ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 171 เงินโบราณ 6 เหรียญ + ตอนที่ 172 ซื้อกระดาษวาดรูปแทนยัยตัวแสบ
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 171 เงินโบราณ 6 เหรียญ + ตอนที่ 172 ซื้อกระดาษวาดรูปแทนยัยตัวแสบ
ตอนที่ 171 เงินโบราณ 6 เหรียญ
อู่เหมยนึกถึงคำที่สยงมู่มู่พูดก่อนหน้านี้ ทำให้ในใจเธอไม่มีความรู้สึกใดเลย ฉิวฉิวอาจดูฉลาด มีไหวพริบ แต่มันหาของมีค่าได้ที่ไหนล่ะ?
มีแค่ในนิยายเท่านั้นที่จะปรากฏพวกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ในชีวิตจริงจะมีได้อย่างไร?
แต่ต่อให้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่จริง คงไม่มีทางมาอยู่ข้างๆ คนโชคร้ายอย่างเธอได้หรอก?
ทั้งสองชาติรวมกัน ทุกครั้งที่เธอได้สัมผัสกับรางวัล ก็คงมีแต่ ‘รางวัลเข้าร่วม’ น่ะสิ!
ฉิวฉิวไม่มีปฏิกริยากับสิ่งของอื่นเลย มีเพียงแค่เงินโบราณที่อู่เหมยลูบสัมผัสอยู่นั่นถึงจะทำให้หางของฉิวฉิวสะบัดไปมา ตัวอู่เหมยเองก็ไม่แน่ใจว่ามันส่ายหางเป็นปกติหรือเป็นเพราะต้องการชี้บอกอะไรบางอย่างกับเธอ?
เธอตัดสินใจไม่คิดมากและทำตามที่ฉิวฉิวชี้แนะโดยลูบเหรียญโบราณออกมาได้หกเหรียญ แต่ละเหรียญขึ้นสนิมจนดูไม่เป็นรูปเป็นร่าง มีอยู่หนึ่งเหรียญที่มองไม่เห็นแม้แต่ขอบ โยนทิ้งลงพื้นยังไม่มีใครอยากได้สิ่งของทรุดโทรมพวกนี้เลย
พอลูบเอาหกเหรียญนี้ออกมาได้ฉิวฉิวจึงเริ่มอยู่นิ่งขึ้นและหลับไป อู่เหมยลังเลอยู่พักหนึ่งถึงได้ตัดสินใจซื้อเหรียญโบราณทั้งหกเหรียญนี้ ในใจเธอแอบหวังว่าอาจโชคดีโดยบังเอิญ ถ้าหากเธอได้โชคก้อนใหญ่ขึ้นมาจริงๆ ล่ะ!
ถ้างั้นต้องลองเดิมพันดูสักครั้ง!
“คุณลุงคะ เงินพวกนี้ขายยังไงคะ?” อู่เหมยใช้มือรองเงินโบราณทั้งหกเหรียญแล้วถามเจ้าของร้าน
เจ้าของร้านยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา เขากางฝ่ามือและบอกราคา “ปกติเหรียญละห้าหยวน แต่เห็นว่าเธอยังเด็ก และร้านฉันยังไม่มีคนประเดิมซื้อ เพราะงั้นขายให้เธอหนึ่งหยวน”
อู่เหมยตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าต้องจ่ายห้าหยวนเลยหรือ?
