ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 187 ทำสองอย่างไปพร้อมๆ กัน + ตอนที่ 188 ในเมื่อบิดาไม่มีความเมตตา บุตรก็สามารถอกตัญญูได้
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 187 ทำสองอย่างไปพร้อมๆ กัน + ตอนที่ 188 ในเมื่อบิดาไม่มีความเมตตา บุตรก็สามารถอกตัญญูได้
ตอนที่ 187 ทำสองอย่างไปพร้อมๆ กัน
อู่เหมยเอาใจใส่ต่อคุณชายฉิวโดยการนวดให้มัน เมื่อกี้ฉิวฉิวต้องช่วยเธอเอาเงินไปซ่อนแน่ๆ เจ้าตัวเล็กมีไหวพริบจริงๆ ซ่อนของก็น่าจะเก่งมาก
“ฉิวฉิว ต่อไปนี้พี่จะให้แกเก็บซ่อนเงินให้นะ แกก็อย่าปล่อยให้คนอื่นขโมยไปล่ะ” อู่เหมยพูดเสียงเบา และถูกฉิวฉิวมองอย่างเอือมๆ
ของของคุณชายฉิวซะอย่างจะมีไอ้บ้าหน้าไหนกล้ามาขโมยอีก? อยากมีชีวิตไม่สงบสุขหรือไง
ฉิวฉิวใช้เท้าของมันเขี่ยเอาเศษหญ้าแห้งออกมากกองตรงหน้าอู่เหมย หากเมื่อครู่ไม่รีบเอาเงินไปซ่อนมันคงลืมหญ้าแห้งนี่ไปสนิทเลย อู่เหมยมองดูต้นหญ้าด้วยความงุนงงปนสงสัย และถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ฉิวฉิว หญ้าพวกนี้เอามาทำอะไรเหรอ? ให้พี่กินเหรอ?” …
“จิ๊ด จิ๊ด”
ฉิวฉิวโกรธมากจนต้องใช้เท้าของมันตีไปที่ฝ่ามือของอู่เหมย ร้องราวกับกำลังเป็นตะคริว แต่กระรอกพูดกับคน ก็เหมือนกับคนหนึ่งเหนื่อยจนน้ำลายฟูฟ่อง แต่อีกคนกลับทำหน้างุนงง ทั้งหมดฟังออกแค่เสียงร้องจิ๊ดๆ แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่เข้าใจ
ฉิวฉิวโมโหเป็นอย่างมาก เจ้านายมันโง่จะตาย แค่คำพูดของมันยังฟังไม่เข้าใจเลย ดวงตาของมันหมุนกลอกไปมา แล้วก็ก้มงอตัวกะทันหัน เท้าทั้งสองข้างกดไปตรงบริเวณท้อง ทำท่าทางแปลกประหลาด
อู่เหมยนั่งดูอยู่นานสองนาน ถึงจะเริ่มใช้สมองคิดและถาม “ฉิวฉิว หรือว่าแกกินเมล็ดสนมากไปทำให้เป็นร้อนใน จนท้องผูกเหรอ?”
หนวดตรงมุมปากของฉิวฉิวสั่นกระตุก มันอึดอัดที่ไม่สามารถทำให้เจ้านายโง่ของมันเข้าใจ มันแสดงออกคืออาการท้องเสีย แต่ในสายตาเธอมองเป็นอะไรไปได้ ฉิวฉิวจำใจต้องคาบต้นหญ้าไว้ตรงปาก ทำเป็นว่ามันกินหญ้าเข้าไป และเริ่มแสดงต่อ
ขอบคุณพระเจ้า อู่เหมยก็ไม่รู้ว่าความคิดอันเฉียบแหลมนั้นมาจากไหน สมองกลับคิดไปถึงอาการท้องเสีย และถามออกไปเสียงเบา “ฉิวฉิว แกจะบอกว่าต้นหญ้าแห้งนี้กินเข้าไปจะทำให้ปวดท้องเหรอ?”
ฉิวฉิวถอนหายใจอย่างโล่งอก แม่เจ้า! ถือว่าหมุนจะครบรอบแล้ว ไม่ง่ายเลย!
เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กออกแรงผงกหัว อู่เหมยก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ความกลัดกลุ้มใจของเธอที่มีคือจะไปตามหายาถ่าย แต่ฉิวฉิวก็หามาให้ถึงที่ อู่เหมยกอดฉิวฉิวที่เหนื่อยราวกับเป็นอัมพาต และกดจุบตัวมันไปหลายครั้ง
“ฉิวฉิว แล้วยานี้จะใช้ยังไง? ผสมในน้ำผลไม้หรือต้องชงกับน้ำเพื่อดื่ม? รุนแรงไหม?”
ฉิวฉิวมองด้วยความเอือมระอา ช่วงนั้นมันกินหญ้านี้เข้าไปโดยไม่ตั้งใจ จากที่แม้แต่พิษงูเห่ายังไม่เป็นผลกับลำไส้ แต่หญ้านี้กลับทำให้ตอนนั้นมันปวดท้องไปสามวันสามคืน มื้อข้าวที่กินเข้าไปเมื่อสามร้อยปีก่อนก็ถูกขับถ่ายออกมาหมด
มันยื่นเท้าออกไปตรงหญ้าแห้งแล้วเปรียบให้ดูแค่เล็กน้อย ก็น่าจะเป็นเศษใบเล็กๆ อู่เยวี่ยแค่มีร่างกายของคนธรรมดา จะทำรุนแรงจนถึงชีวิตไม่ได้ แค่ให้เธอท้องเสียสักสิบวันหรือครึ่งเดือนก็พอแล้ว
อู่เหมยเข้าใจสัญญาณมือของฉิวฉิวกลับยิ่งดีใจ ดูท่าว่าต้นหญ้าแห้งนี้มีฤทธิ์รุนแรงเหมือนกัน ว่าแต่เจ้าฉิวฉิวเป็นกระรอกสายพันธุ์ไหน?
หาของมีค่าได้ หายาสมุนไพรได้ อีกทั้งยังฟังภาษาคนได้ด้วย มองยังไงก็ไม่ใช่กระรอกธรรมดา
“ฉิวฉิว แกคงไม่ใช่กระรอกธรรมดาใช่ไหม?”
ฉิวฉิวมองด้วยความระอาและแทะเมล็ดสนต่อ ไร้สาระ แท้จริงมันไม่ใช่กระรอกซึ่งแน่นอนว่ามันต้องไม่ธรรมดา อู่เหมยกลับไม่อยากถามต่อแล้ว เธอกดหน้าไว้บนลำตัวของฉิวฉิวที่มีขนนุ่มนิ่มปุกปุยและพูดขึ้นเบาๆ “ไม่ว่าฉิวฉิวจะเป็นตัวอะไร แกก็คือเพื่อนที่ดีของพี่ เราสองจะไม่แยกจากกันตลอดชีวิต”
ฉิวฉิวยื่นเท้าของมันออกไปตรงหน้าของอู่เหมยแล้วตบเบาๆ เจ้านายของมันช่างน่าสงสารเสียจริง มันอยู่ตรงนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำพอดี ก็อยู่กับเธอไปแบบนี้ก็แล้วกัน ใครใช้ให้เจ้านายโง่อย่างเธอช่วยชีวิตมันไว้ล่ะ!
อีกอย่างการอยู่ข้างๆ เจ้านายโง่ของมันก็ทำให้สบายใจและรู้สึกเป็นอิสระด้วย!
อู่เหมยเก็บต้นหญ้าไว้อย่างระวัง เตรียมใช้กับอู่เยวี่ยในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ และคืนนี้ก็ให้ฉิวฉิวฉี่ราดใส่ตัวของเธอ ทำทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน แล้วมาดูกันว่าพรุ่งนี้อู่เยวี่ยจะสอบได้ยังไง?
