย่างนั้นยาที่กินไปก็ไม่มีผล นี่เป็นเพราะผมต้องการเงินเพื่อไปซื้อโสมร้อยปีไง!” เหยียนหมิงซุ่นตอบ
ลุงหมิงรู้สึกโล่งอกที่การรักษาของหมอจีนได้ผล เขาห่วงหน้าตาและศักดิ์ศรีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากแนะนำไปรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น เขาคงขายหน้ามาก แต่โสมร้อยปีอะไรนั่นก็หายากนี่!
“นายไม่ต้องไปเก็บเองหรอก เดี๋ยวนี้ตามท้องตลาดมีขายโสมภูเขาเยอะแยะ นายดูเองก็ดูไม่ออกหรอก เอาอย่างนี้ไหม ฉันจะลองช่วยนายถามจากคนอื่นดู ได้เรื่องยังไงแล้วจะมาบอกนายอีกที” ลุงหมิงพูด
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณลุงมากครับ” เหยียนหมิงซุ่นโค้งตัวลงเพื่อเป็นการขอบคุณ
“นายยังไม่ต้องขอบคุณหรอก โสมนั่นฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะหาได้ไหม ทุกวันนี้โสมป่าก็น้อยลงไปเรื่อยๆ อย่าว่าเป็นร้อยปีเลย แค่ห้าสิบปียังหาได้ยาก” ลุงหมิงถอนหายใจ
เหยียนหมิงซุ่นมีสีหน้าสลดลง แต่ในทันทีกลับปรากฏความมั่นใจและแน่วแน่ หากว่าหาไม่ได้จริงๆ อย่างมากก็แค่ไปฉางไป๋ชานด้วยตัวเองสักครั้ง ถ้าเพื่อยายแล้วเขาจะต้องหาโสมร้อยปีให้เจอ เขาไม่มีแม่แล้วคนหนึ่ง เขาจะสูญเสียยายไปอีกคนไม่ได้
ลุงหมิงชื่นชมในตัวเด็กหัวรั้นคนนี้เป็นอย่างมากและเห็นใจต่อชีวิตของเด็กคนนี้ ไม่อย่างนั้นเมื่อสองปีก่อนเขาคงไม่สอนหมิงซุ่นประเมินของลายครามพวกนี้หรอก เพียงแต่ว่า…
“หมิงซุ่น นายยังใจร้ายไม่พอ ถ้าเป็นลุง ลุงจะไม่ยอมทำดีกับลูกของแม่เลี้ยงเด็ดขาด นายดีกับน้องของนายเกินไป” ลุงหมิงพูดเตือนสติ
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเยาะให้กับตัวเขาเอง “เมื่อก่อนถานซูฟางขังผมไว้ในห้องดำ หมิงต๋าที่ยังไม่ถึงสามขวบมักจะแอบเอาข้าวมาให้ผม ทุกครั้งที่ถานซูฟางตีผม น้องก็จะเอาตัวเองมายืนบังด้านหน้า ผมใจร้ายกับเขาไม่ได้”
ลุงหมิงหัวเราะเยาะในใจ “ไผ่ไม่ดีแตกกอที่ดีได้ พ่อแม่ที่ไม่ดีแต่มีลูกที่กตัญญู นึกไม่ถึงว่าเหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางจะเลี้ยงกระต่ายขาวอยู่ น่าสนใจดี!”
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 168 ตอบแทนน้ำใจซึ่งกัน
ลุงหมิงถามต่อ “แล้วต่อจากนี้จะรับมือกับพวกเขายังไง?”
ใบหน้าเย็นชาของเหยียนหมิงซุ่นเริ่มปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้นราวกับเขากำลังประชดตัวเอง เขาดูเฉยเมยและพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ใช่ว่าถานซูฟางอยากจะอยู่เหนือคนอื่นเหรอ?”
ลุงหมิงพูดอย่างตกใจ “นายบ้าหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่านายอยากให้คนคนนั้นอยู่เหนือคนอื่น? นายลืมไปแล้วเหรอว่าเขาเคยทำกับนายยังไงบ้าง?”
