ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 193 อู่เยวี่ยผู้ทุกทรมานแสนสาหัส + ตอนที่ 194 ใส่ร้ายคนอื่น
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 193 อู่เยวี่ยผู้ทุกทรมานแสนสาหัส + ตอนที่ 194 ใส่ร้ายคนอื่น
ตอนที่ 193 อู่เยวี่ยผู้ทุกทรมานแสนสาหัส
สยงมู่มู่มองดูกระดาษข้อสอบวิชาภาษาและวัฒนธรรมในมือที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำหมึก ในใจเขาเกิดความสับสนขึ้นมา ตอนเช้าที่อู่เหมยพูด ‘สอบให้ได้ที่หนึ่ง’ ยังวนเวียนอยู่ข้างหูเขาตลอด
หรือเขาจะตั้งเป็นข้อยกเว้นแล้วสอบให้ได้ที่หนึ่งดีนะ?
แต่ต่อไปจะวุ่นวายหรือเปล่า?
ทำข้อสอบติดต่อกันไปได้หลายข้อ จากตอนแรกที่สยงมู่มู่ควรจะวอกแวกบ้างโดยเป้าหมายของเขาคือการเขียนผิดบ้างในไม่กี่ข้อ แต่แล้วเขากลับไม่ได้ทำแบบนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเขียนคำตอบที่ถูกต้องลงไป
ในเมื่อเริ่มแล้ว สยงมู่มู่ก็ไม่คิดว่าเขาจะถอยได้ เขาเขียนได้ลื่นไหลราวกับปุยเมฆและสายน้ำที่ไหลผ่าน เมื่อเทียบกับเหมยซูหานแล้ว เขาต่างหากที่เป็นคนโชคดีตัวจริงอยู่ที่ไหนสวรรค์ก็คุ้มครอง สำหรับเขาแล้วการเรียนยังผ่อนคลายยิ่งกว่าการดื่มน้ำ ในสายตาของเขาคำถามปัญญาอ่อนพวกนี้ยังง่ายเสียยิ่งกว่าเลขหนึ่งบวกหนึ่ง ทุกวิชาเขาสามารถสอบให้ได้คะแนนเต็ม
ตอนนี้เขาคิดว่าที่หนึ่งคงไม่มีประโยชน์สำหรับอู่เยวี่ยเสียแล้ว!
ต่อไปหากพ่อกับแม่ถามขึ้น เขาคงต้องบอกว่าสมองอาจเป็นตะคริว แต่ถึงยังไงพ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยจะยุ่งเรื่องการเรียนของเขาสักเท่าไร
ทางฝั่งสยงมู่มู่ทำได้สำเร็จอย่างง่ายดาย แต่ฝั่งอู่เยวี่ยกลับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส นักเรียนหญิงไม่กี่คนที่นั่งข้างๆ เอาแต่ปิดจมูกและมีท่าทีรังเกียจเธอ ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดใจ อาการปวดหัวเริ่มรุนแรง หนักอึ้งขึ้นมากหลายเท่า อีกทั้งยังมีอาการปวดช่วงท้องที่มาเป็นจังหวะ ตลอดเวลานี้เธอไม่สามารถทำได้อย่างเต็มกำลัง
เธอรู้สึกว่าคุ้นเคยกับคำถามบนกระดาษข้อสอบมาก มันเป็นคำถามที่เธอเคยทบทวนมาก่อนทั้งหมด แต่ทำไมสมองของเธอเหมือนถูกอุดไว้ราวกับท่อระบายน้ำ จะนึกคำตอบอย่างไรก็นึกไม่ออก
อู่เยวี่ยร้อนรนจนเหงื่อไหลไคลย้อยแต่ร่างกายของเธอกลับหนาวสั่นมาก เพียงนึกว่าการสอบเป็นภาระที่แสนหนักอึ้งของเธอ ทำไมเวลาถึงได้ผ่านไปได้ช้าขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีเสียงกริ่งเวลาพักดัง?