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 188 ในเมื่อบิดาไม่มีความเมตตา บุตรก็สามารถอกตัญญูได้
เหอปี้อวิ๋นที่อยู่ด้านนอกตะโกนเรียกให้ออกไปกินข้าว อู่เหมยจึงให้ฉิวฉิวไปแทะเมล็ดสนอยู่ใต้เตียง แล้วเปิดประตูออกไปทานข้าว ซาลาเปาน้ำซุปเข่งนั้นถูกเหอปี้อวิ๋นเตรียมและวางไว้ตรงกลางจาน ยังอยู่ครบทั้งหกลูก ไม่ขาดแม้แต่ลูกเดียว
อู่เจิ้งซือยังคงตรวจแก้เรียงความอยู่ เขากำลังดูบทความของเหยียนหมิงซุ่นซึ่งถือว่าเขียนได้ดีมาก สำนวนที่ใช้เขียนคมกริบ ลีลาในการใช้ภาษาเผ็ดร้อนซึ่งคล้ายกับคุณหลู่ซวิ่น[1] แต่ทัศนคติของบทความเขากลับไม่สามารถเห็นด้วยได้
ในบทความของเหยียนหมิงซุ่นได้คัดค้านต่อลูกชายและลูกสาวทั้งสามที่รับคนชราไปเลี้ยงดู เขาคิดว่าในเมื่อบิดาไม่มีความเมตตา บุตรก็สามารถอกตัญญูได้ กระทั่งสามารถพูดได้ว่าบิดาเป็นฆาตรกรที่ทำให้มารดาของทั้งสามพี่น้องเสียชีวิต ศัตรูของมารดาไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ หากทั้งสามพี่น้องกตัญญูต่อบิดา นั่นคือการเนรคุณและไม่ซื่อสัตย์ต่อมารดาที่เสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร หลักธรรมชาติแห่งสวรรค์ที่มิอาจอภัยได้
สรุปแล้วบทความของเหยียนหมิงซุ่นคือการตำหนิบิดาท่านนี้ กระทั่งยังวิพากษ์วิจารณ์ต่อประโยคที่ว่า ‘บนโลกนี้ไม่มีพ่อแม่ที่ผิด’ ได้อย่างลึกซึ้ง เขาเขียนว่าบนโลกนี้พ่อแม่ที่ผิดมีมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งประโยคนี้มันคือการดันทุรังกลบเกลื่อนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หลอกทั้งตัวเองและผู้อื่น
อันที่จริงบทความนี้เขาเขียนได้ดีมาก สำนวนในการเขียนดูช่ำชอง ไม่เหมือนกับเด็กมัธยมปลายที่เพิ่งจะอายุสิบหก แต่อู่เจิ้งซือกลับอ่านจนรู้สึกหดหู่ ราชวงศ์เซี่ยใช้ความกตัญญูเพื่อปรับทัศนคติของคนในประเทศ ข้อวิจารณ์ของเหยียนหมิงซุ่นดูประมาทเกินไป หากว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเขียนบทความแบบนี้ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยที่เขาจะไม่ได้คะแนนสูง
อู่เจิ้งซือที่เริ่มกลัดกลุ้มใจจึงดูบทความของเหมยซูหานอีกครั้ง แม้ว่าสำนวนในการเขียนจะดูอ่อนหัดไปบ้าง แต่โดยรวมถือว่าสอดคล้องกันและสละสลวย แม้ว่าจะตำหนิความไม่มีเมตตาของบิดา แต่ทัศนคติของเหมยซูหานกลับตรงกับเขา บิดาสามารถไม่มีความเมตตา แต่บุตรไม่ควรอกตัญญู
ในเมื่อคุณทำแบบนั้นได้ผมก็ทำแบบนั้นได้ ซึ่งคำพูดพวกนี้ไม่ควรจะพูดกับบิดามารดา
อู่เจิ้งซือปิดสมุดการบ้านลงและอดไม่ได้ที่จะพูดกับเหอปิอวิ๋น “เจ้าเด็กหมิงซุ่นคนนี้ประมาทเกินไป ไม่รู้ว่าในหัวของเขาคิดอะไรอยู่ วันหลังจะต้องปรึกษากับคุณพ่ออู่ดีๆ ถ้าไม่อย่างนั้นหมิงซุ่นจะเป็นเด็กที่อันตรายมาก”
