ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 241 ความเสแสร้งของแม่เลี้ยง + ตอนที่ 242 มีคนถามแน่นอน
ตอนที่ 241 ความเสแสร้งของแม่เลี้ยง
คุณย่าหยางเป็นคนที่ชอบความคึกครื้น ตอนที่เธอออกไปเดินเล่นหนึ่งรอบ ก็ได้รู้เรื่องขบขันของตระกูลอู่มาไม่น้อย วันเสาร์นี้บ้านตระกูลเหยียนคึกครื้นมาก เพราะเหยียนโฮ่วเต๋อกับภรรยาของเขา ถานซูฟางจะมากินข้าวเย็น เมื่อกี้คุณย่าหยางก็เพิ่งจะออกไปจ่ายตลาดจึงถือโอกาสฟังเรื่องซุบซิบ
เหยียนโฮ่วเต๋อรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาเรียบๆ ดูซื่อๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เพราะว่าเป็นข้าราชการมาเป็นเวลานาน ดูแล้วก็ไม่กล้าพูดเล่นด้วย เหยียนหมิงซุ่นไม่ค่อยเหมือนเขา เขาเหมือนแม่ของเขา ผู้หญิงที่สวยและน่าสงสารคนนั้น ที่ถึงแก่กรรมไปแล้วมากกว่า แต่เหยียนหมิงต๋ากลับเหมือนเหยียนโฮ่วเต๋ออย่างกับใช้แม่พิมพ์เดียวกันพิมพ์ออกมา เพียงแต่เหยียนหมิงต๋ามองดูแล้วออกจะซื่อบื้อหน่อยๆ ไม่เหมือนเหยียนโฮ่วเต๋อที่ฉลาดและมีความสามารถ
ถานซูฟางใส่แว่นตาขอบทอง รูปร่างอวบเล็กน้อย ไม่สูงมาก ผิวพรรณขาวผ่อง หน้าตาไม่ค่อยโดดเด่นอะไร แต่แต่งตัวดูดี มีเสน่ห์ ดูสง่างาม มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่มีวัฒนาธรรมและมีความรู้ เพียงแต่โหนกแก้มสูงๆ นั้นแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงนิสัยประเภทเมตตาอ่อนโยนน่ารัก
พอเหยียนหมิงต๋าได้เจอพ่อแม่ตัวเอง เขาก็มีความสุขเป็นอย่างมาก ราวกับมีหางสะบัดไปสะบัดมา ตอนนี้ก็กำลังออดอ้อนถานซูฟางขอค่าขนม ถานซูฟางมองเขาอย่างเอ็นดู ไม่พูดอะไรสักคำ หยิบเงินห้าหยวนหนึ่งใบออกมาจากกระเป๋า
“ซูฟางไม่ต้องให้เงินเขา เขาอยู่กับพ่อแม่ที่นี่ก็มีกินมีดื่ม ทุกๆ เดือนก็มีกำหนดเงินค่าขนมให้ เธอจะให้เงินเขามากขนาดนี้ไปทำอะไร?” เหยียนโฮ่วเต๋อมองกลับมาอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงเข้มงวดเด็ดขาด
ถานซูฟางทำได้แค่เก็บเงินขึ้นมา อยู่ข้างนอกเธอจะให้เกียรติสามีเสมอ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยโต้แย้งเหยียนโฮ่วเต๋อเลยแม้แต่ประโยคเดียว เหยียนหมิงต๋าทำหน้าผิดหวัง ทำหน้ามุ่ยส่งเสียงบ่น ถานซูฟางกระซิบข้างหูเขาเสียงเบาว่า “เดี๋ยวพอตอนพ่อไม่อยู่ แม่ค่อยให้เงินนะ!”
