ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 183 กินซาลาเปาน้ำซุปเถอะ + ตอนที่ 184 แกเอาเงินมาจากไหน
ตอนที่ 183 กินซาลาเปาน้ำซุปเถอะ
อู่เจิ้งซือนั่งตรวจแก้เรียงความอยู่ในห้องรับแขก สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดของครูที่สอนภาษาและวรรณคดีก็คือการตรวจแก้เรียงความ แน่นอนว่าอาจมีครูบางท่านทีอ่านจบได้อย่างรวดเร็ว แต่อู่เจิ้งซือไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทุกๆ บทความเขาจะใช้เวลามากพอสมควรในการอ่าน หากเจอบทความที่ใช้สำนวนสวยงามในการเขียน เขามักจะอ่านวนไปซ้ำๆ และเขียนคำอธิบายอย่างละเอียด บางครั้งก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง
ก็เพราะอย่างนั้น อู่เจิ้งซือถึงได้หอบเอาเรียงความกลับมาแก้ที่บ้านบ่อยๆ ในเวลานี้เขากำลังเริ่มอ่านบทความของเหมยซูหานอยู่ การบ้านในครั้งนี้ที่เขาให้นักเรียนไปทำคือปกิณกะ หัวข้อก็คือความกตัญญู เพราะว่าช่วงนี้ในเมืองจินมีเรื่องที่ทำให้คนเกิดอาการวิตกกังวลเกิดขึ้น ข่าวคือมีคนชราผู้หนึ่งถูกลูกสาวและลูกชายแท้ๆ ทอดทิ้งและไม่สนใจไยดี ประชาชนในสังคมต่างพากันประณามลูกๆ ของคนชราผู้นี้ ด่าทอว่าพวกเขาอกตัญญู ไม่สำนึกในบุญคุณ ทำตัวไม่สมกับหน้าที่ของลูก
จากนั้นไม่นานทั้งลูกสาวและลูกชายของคนชราได้ออกมาให้เหตุผลว่าแท้จริงแล้วคนชราผู้นี้ในช่วงวัยเยาว์เอาแต่กินนอนเที่ยวเล่นไม่ชอบทำมาหากิน ละเลยไม่เอาใส่ใจเลี้ยงดูลูก กระทั่งนำเงินค่าเทอมของลูกที่ภรรยาหามาได้ไปเล่นการพนัน พวกเขาสามพี่น้องโตมาได้เพราะสองมือของแม่ที่คอยฉุดลากฉุดดึง ซึ่งไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จและใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย ส่วนมารดาก็ทำงานหนักเกินไปจึงล้มป่วยและจากไปในวัยที่ยังไม่ถึงห้าสิบปีด้วยซ้ำ
เขาทั้งสามเสียใจมาก เพราะเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาเคียดแค้นชิงชังต่อบิดาและตัดสินใจที่จะไม่เลี้ยงดูบิดาของพวกตน สามพี่น้องพูดเหตุผลออกมาจนทำให้รู้สึกซาบซึ้ง พวกเขากอดรูปของมารดาที่ตายไปแล้ว และร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
“หากไม่เป็นเพราะเขา แม่คงไม่จากพวกเราไปเร็วขนาดนี้ หากพวกเราเลี้ยงดูเขา เราคงจะรู้สึกผิดต่อแม่มาก!”
หลังจากที่ลูกชายและลูกสาวของเขาได้ออกมาให้เหตุผล เสียงการประณามได้ลดลงไปมาก เจอกับคนชราใจดำอำมหิตแบบนี้ทำให้พวกเขาลำบากใจจริงๆ
แต่สุดท้ายทั้งสามพี่น้องก็ทนไม่ได้ต่อแรงกดดันของคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ จึงได้มารับบิดากลับไป เพราะทุกคนต่างบอกว่า บิดามารดาต่อให้แย่แค่ไหน ท่านก็ถือได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดเรามา หากไม่มีพวกท่านจะมีพวกเขาในวันนี้ไหม?
บุญคุณต้องทดแทน!