เงินติดตัวเธอมีทั้งหมดแค่สิบหยวนกับอีกห้าเจี่ยว หกหยวนต้องเอาไปซื้อรองเท้า สี่หยวนห้าเจี่ยวจะต้องจ่ายค่าเรียนวาดรูปอาทิตย์หน้า หากเธอต้องจ่ายห้าหยวนนี้ไป เธอก็จะซื้อรองเท้าไม่ได้แล้ว
“คุณลุงคะ ลดให้หน่อยได้ไหม? หนูไม่ได้พกเงินมาเยอะ” อู่เหมยเริ่มขอต่อราคา เมื่อชาติก่อนเธอได้ยินว่าที่ตลาดหนานสุ่ยให้ราคาสินค้าที่สูงเกินกว่าความเป็นจริงมาก ถึงจะต่อราคาให้ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งยังเทียบไม่ได้กับราคาที่ตั้ง เพราะฉะนั้นการจะซื้อสินค้าอะไรก็ตามจะต้องต่อราคาเพื่อให้ได้สินค้าที่สมกับราคา
เจ้าของร้านไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกับกิจการนี้ จะหาเงินอะไรได้กับแค่เด็กคนเดียว สำหรับเขาแล้วนักท่องเที่ยวต่างชาติกับคนต่างเมืองถึงจะทำให้ได้กำไร เพียงแต่ช่วงเช้าแบบนี้มีคนมาประเดิมซื้อของแล้วถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะนั่นถือว่าเป็นลางดี
“ถ้างั้นเธอลองเสนอราคามาสิ” เจ้าของร้านยิ้มตาหยีและพูดขึ้น เวลาว่างๆ แบบนี้ได้หยอกล้อสาวน้อยก็ยังดี
เศษเงินกองนั้นเขาได้มาในราคาเพียงหนึ่งหยวนจากคุณยายที่อยู่แถวชนบท คุณยายบอกว่าเป็นกระป๋องเงินที่ขุดออกมาจากดินบริเวณบ้านหลังเก่าที่เตรียมรื้อและสร้างใหม่ กระป๋องเงินเก่าแลกมาได้หนึ่งหยวนก็ทำให้คุณยายดีใจแทบเสียสติ เขาเองก็ดีใจแทบเสียสติเหมือนกันเพราะค่าของเงินหนึ่งหยวน เขาสามารถขายออกไปได้ในราคาที่สูงกว่าหลายสิบเท่า!
สยงมู่มู่รู้สึกว่าอู่เหมยทำตัวไม่สุภาพเลย เงินแค่ห้าหยวน ทำไมต้องไปต่อราคาด้วย?
เขาที่กำลังจะควักเงินออกมากลับถูกอู่เหมยที่เดินอ้อมไปทางด้านหลังถีบเข้าและกล่าวเตือนเสียงเบา “ของที่เป็นของฉัน ฉันซื้อเอง ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เล่นกับนายอีก”
สยงมู่มู่เดินไปอีกฝั่งด้วยความโกรธ ยัยบ้านี่เห็นความหวังดีของเขาเป็นความประสงค์ร้ายไปได้ เขาจะไม่สนใจเธออีกแล้ว แต่ผ่านไปไม่กี่นาทียัยนั่นก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีตะกุกตะกักและตีหน้าขึม
เขามันผู้ชายอกสามศอก ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเหมือนยัยนี่ อีกอย่างยัยแสบนี่ก็น่าสงสาร เขาถึงได้ยอมให้!
อู่เหมยคิดแล้วคิดอีก ไม่กล้าต่อราคาที่ต่ำเกินไป เธอจึงพูดออกไป “คุณลุงคะ ทั้งเนื้อทั้งตัวหนูมีแค่สองหยวน ลุงจะให้ไหมคะ?”
หากอู่เหมยจะต่อราคาเหลือแค่หยวนเดียวเจ้าของร้านก็จะยอมขายให้ สองหยวนเขายิ่งพอใจ แทบไม่ต้องกะพริบตาอะไรและตอบออกไปอย่างสบายใจ “เธอเอาไปสิ วันหลังมาเลือกของมีค่าที่ร้านลุงอีกนะ!”