อีกคนที่กำลังหวังให้เสียงกริ่งเวลาพักดังก็คืออู่เหมย เธอคาดหวังให้ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียน แบบนั้นเธอก็จะได้ไปที่ห้องเรียนเยาวชนเพื่อจ่ายเงินค่าเรียน และพรุ่งนี้ก็สามารถเข้าเรียนได้อย่างเป็นทางการแล้ว
และยังมีฝั่งอู่เยวี่ยที่เธอก็อยากจะรู้คะแนนสอบครั้งนี้ หากว่าเธอสอบไม่ผ่านสักครั้งมันคงจะดีมาก แต่ถ้าจะให้ดีให้เป็นเหมือนกับเธอเมื่อก่อนที่คะแนนสอบมีแค่หลักหน่วยหลักสิบ ถึงเวลานั้นจะรอดูว่าเหอปี้อวิ๋นจะยังไปคุยโม้กับเพื่อนร่วมงานและเพื่อนบ้านได้อีกไหม?
แน่นอนว่านั่นเป็นพียงฝันอันงดงามที่อู่เหมยวาดขึ้น พื้นฐานความสามารถของอู่เยวี่ยดีขนาดนั้น อย่างมากเธอแค่พลาดที่จะสอบได้ที่หนึ่งไป แต่ไม่มีทางที่จะสอบได้หลักหน่วยหลักสิบแน่นอน
หลังจากเลิกเรียนครูอู๋ซึ่งเป็นครูประจำวิชาภาษาและวรรณคดีได้แจ้งให้นักเรียนกลับไปแล้วตั้งใจทบทวนเนื้อหา พรุ่งนี้จะทำการทดสอบบทเรียน อู่เหมยทั้งคาดหวังและแอบกังวลไปด้วย อันที่จริงภาษาและวรรณคดีเป็นวิชาที่เธอมั่นใจมากกว่าคณิตศาสตร์เพียงเล็กน้อย
พักหลังๆ เธอท่องบทเรียนอยู่เป็นประจำ ทุกบทเรียนเธอท่องได้จนคล่องและฉะฉาน กระทั่งท่องจากหลังไปหน้าได้อย่างคล่องแคล่ว คนอื่นมีสติปัญญามาตั้งแต่เกิด ส่วนเธอก็ใช้วิธีโง่ๆ และเธอก็ไม่เชื่อด้วยว่าตัวเองจะสอบไม่ผ่านหกสิบคะแนน
“เหมยเหมย ช่วงนี้เธอทบทวนบทเรียนเป็นยังไงบ้าง?” พอเลิกคาบเรียน เจินหวานหว่านก็เข้ามาทักอู่เหมย
“ก็งั้นๆ แหละ” อู่เหมยได้แต่ก้มหน้าก้มตาดูบทเรียน และไม่อยากจะหันไปเสวนากับเพื่อนร่วมโต๊ะของเธอด้วย อีกหน่อยถ้ามีโอกาสจะต้องคุยกับครูประจำชั้นให้เปลี่ยนที่นั่งเจินหวานหว่านออกไป
“เหมยเหมย วันนี้เป็นวันสอบของพี่ ม.2 นี่นา พี่ของเธอต้องสอบได้ที่หนึ่งอีกแน่เลย เธอโชคดีจริงๆ ที่มีพี่สาวเรียนเก่งแบบนี้” เจินหวานหว่านพูดขึ้นอย่างสื่อความหมาย แววตาส่อเชิงหยอกล้อ
คนอื่นไม่มีใครรู้ แต่เธอเองที่รู้ว่าอู่เยวี่ยไม่ชอบน้องสาวอย่างอู่เหมยแค่ไหน โดยเฉพาะที่ดูจากลักษณะของอู่เหมยแล้ว คงจะอิจฉาพี่สาวของเธอเอามาก?