บิดามารดาต้องเลี้ยงดู!
หากไม่เลี้ยงดูพวกท่านคืออกตัญญู ผิดศีลธรรมจรรยา!
และนี่คือคำพูดของคนส่วนใหญ่ในสังคม แม้จะเห็นใจต่อความรู้สึกของทั้งสามพี่น้อง แต่ความกตัญญูก็เป็นสิ่งที่ละเว้นไม่ได้ที่จะปฏิบัติ หากเนรคุณก็ไม่ถูกต้อง ทั้งสามพี่น้องก็มีหน้าที่ในการทำงานแล้ว คงต้องใช้ไม้อ่อนไม้แข็งปะปนกันไป บุญคุณและหน้าที่คงต้องปฏิบัติไปพร้อมกัน ทั้งสามพี่น้องจะขัดได้อย่างไร ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนในการกตัญญูให้สำเร็จ
เรื่องราวนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดในเมืองจิน หลังจากที่อู่เจิ้งซือได้อ่านข่าวนี้เขาก็ได้คิดหาทางให้นักเรียนเขียนปกิณกะคนละหนึ่งบท ซึ่งเขาได้ดูมาหลายเล่มแล้ว แต่ละเล่มมีลักษณะการเขียนที่คล้ายคลึงกัน ส่วนใหญ่จะประณามการกระทำของทั้งสามพี่น้อง ความคิดในใจคือไม่มีปัญหา แต่รูปประโยคที่เขียนดูไม่มีพลัง ซึ่งไม่สามารถทำให้คนอ่านเกิดความรู้สึกร่วมได้เลย
อู่เจิ้งซือรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย และได้เปิดดูสมุดของเหมยซูหานกับเหยียนหมิงซุ่น อยากดูว่าของพวกเขาทั้งสองจะมีอะไรที่ทำให้แปลกใจไหม
เล่มแรกที่เขาเปิดดูเป็นของเหยียนหมิงซุ่น
ความสามรถด้านวรรณคดีของเด็กคนนี้ถือว่าไม่เลว ปกติเขาอ่านหนังสือนอกตำราเรียนเยอะ ใช้คำมาแต่งประโยคได้ดีจนทำให้รู้สึกแปลกใจในความงดงาม ทุกบรรทัดจะมีประโยคที่ทำให้แปลกใจแฝงอยู่
เหมยซูหานกลับประมาทกับหมากตัวนี้ แต่เด็กคนนี้ได้มาตรฐานมากกว่าซึ่งตรงกับรสนิยมของอู่เจิ้งซือ เพราะเขาเป็นคนที่เคารพรักษากฏระเบียบดี
“พ่อคะ หนูกลับมาแล้ว” อู่เหมยที่เพิ่งแยกกับสยงมู่มู่ เดินเข้ามาบ้านมาด้วยความดีใจ ในมือยังถือซาลาเปาน้ำซุปร้อนๆ อยู่
เหอปี้อวิ๋นที่ถูพื้นอยู่หันมองลูกสาวคนเล็กด้วยสายตาเย็นชา ยัยเด็กบ้านี่พอถึงวันหยุดก็ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากทำงานบ้าน
“เหมยเหมยไปรองน้ำมาหนึ่งกะละมังแล้วเช็ดตู้ให้สะอาดนะ” เหอปี้อวิ๋นกำชับ
“ได้ค่ะ หนูขอเอากระเป๋าไปเก็บก่อน พ่อคะ หนูซื้อซาลาเปาน้ำซุปจากภัตตาคารเฟิ่งหลายมาให้ แบบที่พ่อชอบกินเลย”
อู่เหมยไม่ได้ปฏิเสธเพราะวันนี้เธออารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นเกียรติสักนิดต่อเหอปี้อวิ๋น!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 184 แกเอาเงินมาจากไหน
