ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 181 มีเงินเลี้ยงข้าว + ตอนที่ 182 ไม่ยกให้
ตอนที่ 181 มีเงินเลี้ยงข้าว
“พวกนายอยากกินอะไร วันนี้ฉันเลี้ยงเอง!” อู่เหมยยิ้มและตบกระเป๋า แต่ด้านในดันมีเสียงร้องจิ๊ดๆ ให้ได้ยิน นั่นจึงทำให้อู่เหมยนึกขึ้นได้ว่าฉิวฉิวยังอยู่ในนั้น เธอถึงได้รีบอุ้มมันออกมา
“ฉิวฉิว ตอนนี้พี่มีเงินแล้ว ต่อไปนี้พี่จะซื้อของอร่อยให้แกกินทุกวันเลย” อู่เหมยกอดเจ้าตัวเล็กไว้และได้แต่จูบหอมตัวมันอยู่อย่างนั้น หน้าตาเธอดูมีความสุขมาก
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันยังต้องไปเดินแถวๆ ร้านแผงลอย คงไม่ได้ไปกินข้าวกับเธอนะ เอ่อ…ใช้ กระดาษวาดรูปนี่นะ ฉันยกให้เธอ”
เขาหยิบเอากระดาษที่เพิ่งซื้อก่อนหน้านี้จากพนักงานร้านออกมา แล้วยื่นให้กับอู่เหมย เธอรับกระดาษมาด้วยความดีใจ แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นของคุณภาพดีและราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ ด้วย
“ให้ฉันเอาเงินคืนพี่ดีกว่าไหม?” อู่เหมยรู้สึกเกรงใจ
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มออกมา “ไม่ต้องหรอก เธอยกเงินโบราณให้ฉันแล้วนี่ ให้มาก็ให้กลับถือว่าตอบแทนกันนะ!”
สยงมู่มู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ กระดาษแค่หนึ่งกองอย่างมากคงไม่เกินสองหยวน แต่เหรียญกษาปณ์หนึ่งเหรียญตั้งสองร้อยหยวน เกมหมากนี้เล่นได้เยี่ยมจริงๆ กลับไปจะต้องพูดกับยัยบ้านี่หน่อยแล้วว่าทำตัวเหมือนคนโง่ที่ยอมให้คนอื่นหลอกและยังยอมให้เขามาช่วยนับเงินอีก
เวลานี้ก็ใกล้จะเที่ยงวันแล้ว คนเดินไปมาขวักไขว่ประกอบกับเสียงเรียกขายของที่มีจังหวะและท่วงทำนอง ทำให้เกิดความครึกครื้นเป็นอย่างมาก เหยียนหมิงซุ่นเดินไปยังบริเวณที่มีคนพลุกพล่าน ทุกๆ สัปดาห์เขาจะมาที่นี่เพื่อจับหาของอย่างไม่ขาดช่วง ทำจนถึงตอนนี้ก็สองปีแล้วที่เขาสามารถเก็บเกี่ยวของมาได้ไม่น้อยเลย
“ต๊อก ต๊อก”
ฉิวฉิวเริ่มที่จะไม่นิ่งอีกครั้งมันขยับตัวตลอดเวลา เจ้านายมันมีเงินแล้วแบบนี้ก็สามารถซื้อของดีพวกนั้นได้แล้ว เมื่อเอาของดีไปขายแล้วแลกได้เป็นจำนวนเงินที่มากกว่ากลับมา แล้วเอาไปซื้อลูกกวาดอร่อยๆ ให้มันกิน และมันยังสามารถเอาลูกกวาดแสนอร่อยขึ้นไปบนภูเขาเพื่อสมคบกับกระรอกน้อยตัวเมีย หึๆ สุขสวรรค์ของเทพเจ้า!
อู่เหมยมั่นใจว่าฉิวฉิวไม่ใช่กระรอกธรรมดา ไม่เพียงแต่ฟังเข้าใจในคำพูดของเธอ กระทั่งมันสามารถหาของมีค่าได้ เหรียญกษาปณ์ทั้งหกเหรียญนั้นก็เป็นเพราะฉิวฉิวที่ต้องการให้เธอซื้อ หรือเป็นเพราะสวรรค์สงสารเห็นใจเธอถึงส่งฉิวฉิวลงมาให้ช่วยเหลือเธอ?