เหอปี้อวิ๋นหยิบเอาสมุดการบ้านขึ้นมาดูหนึ่งครั้ง และพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “ประมาทเกินไปจริงๆ แล้วนี่เขียนคำพูดอะไร คุณอู่คงต้องไปคุยกับคุณพ่ออู่ให้ดีแล้วล่ะ แล้วเหมยซูหานเขียนว่ายังไง? ขอฉันดูหน่อย”
อู่เจิ้งซือหัวเราะและยื่นสมุดการบ้านของเหมยซูหานให้เธอ เหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยชิดตัวเข้าหาและดูด้วยกัน ตัวบบรจงต่างกับของเหยียนหมิงซุ่น ตัวอักษรของเหมยซูหานไม่ค่อยเรียบร้อย แต่โดยรวมถือว่าสละสลวย ดูสะอาดตาและเรียบร้อย ราวกับเมฆหมอกที่ลอยอยู่บนฟ้าและกระแสน้ำที่ไหลผ่าน
“พี่ซูหานเขียนดีมากเลยค่ะ พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ ต่อให้พวกท่านจะผิดแต่ก็ถือเป็นผู้ให้กำเนิด ทำไมถึงอกตัญญูได้!” อู่เยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
อู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นต่างยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ ไม่ใช่เพราะหลักการหรือเหตุผลนี้หรอก แต่เป็นเพราะลูกสาวของเขาเข้าใจหลักเหตุผลดี ไม่เหมือนกับเหยียนหมิงซุ่นที่คิดทรยศหักหลัง อู่เหมยที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจจึงหยิบเอาสมุดการบ้านของเหยียนหมิงซุ่นขึ้นมา แค่ครู่เดียวเธอก็ถูกดึงดูดด้วยประโยคในบทความนั้น
ถูกต้อง บิดาไม่มีความเมตตา บุตรก็สามารถอกตัญญูได้!
บนโลกนี้ไม่มีพ่อแม่ที่ผิดซึ่งประโยคนี้ก็ผิด ไอ้สารเลวคนไหนเป็นคนพูด จริงๆ มันเป็นแค่คำพูดเพ้อเจ้อ พ่อแม่ที่ผิดมีมากถมไป ไม่ต้องไปพูดถึงไหนไกล ตัวอย่างเช่นหนึ่งคู่พ่อแม่ที่อยู่ตรงหน้าของเธอ ไม่ได้เป็นพ่อแม่ที่ดีอะไรเลย
อย่างน้อยสำหรับเธอคือไม่ใช่!
อู่เหมยฟังคำวิจารณ์อันน่าสะอิดสะเอียนของทั้งสามคนในบ้านก็รู้สึกทนไม่ได้จึงพูดถากถางออกไปเบาๆ ว่า “แล้วถ้าพ่อแม่ฆ่าลูกล่ะคะ นั่นถือว่าถูกต้องใช่ไหม?”
อู่เจิ้งซือชะงักงันและตำหนิด้วยความไม่พอใจ “จะมีพ่อแม่แบบนี้อยู่ได้ยังไง? ขนาดเสือยังคงต้องกินเนื้อล่าเหยื่อ ทำไมถึงมีพ่อแม่แบบนั้นได้? เหมยเหมยลูกฟุ้งซ่านเกินไป!”
มุมปากของอู่เหมยยกยิ้มเยาะโดยไม่ได้คำพูดใดๆ เพียงแค่เลิกแขนเสื้อให้สูงขึ้น ช่วงก่อนหน้านี้ที่ถูกเหอปี้อวิ๋นตียังคงมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ แม้จะจางลงไปบ้าง แต่ผิวด้านในของเธอที่ถูกเนื้อผ้าบดบังไว้ขาวดั่งสำลี ปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยของความโหดร้ายทารุณ
…………………………………………………………………………………………..
[1] นักประพันธ์จีนผู้มีชื่อเสียงในยุคศตวรรษที่ 20