เหยียนหมิงต๋าสายตาวาววับ กอดคอถานซูฟางแน่นหอมไปอีกหนึ่งที พูดเสียงเบาว่า “แม่ ไม่อย่างนั้นแม่ก็ให้ผมอีกสิบกว่าหยวนไม่ได้เหรอ? แค่ห้าหยวนผมใช้ไม่พอ”
“ลูกจะเอาเงินเยอะขนาดนั้นไปทำอะไร?” ถานซูฟางขมวดคิ้ว
“ผมก็ซื้อของกินไง ตอนพักเรียนท้องหิวจนร้องโครกคราก เงินค่าขนมของผมอุทิศให้กับร้านอาหารหมดแล้ว” เหยียนหมิงต๋าทำท่าตบท้องตัวเองอยู่หลายที
ถานซูฟางมองพินิจลูกชายที่ตัวใหญ่อย่างกับวัวขึ้นๆ ลงๆ ก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างมาก ลูกชายของเธอเติบโตมาเหนือกว่าลูกที่นังสารเลวคลอดออกมาตั้งเยอะ นังสารเลวคนนั้นได้รับความชื่นชอบจากตาเฒ่าแล้วยังไง แต่โฮ่วเต๋อไม่ชอบเธอคนนั้น และตอนนี้ตำแหน่งคุณนายเหยียนก็คือเธอ มีชีวิตที่ดีและมีเกียรติยศ นังสารเลวนั่นไม่รู้ว่าล่องลอยไปดินแดนผีตรงไหนแล้ว!
“ได้ อีกเดี๋ยวแม่จะให้ลูกสิบหยวนนะ”
ลำพองใจจนถึงขีดสุด ถานซูฟางก็อารมณ์ดีไม่น้อย พอจะควักเงินทีหนึ่งก็ใจกว้างเลย เงินเดือนของเธอกับเหยียนโฮ่วเต๋อรวมกันขึ้นมาแล้วมีถึงสองสามร้อย มีเงินแล้วไม่ให้ใช้กับลูกชาย จะให้ใช้กับลูกของนังสารเลวนั่นหรืออย่างไร?
เหยียนโฮ่วเต๋อกำลังพูดคุยกับผู้เฒ่าเหยียนด้วยความเคารพนบน้อบอยู่ ไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวของถานซูฟาง แต่เหยียนหมิงซุ่นได้ยินอย่างชัดเจน นัยน์ตาปรากฏรอยเยาะหยันแวบหนึ่ง แม่เลี้ยงของเขาคนนี้ถนัดนักเรื่องหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าอีกอย่าง ลับหลังก็อีกอย่าง หลอกเหยียนโฮ่วเต๋อจนหัวหมุนไปหมด
“หมิงซุ่น ช่วงนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง? มีสอบไหม? ได้อันดับที่เท่าไร?”
เหยียนโฮ่วเต๋อรายงานกับผู้เฒ่าเหยียนเสร็จ ก็หันมาสนใจลูกชายคนโตที่ไม่ส่งเสียงอะไรมาตลอดอยู่ด้านข้าง หาได้ยากที่เขาจะมาสนใจการเรียนของเหยียนหมิงซุ่น แต่น้ำเสียงแข็งกระด้างอย่างมาก เหมือนกับพูดคุยอยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่เหมือนก่อนหน้าที่พูดกับเหยียนหมิงต๋าอย่างเมตตาและผ่อนคลายเลยแม้แต่นิด
เหยียนหมิงซุ่นปากกระตุกเล็กน้อย ตอบอย่างเคารพนบน้อมว่า “เหมือนเดิมครับ ไม่ก้าวหน้าแต่ก็ไม่ถอยหลัง”
ผู้เฒ่าเหยียนพูดขึ้นมาอย่างพอใจว่า “คะแนนของหมิงซุ่นค่อนข้างคงที่ รักษา 20 อันดับแรกของทั้งโรงเรียนไว้ได้เสมอ ขอเพียงแค่รักษาอันดับไว้ได้แบบนี้ตลอด ก็คงเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ มีชื่อเสียงได้ ไม่น่ามีปัญหา”
…………………………………………………………………
ตอนที่ 242 มีคนถามแน่นอน