เธอตั้งใจที่จะพูดจาถากถางอู่เหมยแบบนั้น ก็เพราะไม่กี่วันมานี้ยัยโง่นี่ไม่เอาของอร่อยๆ มาให้เธอ ไหนจะยังทำเป็นไม่สนใจเธออีก
อู่เหมยเงยหน้าขึ้นมองไปยังเจินหวานหว่าน หน้ารูปทรงแอปเปิ้ลที่แลดูน่ารัก แต่ภายใต้หน้ากากของความน่ารักนั้นกลับเป็นแค่หัวใจดวงหนึ่งที่มืดดำและเต็มไปด้วยความริษยา
“พ่อของฉันเป็นถึงครูของมหาวิทยาลัยต้นแบบของเมืองแน่ะ เจินหวานหว่านพ่อของเธอทำอาชีพอะไรเหรอ?” อู่เหมยแสดงสีหน้าน่ารักไร้เดียงสา
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 194 ใส่ร้ายคนอื่น
พ่อของเจินหวานหว่านไม่ได้มีการมีงานทำอย่างเป็นทางการ อีกทั้งเรียกได้ว่าเขาเป็นนักพนันตัวยง ทั้งบ้านต้องพึ่งพาแม่เพียงคนเดียวที่ทำหน้าที่ขายอาหารว่างมื้อเช้าให้กับชาวบ้านในละแวกซอยนั้น ครอบครัวของเธอมีกันอยู่ทั้งหมดหกคน ซึ่งต้องแออัดอยู่ด้วยกันในห้องเล็กๆ ที่มีพื้นที่ไม่ถึงสิบห้าตารางเมตร ยิ่งพอจัดวางเตียงและโต๊ะไว้ก็แทบจะไม่มีพื้นที่ให้หมุนตัวได้
เมื่อชาติก่อนเธอเคยไปที่บ้านของเจินหวานหว่านครั้งหนึ่ง ทั้งเล็กทั้งมืดและรกรุงรัง ไม่ต่างอะไรกับกรงของนกพิราบเลย อีกทั้งเจินหวานหว่านยังมีพี่ชายที่โตกว่าเธออีกสามคน ไม่รู้เลยว่าหากพวกเขาบรรลุนิติภาวะแล้วจะอาศัยอยู่ด้วยกันยังไง
แค่แวบเดียวสีหน้าของเจินหวานหว่านก็ได้เปลี่ยนไป แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยพูดถึงเรื่องของสภาพหรือฐานะในครอบครัวของตัวเองให้ใครฟังมาก่อน ทั้งยังไม่เคยพาเพื่อนไปเล่นที่บ้านเลย และเพื่อนในห้องก็ไม่มีใครรู้ถึงเบื้องหลังจริงๆ ของครอบครัวเธอ
“พ่อของฉันก็เป็นแค่กรรมกรธรรมดา ทุกวันนี้ท่านงานยุ่งจะตายไป จะเอาเวลาที่ไหนมาสนใจการบ้านของฉันล่ะ” เจินหวานหว่านยิ้มอย่างฝืนใจ
“ชนชั้นกรรมาชีพถือว่าเป็นอาชีพที่ยิ่งใหญ่ เจินหวานหว่านพ่อของเธอเก่งมาก” อู่เหมยชื่นชมอย่างมีเจตนา ยิ่งมองก็ยิ่งรู้ได้ว่าเจินหวานหว่านฝืนใจที่ยิ้มให้แค่ไหน พอเห็นดังนั้นเธอก็ยิ่งสบายใจ
เมื่อพูดคำโกหกออกมาแล้วก็จะต้องคิดคำโกหกต่อไปอีกนับไม่ถ้วนจนสำเร็จ แล้วมาดูกันว่าคนอย่างเจินหวานหว่านจะทำได้สำเร็จแค่ไหน
อู่เหมยขุดหลุมพรางให้กับเจินหวานหว่าน เด็กผู้หญิงที่เอาแต่คิดว่าตัวเองฉลาดก็มักจะยินยอมที่จะกระโดดลงไปในนั้น คนที่เสแสร้งแกล้งทำ จิตใจสกปรก ก็สมควรแล้วที่จะถูกเธอคิดร้ายตอบ
ไม่ง่ายเลยกว่าที่เสียงกริ่งเลิกเรียนจะดังขึ้น อู่เหมยสะพายกระเป๋าไว้และรีบวิ่งออกไป อู่เชาที่อยู่ด้านหลังก็ได้วิ่งตามเธอไปติดๆ ครั้งนี้เขาจะไปยอมปล่อยให้ยัยเด็กบ้านี่วิ่งหนีไปได้อีก
“อู่เชานายจะไปไหน?”
เพื่อนข้างห้องอย่างจี้เหวินฮุ่ยก็ตามหลังเขามาด้วย เธออยู่ชั้นประถมปีที่ห้าห้องสอง โดยปกติเธอก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับอู่เชา แต่ช่วงนี้เธอเห็นว่าอู่เชาอยู่ใกล้กับอู่เหมยบ่อยๆ จึงทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ อยากจะดึงอู่เยวี่ยมาเป็นพวกเดียวกันเพื่อกันไม่ให้เขาไปทำตัวสนิทกับอู่เหมย
คนโง่อย่างอู่เหมยมีสิทธิ์อะไรถึงได้เกิดมาสวยกว่าเธอ?