อู่เหมยที่เห็นท่าทางสบายๆ ของเขาถึงได้รู้ว่าตัวเองต่อราคาสูงไป เธอรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้เธอควรจะต่อให้เหลือแค่ห้าเจี่ยว เฮ้อ! ตอนนี้เธอเสียหายไปตั้งหนึ่งหยวนกับอีกห้าเจี่ยวแน่ะ
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 172 ซื้อกระดาษวาดรูปแทนยัยตัวแสบ
ตัวหมากเมื่อวางไปแล้วก็ไม่ควรเสียดาย การต่อราคาเป็นธรรมดาที่เราไม่ควรจะเสียดายมัน อู่เหมยเสียใจกับเงินที่จะต้องเสียไป แต่จำต้องหยิบเงินหนึ่งหยวนออกมาสองใบ เธอกัดฟันแน่นและยื่นให้กับเจ้าของร้าน ใบหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวดของเธอทำให้สยงมู่มู่ที่มองอยู่ก่อนหน้าทำหน้าเรียบนิ่ง
ยัยเด็กไร้มารยาทคนนี้ ต่อไปเขาจะไม่ยอมออกบ้านไปไหนพร้อมกับยัยนี่อีกแล้ว ขายขี้หน้า!
ดูลักษณะเจ้าของร้านจะมีความสุข แถมเขาก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงใจที่รับเงินสองหยวนนั้นไว้ แต่นัยน์ตาเป็นประกายและมองเด็กคนนี้ถือว่ามีเงินเหมือนกัน สองหยวนสำหรับเขาก็ถือว่าเป็นการหาเงินได้แล้ว
อู่เหมยมองเหรียญสกปรกไม่กี่เหรียญในมือด้วยความรังเกียจ เธอเบ้ปากมุ่ยหน้าแล้วออกแรงทรมานฉิวฉิวไปครั้งหนึ่ง ทำให้รูปหน้าของเจ้ากระรอกเปลี่ยนรูปไป แบบนั้นถึงจะทำให้เธอรู้สึกว่าสบายใจขึ้น
ฉิวฉิวสบัดหางไปมาไม่หยุด ประสบการณ์น้อยกันเสียจริง มองสิ่งของที่คุณชายฉิวหาเป็นแค่ของธรรมดา?
อีกเดี๋ยวเจ้านายก็จะรู้ถึงข้อดีของมันแล้ว!
“เราไปซื้อกระดาษกันเถอะ” อู่เหมยมีท่าทีไม่พอใจ
กระดาษก็ยังไม่ได้ซื้อ แต่เงินสองหยวนได้ถูกจ่ายออกไปแล้ว เงินค่าเรียนของสัปดาห์หน้าก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ไหนมาจ่าย?
สยงมู่มู่ถามออกไปอย่างไม่พอใจ “ทำหน้ามุ่ยไปทำไม ค่าเรียนห้าหยวนเดี๋ยวฉันจ่ายให้ เธอค่อยทยอยคืนฉันทีหลัง”
“อ่อ ขอบใจนะ” อู่เหมยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ตอนนี้คงต้องเป็นแบบนี้แหละ แต่น้ำใจของสยงมู่มู่ที่เธอติดหนี้อยู่มันเริ่มจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
สยงมู่มู่ถออนหายใจอย่างทระนงและตอบ “ไม่ต้องขอบใจหรอก ต่อไปแค่อย่าทำหน้าบูดบึ้งบ่อยๆ ก็พอ”
“ไม่แล้วล่ะ ขาของนายยังเจ็บอยู่ไหม? หรือจะให้ฉันนวดแทนนาย?” อู่เหมยยิ้มอย่างไม่มั่นใจ เมื่อครู่ที่เธอถีบเขาถือว่าใช้แรงไปเยอะมากเหมือนกัน
“ยังไม่ไปซื้อกระดาษอีก? จะอยู่ตรงนี้รอให้เงินทองหล่นมาจากฟ้าหรือไง!” สยงมู่มู่ที่เดินไปได้ครึ่งทางแล้วแต่ไม่เห็นอู่เหมยเดินตามเขามาจึงหันกลับไปตะโกนใส่เธอ
อู่เหมยก้าวขาเล็กๆ ของเธอวิ่งตามเขาไป เหรียญกษาปณ์ที่อยู่ในถุงกระเป๋ากระทบกันเสียงดังกรุ๊งกริ๊งราวกับเสียงของกระดิ่งสั่น แต่เสียงมีความเบาและทุ้มกว่าซึ่งไม่ได้มีความน่าฟังเลย อู่เหมยไม่ชอบเสียงที่ดังจนน่ารำคาญ เธอจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อและยัดมันใส่ไว้ในกระเป๋า
เหยียนหมิงซุ่นวานให้พนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์หยิบกระดาษมาให้เขา เดิมทีเขาอยากได้กระดาษสีขาวมาทำกระดาษเลคเชอร์แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนเป็นกระดาษสำหรับวาดภาพ พอพนักงานร้านหยิบกระดาษวาดรูปปึกใหญ่ๆ ยื่นให้เขา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา
ทำไมเขาต้องอยากซื้อกระดาษวาดรูปให้ยัยตัวแสบนั่นด้วย?