เหยียนโฮ่วเต๋อได้ฟังก็หัวเราะอย่างพึงพอใจ พูดอย่างเคารพนับถือว่า “ต่างเป็นเพราะคำแนะนำสั่งสอนของพ่อและแม่ ช่วยลดปัญหาของผมกับถานซูฟางได้เยอะเลย”
ผู้เฒ่าเหยียนส่งเสียงลำพองใจเบาๆ หันไปมองทางเหยียนหมิงต๋าแวบหนึ่ง พลันอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย “ส่วนสำคัญคือตัวหมิงซุ่นเองมีจิตใจที่จะแสวงหาความก้าวหน้า ถ้าตัวเขาเองไม่อยากก้าวหน้า ฉันกับแม่แกใช้วัวสิบตัวมาดึงก็ไม่มีประโยชน์”
สำหรับหลานคนโตแล้ว ไม่มีอะไรให้เขาต้องเป็นกังวลเลย เพราะตัวของเหยียนหมิงซุ่นเองสามารถจัดการชีวิตได้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่หลานคนเล็กกลับตรงกันข้าม เขาเป็นกังวลจนภายในใจแทบจะแตกละเอียดไปแล้ว ลูกของหญิงเลวนั่นคะแนนก็ห่วยแตก ทำให้เขาขายขี้หน้ามากจริงๆ
เหยียนหมิงต๋าได้ยินคำว่าเรียนก็ปวดหัวและหวาดกลัวจนหัวหด ไม่กล้าส่งเสียง
เหยียนโฮ่วเต๋อก็ปวดหัวกับเศษคะแนนของลูกชายคนเล็กเหมือนกัน ออกไปข้างนอกเขาไม่กล้าที่จะพูดถึงลูกชายคนเล็กเลยด้วยซ้ำ แต่ไหนแต่ไรมาก็พูดถึงแต่เหยียนหมิงซุ่นทั้งหมด คนเล็กนั้นเขาไม่มีหน้าจะไปพูดให้คนเขาหัวเราะหรอก
เขาเป็นถึงข้าราชการบริหารกระทรวงการศึกษา แต่ลูกของเขาคะแนนกลับแย่ขนาดนี้ น่าขายขี้หน้าจริงๆ!
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มเยาะ ต่อให้หมิงต๋าไม่เอาไหนแค่ไหน แต่ก็เป็นลูกที่คุณรักที่สุดไม่ใช่หรือ?
ถานซูฟางไม่พอใจท่าทีรังเกียจของผู้เฒ่าเหยียนที่มีต่อเหยียนหมิงต๋าเป็นอย่างมากจนทนไม่ไหวเลยพูดว่า “หมิงต๋านั้นมีใจที่คิดจะเล่นจนเกินไป ถ้าเขาตั้งใจละก็ รับรองว่าต้องสอบได้ที่หนึ่งทุกๆ ปีแน่”
เหอะ! ลูกของเธอจะแย่กว่านังสารเลวนั่นได้อย่างไร?
ถ้าอยากจะดูคนว่าใครเหนือกว่าหรือเด่นกว่า เอาคะแนนมาวัดกันคงไม่ได้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ลูกๆ จากครอบครัวยากจนไม่มีภูมิหลังหลุดพ้นจากสภาพเลวร้ายยากแค่ไหน และยังสามารถอดทนผ่านพ้นมาได้นั้นมีเพียงเล็กน้อยจนไม่มีค่าพอต่อการเอ่ยถึง ถ้าเหยียนหมิงซุ่นไม่มีคนปูทางให้ อาศัยแค่ตัวเขา ต่อให้ดีเด่นแค่ไหน มากที่สุดก็คงเป็นได้แค่พนักงานบริษัทธรรมดาไม่เหมือนลูกชายของเธอ คะแนนแย่หน่อยแล้วจะทำไม?
ประกาศนียบัตรแน่นอนว่าปลอมได้ อีกทั้งมีเธอ แม่ที่ดีที่จะใส่ใจวางแผนให้ อนาคตของหมิงต๋าจะต้องเหนือกว่าไอ้เด็กสารเลวนั่นร้อยเท่า!
ผู้เฒ่าเหยียนมองลูกสะใภ้อย่างไม่พอใจ พูดเสียงเย็นชาว่า “ความหมายของเธอก็คือพวกฉันคนแก่สองคนไม่ใส่ใจหมิงต๋าเหรอ ในเมื่อเป็นแบบนี้พวกเธอก็เอาหมิงต๋ากลับไป ดูสิว่าจะสามารถสอบได้ที่หนึ่งไหม?”
ถานซูฟางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ร้อนรนที่จะพูดจาดีๆ แต่ผู้เฒ่าเหยียนไม่สนใจเธอ เอาแต่พูดกับเหยียนหมิงซุ่น ไม่ให้ความสำคัญกับลูกสะใภ้ที่ตัวเองเกลียดคนนี้อยู่ในสายตา ถานซูฟางโกรธแค้นขึ้นเรื่อยแต่ก็ยังต้องคอยเอาอกเอาใจผู้เฒ่าเหยียน
เหยียนโฮ่วเต๋อจ้องเขม็งที่ภรรยา แต่ก็ยังพูดด้วยดีๆ สีหน้าของผู่เฒ่าเหยียนถึงได้ดูอบอุ่นขึ้นมาหน่อย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังรักลูกชาย ต้องรักษาน้ำใจกันเข้าไว้
คุณย่าหยางหิ้วตะกร้าผักเดินเข้ามา บังเอิญได้ยินพวกเขากำลังเถียงกันเรื่อง’ที่หนึ่ง’ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องซุบซิบที่เพิ่งจะได้ยินมา เธอเป็นคนนิสัยใจร้อน มีอะไรก็พูดออกมา เพราะหากกลั้นเอาไว้แล้วรู้สึกไม่สบายใจ
“ตอนกลางวันบ้านอู่วุ่นวายวายมาก เฮ้อ! ฉันเคยบอกแต่แรกแล้วว่าบ้านนี้วันใดวันหนึ่งจะต้องไม่สงบ เสี่ยวเหอคนนี้เป็นแม่ที่ใจลำเอียงยิ่งกว่ามหาสมุทรอีก เหมยเหมยเด็กคนนี้ก็ไม่ใช่ขอนไม้ แน่นอนว่าต้องโวยวาย พวกคุณดูสิ เหมือนที่ฉันพูดไม่มีผิด!”
คุณย่าหยางแบมืออก ทำท่าเหมือนกับว่า’รู้ตั้งนานแล้ว’ เหยียนหมิงซุ่นพอได้ฟังว่าเกี่ยวข้องกับอู่เหมย ก็ใจเต้นแล้วเต้นอีก แต่เขาไม่ได้ถามออกมา ไม่สนว่าเวลาใดที่ไหน เขาก็ไม่สามารถให้คนอื่นรู้ได้ว่าใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่ นี่เป็นทักษะแรกที่ลุงหมิงสอนเขา
อีกทั้งเขาไม่จำเป็นต้องรีบไปถาม ยังไงก็มีคนไป…
“คุณยาย บ้านอู่เกิดอะไรขึ้น? เยวี่ยเยวี่ยเธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ไม่ทันไรเหยียนหมิงต๋าที่กำลังกลัวมาก รีบกระโดดตัวออกถามทันทีอย่างกระตือรือร้นกว่าใคร ถานซูฟางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ชื่อเยวี่ยเยวี่ยนี่แค่ฟังก็เหมือนจะเป็นชื่อผู้หญิง หมิงต๋าดูเหมือนจะใส่ใจเธอมาก!
หมิงต๋าตอนนี้เป็นเด็กที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม จะมีปฏิกิริยาสับสนมึนงงก็เป็นเรื่องปกติ ในใจจะมีผู้หญิงที่ชอบก็ยิ่งปกติ แต่อย่างไรแล้วเธอควรตรวจสอบฐานะทางบ้าน หน้าตา ผลการศึกษา ลักษณะนิสัยการอบรมต่างๆ ของเยวี่ยเยวี่ยคนนี้ให้ดีๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่องฐานะทางบ้าน ผู้หญิงที่มาจากครอบครัวธรรมดานั้นไม่คู่ควรกับหมิงต๋าของเธอ เธอไม่อาจให้พวกผู้หญิงที่มีเจตนาแอบแฝงเข้ามาในใจของหมิงต๋า เรื่องนี้เธอจะต้องเริ่มเข้มงวดเสียแล้ว!
…………………………………………………………………