ตอนนี้ฉิวฉิวกำลังร้องไม่หยุดแบบนี้แสดงว่ามันต้องเจอของมีค่าอีกแล้ว แต่ในเวลาอันสั้นนี้เธอหาเหรียญกษาปณ์เจอได้ตั้งหกเหรียญ จนทำให้เธอกลายเป็นที่จับตามองมากพอแล้ว จะทำตัวให้ออกนอกกรอบเกินไปคงไม่ดีแน่
แม้อู่เหมยเองก็อยากรู้มาก ว่าสิ่งที่ฉิวฉิวหาเจอคือของดีอะไร แต่เธอก็พยายามอดกลั้นไว้ให้มากที่สุดและพูดจาดีๆออกไป “ฉิวฉิวอย่าดื้อสิ สัปดาห์หน้าเราค่อยมาซื้อดีไหม? หากว่ามีคนรู้ว่าแกสามารถหาของมีค่าได้ต้องไม่เป็นผลดีต่อตัวแกแน่ ให้พี่พาแกไปหาของอร่อยกินดีไหม?”
ฉิวฉิวไม่พอใจและสะบัดหางของมันไปมา ความสามารถของมันในตอนนี้ยังถือว่าต่ำเกินไป หากระวังให้มากกว่านี้คงจะดี คนไร้อำนาจย่อมถูกคนมีอำนาจรังแก!
สยงมู่มู่รอจนหงุดหงิดจึงได้พูดเร่ง “ไหนบอกจะเลี้ยงข้าวไง? มัวซุบซิบอะไรกับฉิวฉิวอยู่อีก? กระรอกอย่างมันจะฟังที่เธอพูดออกเหรอ?” …
ฉิวฉิวชูเท้าไปทางสยงมู่มู่อย่างเงียบๆ ไอ้บ้านี่รอก่อนเถอะ จะต้องมีสักวันที่ได้จะราดกลิ่นธัญพืชอันหอมหวนใส่ทั้งหัว!
“พวกเธอไปกินกันเถอะ เดินก็ระวังกันด้วยนะ!”
เหยียนหมิงซุ่นโบกมือลาและไม่ได้กังวลต่อเงินสองพันหยวนนั้น อู่เหมยอาจจะดูโง่ไปบ้างในด้านการเรียน แต่ในด้านอื่นๆ เธอกลับไม่โง่ ทำอะไรก็ดูหนักแน่น ยิ่งไปกว่านั้นข้างกายเธอยังมีปีศาจเจ้าเล่ห์อย่างสยงมู่มู่อยู่ คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่
อู่เหมยเองก็โบกไม้โบกมือตอบให้เหยียนหมิงซุ่น เธอออกไปจากตลาดหนานสุ่ยและถาม “นายอยากกินอะไร?”
“ซาลาเปาไข่ปูที่ภัตตาคารเฟิ่งหลาย เป็นทางกลับบ้านพอดี เธอคิดว่ายังไง?” สยงมู่มู่เลียริมปากตัวเอง เขาไม่ได้กินซาลาเปาไข่ปูมานานมากแล้ว รู้สึกอยากกินพอดีเลย!