“แน่นอนว่าไม่ลืม ผมจะลืมลงได้ไงล่ะ? มีประโยคหนึ่งที่บอกว่า ยิ่งปีนขึ้นที่สูงเท่าไหร่ ตกลงมาก็ยิ่งเจ็บ ถานซูฟางจะต้องมองตัวเองหล่นลงมาจากหลังคนอื่นจนกลายเป็นคนชั่วที่ใครก็ต้องถุยน้ำลายใส่หน้า ความรู้สึกของเขาในตอนนั้นคงจะยอดเยี่ยมที่สุด”
เหยียนหมิงซุ่นคว่ำปากลงเล็กน้อยด้วยแววตาที่เป็นประกาย แม้เค้าโครงใบหน้าจะไม่ปรากฏความอ้อนแอ้นในวัยเยาว์ แต่รังสีความดุร้ายจากตัวเขากลับทำให้ลุงหมิงไม่กล้าแม้แต่จะมอง และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำคนแทบไม่เชื่อนั่นคือความอดทน มันยากที่จะคาดเดาความตื้นลึกหนาบาง เขามีสิ่งใดที่เหมือนกับเด็กที่เพิ่งจะอายุสิบหกหรือ?
คนอย่างเขาในภายภาคหน้าทำการใดจักต้องสำเร็จ!
“ในใจนายมีคำตอบอยู่แล้วก็ดี นายเอาชามงอบเคลือบลายแดงใบนี้มาได้ถูกเวลาจริงๆ เมื่อหลายวันก่อนบังเอิญมีลูกค้าเก่ามาถามหาชามงอบเคลือบลายแดง แต่มาวันนี้นายเอามาให้ถึงที่เลย ลุงจะพูดตามตรงนะ ลูกค้าเก่าคนนั้นเสนอราคาให้สองพัน ลุงจะรับไว้หนึ่งพันห้าร้อยนายจะว่ายังไง?”
เจตนาข้อแรกของลุงหมิงคืออยากสานสัมพันธ์กับเหยียนหมิงซุ่น ข้อสองคือมีความคิดอยากช่วยเหลือเด็กคนนี้ ดั่งที่โบราณได้ว่าไว้ สามสิบปีก่อนสายน้ำและสายลมอาจพัดไปทางทิศตะวันออก สามสิบปีหลังกลับพัดไปทางทิศตะวันตก ใครจะรู้ได้ว่าอาจจะมีสักวันที่เขาจะต้องขอความช่วยเหลือจากเหยียนหมิงซุ่น!
เหยียนหมิงซุ่นเป็นคนฉลาดหลักแหลม เขาแค่ฟังก็สามารถรับรู้ได้ว่าลุงหมิงคิดอะไรอยู่ เขาจึงไม่ได้ปฏิเสธต่อเจตนาของลุงหมิง แต่กลับหัวเราะและพูดขึ้น “ผมก็จะไม่เกรงใจลุงหมิงแล้วนะครับ วันข้างหน้าหากว่ายังมีเหยียนหมิงซุ่นคนนี้อยู่ เราจะต้องได้ตอบแทนน้ำใจซึ่งกันแน่นอน”
ลุงหมิงได้ฟังคำพูดนี้ก็สบายใจจนยิ้มตาหยี เขาเปิดตู้เซฟที่วางอยู่ด้านข้างและหยิบเงินออกมาหนึ่งกอง ใช้นิ้วแต้มน้ำลายแตะลงบนธนบัตรเพื่อนับออกมาหนึ่งร้อยห้าสิบใบ เป็นกองหนาๆ แล้วโยนลงบนโต๊ะ
“นายลองนับดูก่อน”
เหยียนหมิงซุ่นไม่แม้แต่จะมอง เขาใช้มือหยิบเงินกองนั้นยัดลงไปในกระเป๋า ลุงหมิงหัวเราะชอบใจต่อการกระทำนั้น ที่เขาชอบเด็กคนนี้ก็เพราะความสบายๆ เป็นกันเอง ไม่เหมือนกับคนบางคน เงินกองเดียวนับแล้วนับอีกเป็นสิบรอบ เฮ้อ! พี่ใหญ่หมิงอยู่แถวตลาดหนานสุ่ยมาสิบกว่าปี ทำไมจะไม่เข้าใจเงินเล็กน้อยแค่ไม่กี่ใบนั่น?