อู่เหมยยิ้มอารมณ์ดีพร้อมทั้งยื่นถุงกระดาษไปให้อู่เจิ้งซือ ซาลาเปาน้ำซุปอันประณีตด้วยฝีมือทั้งหกลูกถูกวางคว่ำหน้าไว้ในถุงกระดาษสีน้ำตาล แค่มองก็ให้ความรู้สึกสบายตาสบายใจ ดีที่สุดสำหรับอู่เจิ้งซือก็คือซาลาเปาไข่ปู โดยเฉพาะซาลาเปาไข่ปูน้ำซุปจากภัตตาคารเฟิ่งหลาย
ตอนนี้ก็ใกล้เวลาทานอาหารแล้ว จากตอนแรกที่อู่เจิ้งซือเริ่มรู้สึกหิว ยิ่งพอได้เห็นซาลาเปาน้ำซุปแสนอร่อยก็ทำให้น้ำลายสอเต็มปาก ซึ่งถือว่าเขาพึงพอใจกับความกตัญญูของอู่เหมย ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแต่ยังไม่ลืมที่จะซื้อของอร่อยกลับมาให้เขา ถือว่าไม่เลว
“เหมยเหมยมีความตั้งใจจริงๆ แล้วลูกกินมาหรือยัง?” อู่เจิ้งซือยิ้มแย้มและพูดจาอ่อนโยน
“กินแล้วค่ะ หนูไปกินกับสยงมู่มู่มา พวกเรากินซาลาเปาน้ำซุปลูกใหญ่ คนหนึ่งกินไปตั้งสองลูก หนูอิ่มจนท้องจะแตกแล้วอยู่แล้ว”
ได้ลาภก้อนโตมากะทันหัน ความกล้าของอู่เหมยในตอนนี้จึงมีมากกว่าสองชาตินี้รวมกันเสียอีก คำพูดคำจาก็เริ่มเยอะขึ้น เสียงแหลมจี๊ดๆ ดั่งนกกระติ๊ดร้อง ผิวขาวอมชมพูแลดูอ่อนนุ่มจนน่าหยิก คิ้วที่ไม่ได้เขียนแต่ดกดำ ปากที่ไม่ได้เติมแต่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตาที่เป็นประกาย และน้ำเสียงสดใสยิ่งไปกว่าการไถน้ำแข็งในฤดูหนาว ต่อให้เธอจะพูดมากแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้ฟังแล้วรู้สึกรำคาญ
อู่เจิ้งซือรู้สึกดีใจกับลักษณะร่าเริงของอู่เหมยในตอนนี้มาก นิสัยของเธอดีขึ้น คะแนนก็พัฒนาขึ้นอีกด้วย อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็พัฒนาได้แบบก้าวกระโดด หากพาลูกสาวคนเล็กตามติดออกไปด้านนอกก็ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับเขาได้!
ในสายตาของอู่เจิ้งซือมองอู่เหมยราวกับภาพวาดภูเขาและแม่น้ำที่เป็นธรรมชาติ แต่ในสายตาของเหอปี้อวิ๋นกลับมองเธอเป็นเหมือนยิ่งกว่าภาพวาดนามธรรมของปิกัสโซที่ไม่เข้าตา เธอใช้ไม้ถูพื้นถูไปด้วยเสียงที่ดังแต่ก็ไม่ทำให้อารมณ์ร้อนในใจลดลงได้ เธอจึงตัดสินใจไม่ถูพื้นต่อและกดเสียงต่ำถาม “เหมยเหมยเธอเอาเงินจากไหนมาซื้อกินซาลาเปาน้ำซุป? แถมยังเป็นภัตตาคารเฟิ่งหลายอีก? คงไม่ได้ให้สยงมู่มู่ออกเงินให้หรอกใช่ไหม? ทำไมแกถึงได้หน้าด้านหน้าทนแบบนี้? บ้านเราทำให้แกขาดแคลนเรื่องกินเหรอ? ถึงต้องไปกินของที่คนอื่นช่วยส่งเสีย!”