จะต้องทำให้เธอถูกทอดทิ้งเหลือเพียงตัวคนเดียวเธอถึงจะพอใจได้!
อู่เชาไม่อยากสนใจอะไรกับจี้เหวินฮุ่ย ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้อารมณ์ยิ่งฉุนเฉียวอยู่ด้วย รูปร่างหน้าตาราวกับคนใช้ แต่ก็มักจะทำให้ตัวเองเป็นเหมือนกับเป็นเจ้าหญิง วันๆ ดีแต่ทำตัวโอหังอวดดี โง่เหมือนกับป้าของเขาไม่มีผิด
“ฉันจะไปไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ? เลิกยุ่งเรื่องของชาวบ้านเขาได้แล้ว!”
อู่เชาด่าออกไปหนึ่งประโยคและก็ไม่คิดจะชายตามองเธอเลย จี้เหวินฮุ่ยโกรธจัดจนหน้าดำหน้าแดง เธอจึงได้แค้นเคืองอู่เชาไปพร้อมกับอู่เหมย พรุ่งนี้จะเป็นการตรวจสอบผลวิชาภาษาและวรรณคดีแล้ว เธอจะคอยดูว่ายัยโง่อู่เหมยจะสอบได้สักกี่คะแนนกัน ถึงเวลานั้นเธอจะเอาคะแนนที่อู่เหมยได้ไปฟ้องคุณตากับคุณยาย
อู่เหมยไม่ได้อยากให้เจ้าเด็กอ้วนคนนี้รู้สักนิดเรื่องที่เธอมาเรียนวาดรูป แต่ไอ้อ้วนนี่ก็ตามมาติดๆ
ทำยังไงก็สะบัดเขาออกไปไม่ได้!
“นายเลิกทำตัวน่ารำคาญสักทีได้ไหม? ไม่ต้องตามฉันมาแล้ว” อู่เหมยกล่าวเตือนเสียงดัง
“ถนนเส้นนี้เธอไม่ได้เป็นคนสร้างนี่ เธอเดินได้แล้วทำไมฉันถึงจะเดินไม่ได้ล่ะ!” อู่เชาทำหน้าทะเล้นแล้วพูดขึ้น และลอกเลียนแบบการกระทำผู้อื่นอย่างคนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง
อู่เหมยรู้สึกอยากจะใช้ฝ่ามือพิฆาตพัดให้เขากลับบ้านไปซะ แต่เธอไม่ใช่องค์หญิงพัดเหล็กแล้วก็ไม่ได้มีพัดใบตองด้วย สยงมู่มู่เดินเข้ามาและบอกกับอู่เหมย “ไปกันเถอะ!”
เมื่ออู่เชาเห็นสยงมู่มู่ก็รู้สึกประหม่า ภายในใจมีความรู้สึกหลากหลายเกิดขึ้นเต็มไปหมด ไม่เพียงแค่ลูกพี่ลูกน้องคนเล็กของเขาจะออกไปเล่นกับเด็กที่ดูจะไม่เป็นทั้งผู้ชายและผู้หญิงแล้ว ก็ยังไม่พาเขาไปด้วยอีก!
“เหมยเหมย เธอจะไปไหนกับเขาเหรอ?”
“เหมยเหมย เธอกับเขาคงจะไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหม?”
“เหมยเหมย ฟังพี่นะ เธอยังอายุน้อย เธอจะเลือกเดินทางผิดแบบนี้ไม่ได้นะ แต่ต่อให้เธอต้องการหาคนรักก็ไม่ควรจะหาคนที่ดูเป็นผู้ชายก็ไม่ใช่ผู้หญิงก็ไม่เชิงแบบนี้ ยังไงเธอจะต้องหาผู้ชายที่แข็งแรงแบบนี้พี่สิ เธอว่าไหม?”
สมแล้วที่ในอนาคตอู่เชาจะกลายเป็นนักเขียนเยาวชนดีเด่น ความคิดและจินตนาการหลากหลาย เพราะในเวลาอันน้อยนิดก็สามารถคิดเรื่องพรรค์นั้นออกมาได้ ยิ่งช่วงนี้ในโรงเรียนมีการเขียนจดหมายรักเผยแพร่อย่างรุนแรง ยัยเด็กบ้านี่คงจะไม่ได้ใจแตกไปแล้วใช่ไหม?
…………………………………………………………………………………………..