“ผมไม่กวนลุงหมิงแล้ว ไปก่อนนะครับ”
เหยียนหมิงซุ่นรูดปิดซิบกระเป๋า และบอกลาลุงหมิง ลุงหมิงโบกมือเพื่อบ่งบอกให้เขาตามสบาย และพูดขึ้นอย่างไม่มีชีวิตชีวา “กระดาษ หมึก และของอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกหยิบไปใช้สิ เลือกเอาเองเลย”
“ได้ครับ!”
เหยียนหมิงซุ่นตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ เขารู้ว่าลุงหมิงไม่ได้พึ่งกระดาษหรือหมึกพวกนี้เพื่อหาเลี้ยงชีพ ร้านกระดาษนี้เป็นเพียงแค่ป้ายบังหน้าร้านก็เท่านั้น แต่หน้ากากจริงๆ ที่สวมอยู่คือของชิ้นเก่าอันทรงราคาพวกนั้น!
อู่เหมยกับสยงมู่มู่ไม่มีอะไรให้ทำเลยอุ้มฉิวฉิวไปเดินเล่นแถวๆ แผงลอยขายของ บางร้านจัดวางของจนเต็มแผงแต่เจ้าของแผงกลับขายของตามอารมณ์ อยากขายก็ขาย ไม่อยากขายก็ไม่ขาย อาจเพราะเห็นว่าพวกเขาสองคนเป็นแค่เด็ก รู้ว่าไม่มีเงินให้หารายได้ด้วยแถมยังเสียเวลาพวกเขา
ทุกร้านจัดวางของคล้ายๆ กันหมด เงินโบราณที่เป็นสนิม ถ้วยชามกระป๋องสภาพแตกๆ และสกปรก และยังมีพวกกล่องใส่พู่กันแบบโบราณ รวมถึงของอื่นๆ อีกมาก ดูคล้ายกับพวกของเล่นที่ชำรุดทรุดโทรม
ในเวลานี้คนที่มาเดินชอปปิงซื้อของเริ่มเยอะขึ้น มีทั้งคนในพื้นที่ นักท่องเที่ยวจากต่างเมืองและมีฝรั่งผมทองตาสีฟ้า เป้าหมายหลักของทุกคนเหมือนกันคือมาคอยจับผิดของเก่า
“เราไปซื้อกระดาษกันเถอะ แปดถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นเป็นของปลอม อีกอย่างของจริงพวกเราก็ดูไม่ออก” อู่เหมยไม่ได้ให้ความสนใจมาก
สยงมู่มู่กลับออกแรงยึดต้านตัวเองไว้ “รีบทำไม? ยังมีเวลาเหลือ เดินๆ ดูไปก่อนสิ ถ้าหากว่าโชคดีแล้วเก็บได้โชคก้อนใหญ่ที่ตกลงมาพอดี แบบนั้นเธอจะยังกลุ้มใจเรื่องเงินอีกเหรอ?”
อู่เหมยจ้องเขาตาเขม็ง บนพื้นแค่เงินสักเหรียญยังยากที่จะเก็บได้ ยังคิดว่าโชคจะหล่นมาให้เก็บอีกเหรอ?
ฝันกลางวันแสกๆ หรือไง!
“ต๊อก ต๊อก”
ฉิวฉิวที่อยู่ในอ้อมแขนของอู่เหมยร้องขึ้นกระทันหัน และบิดตัวดิ้นไม่หยุด
…………………………………………………………………………………………..