“ได้สิ งั้นไปกินซาลาเปาไข่ปู แล้วก็ห่อกลับไปให้พ่อแม่นายด้วย” อู่เหมยพูดอย่างตรงไปตรงมา
ซาลาเปาไข่ปูร้านเฟิ่งหลายตอนนี้ลูกละสามเจี่ยว แต่ผ่านไปอีกยี่สิบปีราคาก็ขึ้นเป็นลูกละสิบหยวนแล้ว วัตถุดิบยังไม่แน่นเท่าตอนนี้เลย ไข่ปูนี่ใส่ลงไปน้อยจนน่าสงสาร แต่หมูแช่แข็งยังใส่ให้เยอะอยู่ แต่มันก็ไม่มีความอร่อย
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 182 ไม่ยกให้
ภัตตาคารเฟิ่งหลายอยู่บนถนนจงซาน มีระยะห่างจากอี้จงประมาณสิบกว่านาที อู่เหมยไปที่ร้านสินค้าคั่วแล้วชั่งเมล็ดสนครึ่งจิน[1] จากนั้นเธอได้วางฉิวฉิวกลับไปยังกระเป๋าเพื่อให้มันได้แทะกินสะดวก ถ้าอุ้มมันไว้ด้านนอกจะสะดุดตาเกินไป
เวลานี้ยังไม่ถึงเวลาทานอาหาร ลูกค้าของภัตตาคารเฟิ่งหลายจึงมีไม่มาก อู่เหมยกับสยงมู่มู่สั่งมาสี่เข่ง และหาที่นั่งที่ติดกับหน้าต่างเพื่อนั่งลง พวกเขาอดใจรอไม่ไหวที่จะเริ่มลงมือกิน ซาลาเปาไข่ปูของภัตตาคารเฟิ่งหลายมีอยู่สองแบบแบบแรกคือลูกใหญ่ อีกแบบหนึ่งคือลูกเล็กและมีน้ำซุปด้านใน
อู่เหมยกับสยงมู่มู่สั่งแบบลูกใหญ่ ในหนึ่งเข่งจะมีอยู่หนึ่งลูกและมีน้ำซุปด้านใน ผิวแป้งบางราวกับกระดาษ ด้านในเป็นซุปที่มีรสชาติดี มองจากแป้งด้านนอกยังสามารถมองเห็นน้ำซุปร้อนๆ ได้อย่างชัดเจน ราวกับซุปจะทะลักออกมาด้านนอกอยู่ตลอดเวลา
“หอมจัง!”
อู่เหมยสูดลมหายใจเข้าไปเต็มๆ แม้จะวางห่างจากเธอระยะหนึ่งแต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นสดใหม่ของน้ำซุป บ่งบอกได้ดีเลยว่าวัตถุดิบที่ใช้ในการทำซุปเพียงพอแค่ไหน แต่พอถึงช่วงหลังๆ ราคาของซาลาเปาก็เริ่มแพงขึ้น วัตถุดิบที่ใส่เข้าไปก็น้อยลงเรื่อยๆ!
เธอใช้มือจับรอยจีบด้านบนของซาลาเปา ซึ่งซาลาเปามีลักษณะคล้ายกับหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว แต่น้ำซุปที่อยู่ด้านในไม่ไหลทะลักออกมา พอที่จะเห็นได้ว่าพ่อครัวมีความสามารถสูงในการนวดแป้ง
เมื่อค่อยๆ กัดให้แป้งแตกเป็นรูเล็กๆ รอให้ไอร้อนระเหยออกไปแล้ว จึงค่อยๆ ดูดน้ำซุปแสนสดอร่อยเป็นคำเล็กๆ ซึ่งรสชาติของมันยากที่จะบรรยายออกมาได้ สรุปแล้วหลังจากนี้คงยากที่จะได้กินซาลาเปาไข่ปูรสชาติต้นตำรับแบบนี้
อู่เหมยกับสยงมู่มู่กลับไม่พูดไม่จา ทั้งคู่อดกลั้นเพื่อที่จะดื่มซดน้ำซุป เมื่อดูดน้ำซุปที่อยู่ด้านในจนหมดถึงจะค่อยกินแป้งที่ห่อด้านนอก แบบนั้นจะได้ไม่สิ้นเปลือง ทั้งคู่กินซาลาเปาไข่ปูไปคนละสองลูก ราดน้ำซุปเข้าไปเต็มกระเพาะ ขนาดเรอออกมายังมีแต่กลิ่นสดใหม่ของน้ำซุป
“อร่อยจังเลย” อู่เหมยตีพุงน้อยๆ ของตัวเองด้วยท่าทางอิ่มอกอิ่มใจ
อู่เหมยซื้อซาลาเปาน้ำซุปอีกสามเข่ง ราคาเข่งละสามเจี่ยวเหมือนกัน ลูกใหญ่ไม่สะดวกที่จะให้เธอห่อกลับ เพราะงั้นคงต้องได้ห่อแค่ลูกเล็ก สองเข่งนี้ซื้อให้พ่อแม่ของสยงมู่มู่ อีกหนึ่งเข่งซื้อให้อู่เจิ้งซือ เหมาะมากที่จะประจบสอพลอเขา
ช่วงที่กลับบ้านสยงมู่มู่อดไม่ได้ที่จะถาม “เรื่องเงินเธอจะไม่บอกครูอู่จริงเหรอ?”