อาจเป็นเพราะห่วงว่าเธอจะไม่มีเงินซื้อ เหยียนหมิงซุ่นคิดว่าคงเพราะเหตุผลนี้แน่นอน หรือว่าเขาใจอ่อนเกินไป!
“เท่าไหร่ครับ?” เหยียนหมิงซุ่นถามพนักงานร้าน
ถ้าเป็นกระดาษขาวทั่วไปเขาหยิบไปได้เลย แต่กระดาษวาดรูปราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ เขาถามออกไปพร้อมกับยื่นธนบัตรใบสิบหยวนให้เขาไป พนักงานยิ้มและทอนเงินให้เขาแปดหยวนห้าเจี่ยวและพูดขึ้นว่า “คนอื่นซื้อคือสองหยวน แต่เหยียนหมิงซุ่นมาก็คิดให้หนึ่งหยวนห้าเจี่ยวก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับ กระดาษนี่รบกวนเก็บไว้ให้ผมก่อนได้ไหม อีกสักพักผมจะกลับมาเอา”
เหยียนหมิงซุ่นโบกมือให้กับพนักงานร้าน ในเวลานี้แผงลอยที่ขายของคงจะจัดร้านเสร็จหมดแล้ว ก็ไม่แน่ว่าถ้าโชคดีเขาอาจจะจับได้ของดี นั่นถือเป็นวิธีการทดสอบสายตาที่ดีอย่างหนึ่ง
ฉิวฉิวที่อยู่ในอ้อมแขนของอู่เหมยเริ่มที่จะไม่อยู่นิ่ง เหมือนกับเมื่อครู่ที่มันต้องการให้อู่เหมยไปยังร้านแผงลอยกับมัน ของดีมักจะเจอได้ช่วงหลัง แต่ในเวลานี้มันกลับได้กลิ่นพวกของล้ำค่า
“ฉิวฉิวหยุดดิ้นได้แล้ว พี่ไม่มีเงินติดตัวแล้ว ไว้รอบหน้าเราค่อยมาซื้อดีไหม?” อู่เหมยพูดขึ้นเบาๆ ที่ข้างหูของมัน เธอรู้สึกผิดต่อสัตว์เลี้ยงของตัวเองที่ตัวเธอไม่มีความสามารถพอ เพราะขนาดของที่ฉิวฉิวชอบเธอยังซื้อให้ไม่ได้เลย
ฉิวฉิวยังคงมองไปยังร้านแผงลอยแต่ละร้านไม่วางตา เป็นเพราะตอนนี้ตัวของมันยังเล็กเกินไป ถ้ามันโตขึ้นอีกหน่อยกระเป๋าหน้าท้องของมันก็จะขยายขึ้น เฮ้อ! คุณชายฉิวอย่างมันจะเอาพวกของล้ำค่ายัดใส่กระเป๋าหน้าท้อง แบบนี้ก็ไม่มีใครหาเจอแล้ว
…………………………………………………………………………………………..