สีหน้าของอู่เจิ้งซือเริ่มเปลี่ยนไป เพราะเขาไม่ได้คิดให้ละเอียดอะไร ซาลาเปานำซุปที่ภัตตาคารเฟิ่งหลายราคาไม่ใช่ถูกๆ หนึ่งเข่งแบบนี้คงจะเป็นเงินสามเจี่ยวได้ และยังรวมกับที่อู่เหมยกินลูกใหญ่ไปอีกสองลูก ก็ต้องจ่ายเงินเก้าเจี่ยว นั่นถือว่าไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ตัวอู่เหมยเองจะเอาเงินมาจากไหนเยอะขนาดนั้น?
อู่เหมยกลับไม่ได้แก้ตัวอะไร เธออยากรอดูว่าอู่เจิ้งซือจะพูดยังไง
เธอเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องทดสอบอู่เจิ้งซือ บางทีอาจเป็นเพราะอยากจะหาความอบอุ่นเล็กๆ จากความเยือกเย็นในบ้านหลังนี้!
อู่เยวี่ยที่ได้รับรู้ความเคลื่อนไหวจากด้านนอกจึงเดินออกมาและถามขึ้นด้วยความตกใจ “เหมยเหมยทำไมเธอถึงให้สยงมู่มู่เลี้ยงซาลาเปาน้ำซุปราคาแพงๆ แบบนั้นได้ล่ะ? หากว่าครูสยงกับป้าจ้าวรู้เรื่องเข้า คงจะคิดว่าบ้านเราไม่มีปัญญากินซาลาเปาไข่ปูแน่ๆ!”
สีหน้าอารมณ์ของอู่เจิ้งซือเริ่มไม่ดีและไม่อยากทนที่จะอ้าปากพูดสั่งสอน แต่คำพูดก็ติดอยู่ที่มุมปาก ยิ่งเขาได้เห็นใบหน้าราวกับภาพวาดของอู่เหมย ทำให้ต้องกลืนคำพูดลงไป
ช่วงนี้ลูกสาวคนเล็กของเขาแสดงออกได้ดี เขาควรจะพูดจาดีๆ ต่อเธอ
“เหมยเหมย ต่อไปนี้ถ้าลูกอยากกินซาลาเปาไข่ปูก็ให้บอกพ่อ พ่อจะพาลูกไปกินที่ภัตตาคารเฟิ่งหลายเอง เราจะไม่กินของของบ้านอื่น เพราะแบบนี้มันไม่ดี”
คำพูดของอู่เจิ้งซืออาจจะดูแข็งกร้าวไปบ้าง แต่น้ำเสียงของเขากลับนิ่มนวลน่าฟัง แม้ว่าอู่เหมยจะรู้สึกผิดหวังที่อู่เจิ้งซือไม่เชื่อเธอ แต่เธอก็รู้ลึกสบายใจไปบ้าง เพราะอย่างน้อยพ่อก็ไม่ได้เป็นเหมือนเหอปี้อวิ๋นที่เอาแต่ด่าจนไม่แยกแยะแดงเขียวดำขาวหรือความผิดความถูก
แบบนี้ก็เพียงพอแล้ว
“เงินที่จ่ายเป็นเงินของหนูเอง สยงมู่มู่จะเลี้ยงแต่หนูไม่ยอมให้เลี้ยง พวกเราแยกกันจ่ายในส่วนของตัวเอง” อู่เหมยพูดออกไปด้วยความอัดอั้นตันใจ
เหอปี้อวิ๋นพูดออกมาอย่างเย็นชา “แกเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ? ทุกวันนี้มีคำพูดไหนที่เป็นจริงบ้าง ไปหัดเรียนมาจากใคร?”
อู่เยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เหมยเหมย พี่ยังมีเงินค่าขนมเหลืออยู่หนึ่งหยวน เธอรีบเอาไปคืนให้สยงมู่มู่สิ”
อู่เยวี่ยรู้สึกเสียดายเพราะเงินหนึ่งหยวนสำหรับเธอก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้เธอจะใช้วิธีไหนแสดงออกถึงความเห็นใจได้ล่ะ?
ทำแบบนี้อู่เจิ้งซือถึงจะเข้าใจว่าระหว่างเธอกับอู่เหมยใครดีใครเลว!
…………………………………………………………………………………………..