“ไม่บอก นายก็อย่าบอกพ่อกับแม่ของนายล่ะ ได้ยินไหม?” อู่เหมยกำชับเขาถึงสองครั้ง
“รู้แล้ว ทำไมเธอถึงได้จู้จี้จุกจิกนัก?” สยงมู่มู่รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ผู้หญิงก็มักจะจู้จี้จุกจิกเสมอ ไม่ว่าอายุจะมากหรือน้อยก็ตาม
แต่สยงมู่มู่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เขาเริ่มไม่เข้าใจในตัวอู่เหมย ปกติเป็นแค่ผู้หญิงที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แต่พอเธอได้ลาภลอยมาแบบกะทันหัน สิ่งแรกที่จะทำคือไม่ใช่การยกให้พ่อแม่ แต่กลับเป็นการซื้อบ้าน แถมยังไม่อยากให้คนที่บ้านรู้อีก ซึ่งนั่นไม่เหมือนกับนิสัยที่ผ่านมาของเธอเลย
“ทำไมเธอถึงไม่อยากให้ครูอู่รู้ล่ะ?” สยงมู่มู่รู้สึกว่า อู่เจิ้งซืออาจจะหัวโบราณไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วเขาก็ดีกว่าเหอปี้อวิ๋นมาก
อู่เหมยตั้งใจจะไม่นับญาติพี่น้องแล้วเหรอ?
“ถ้าพ่อฉันรู้ก็เท่ากับแม่ฉันรู้ แล้วคนอย่างแม่ฉัน หากเธอรู้ว่าฉันมีเงินคงต้องสั่งให้ฉันยกให้เธอทั้งหมด จากนั้นเงินแม้แต่หยวนเดียวคงจะไม่ให้ฉันได้ใช้ แต่ทั้งหมดคงให้อู่เยวี่ยใช้ นายคิดว่าฉันโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” อู่เหมยยิ้มเยาะ
สยงมู่มู่พยักหน้า อู่เหมยมองอย่างโกรธจัด เขาจึงทำได้แค่ส่ายหน้าไปมา
“ถ้างั้นเธอใช้จ่ายก็ต้องระวังหน่อย อย่าให้แม่กับพี่สาวของเธอจับได้ล่ะ แต่ถ้าหากพวกเขาจับได้เธอก็ไม่ต้องกังวลหรอก บอกไปว่าเป็นเงินที่ฉันให้ไว้ รับรองว่าไม่มีใครสงสัย” สยงมู่มู่รู้สึกภูมิใจมาก ใครจะฉลาดได้เท่าเขาที่คิดวิธีที่สมบูรณ์แบบออกมาได้?
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ยอมให้พวกเขาจับได้หรอก นั่งลงสิ ลุยเลย!”
อู่เหมยที่พูดจบได้เพิ่มความเร็วในการปั่นขึ้นกะทันหัน ทำให้สยงมู่มู่ตกใจจนต้องเอื้อมมือไปจับเบาะหลัง เสียงหัวเราะของอู่เหมยราวกับเสียงกระดิ่งเงินอันแสนไพเราะ ทว่าอยู่ในที่ไกลๆ ยังได้ยินอย่างชัดเจน ทำให้ดึงดูดสายตาของผู้คนรอบข้างเป็นจำนวนมาก ทุกคนต่างยิ้มแย้มด้วยเจตนาดีแถมยังหลีกทางให้กับพวกเขาทั้งคู่
ใครกันที่ไม่มีช่วงเวลาอันแสนเลินเล่อในวัยเยาว์!
…………………………………………………………………………………………..
[1] ครึ่งจิน = สองขีดครึ่ง