ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 247 วาจาคมกริบของเหยียนหมิงซุ่น + ตอนที่ 248 หนูอยากย้ายออกมา
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 247 วาจาคมกริบของเหยียนหมิงซุ่น + ตอนที่ 248 หนูอยากย้ายออกมา
ตอนที่ 247 วาจาคมกริบของเหยียนหมิงซุ่น
ตอนเหยียนหมิงซุ่นกลับถึงบ้านประจวบเหมาะที่อู่เจิ้งซือกลับไปพอดี มองดูแล้วสีหน้าท่าทางไม่สดใส ตอนกินข้าวเย็น เหยียนหมิงซุ่นถึงได้รู้เหตุผล ท่านผู้เฒ่าเหยียนปฏิเสธคำขอร้องของอู่เจิ้งซือเรื่องการเป็นคนกลาง
“อู่เหมยกับอู่เยวี่ยสองพี่น้องนี่เล่ห์เหลี่ยมเยอะเกินไป ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย?” คุณตาเหยียนไม่ปิดบังความไม่ชอบต่อคู่พี่น้องอู่เหมยเลยแม้แต่น้อย สองพี่น้องนี่ต่างไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน ต่างเป็นคนที่มีพิษสง ไม่ใช่จะสยบได้ง่ายๆ เขาไม่อยากเข้าใกล้เลยสักนิด
คุณย่าหยางฉุนกึกตอบกลับว่า “เด็กน้อยเหมยเหมยฉันเห็นว่าก็ไม่เลวเลยนะตาเฒ่า คุณมีวิสัยทัศน์ที่สูง มีแต่ปันจ่าวเท่านั้นแหละถึงจะเข้าสายตาคุณ ถ้าเป็นเหมือนพวกเรามนุษย์ธรรมดาที่มีเล่ห์เหลี่ยมเยอะยังไงก็ดูแปดเปื้อนในสายตาคุณ”
คุณปู่เหยียนพ่นลมออกจากจมูกด้วยความไม่พอใจ “ฉันว่าตระกูลอู่ เธอจะพูดถึงปันจ่าวนั่นทำไม? ฉันพูดผิดตรงไหน อายุยังน้อย แต่อยู่ข้างนอกก็ยังพูดให้ร้ายพ่อแม่ได้ เป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคนคนหนึ่ง”
“ตรงไหนที่เหมยเหมยพูดให้ร้าย? เธอแค่บอกเล่าความจริง ตามความคิดของคุณ เหมยเหมยเธอได้รับความโหดร้ายทารุณก็ควรจะเงียบ ส่วนการออกมาร้องตะโกนก็กลับกลายเป็นคนอกตัญญูแล้ว? เหอะ! นี่เป็นตรรกะไร้สาระอะไรของคุณ?” คุณย่าหยางพูดอย่างเคืองๆ
คุณปู่เหยียนโมโหจนหนวดกระดิก โยนตะเกียบลงบนโต๊ะ ตวาดลั่นว่า “พ่อแม่สั่งสอนลูกเป็นหลักการที่ถูกต้องอย่างไม่สงสัย ไม่ใช่แค่ว่าตบทีเดียวเองหรือไง จะเป็นการทารุณได้ยังไง? ยายแก่ เธอนี่ก็ก่อกวนไม่หยุดเลย”
“ไม่ใช่ว่าแค่ตบทีเดียว? ไอ้หยา! ตาแก่ คุณยืนพูดๆ ไปก็ยังไม่ปวดเอวใช่ไหม งั้นให้ฉันลองตบคุณหนึ่งทีดีไหม?” คุณย่าหยางเองก็โมโหจนเขวี้ยงตะเกียบตาม พลางจ้องตากับตาเฒ่า ตาใหญ่จ้องตาเล็ก เหมือนกับตาอีกากับไก่
เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกว่าคำพูดของคุณตาไม่น่าฟังอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นสีหน้าท่าทางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มของถานซูฟาง ใจของเขายิ่งรู้สึกไม่ดีจนทนไม่ไหวเลยพูดขึ้นมาว่า “คุณปู่ก็พูดไม่ถูกต้อง หากพ่อแม่ตีลูกตายตามแบบเดิมจะต้องโดนตัดสินลงโทษ แสดงให้เห็นว่าตามกฎหมายควบคุมไม่ให้พ่อแม่ตีลูกด่าลูก การที่อาจารย์เหอทั้งตีทั้งด่าอู่เหมยแบบนั้น ก็ผิดข้อหาทำร้ายทารุณแล้วเรียบร้อย เป็นไปได้เหรอที่ร่างกายเด็กจะรับได้ อู่เหมยเธอต่อต้านก็ถูกแล้ว จะให้เด็กนั่นเอาแต่อยู่บ้านอดทนยอมรับการโดนทารุณหรือครับ?”
คุณปู่เหยียนชะงักงันในทันที โดนวาจาคมกริบหาได้ยากของหลานชายคนโตทำให้หยุดชะงัก เดิมทีเขายังคิดจะโต้แย้งอยู่หลายประโยค แต่ในสมองกลับปรากฏภาพรูปร่างหน้าตาของเหยียนหมิงซุ่นตอนเด็ก คำพูดที่จะพูดก็ถูกกลืนลงไป หันไปจ้องถานซูฟางที่กำลังมองความวุ่นวายอย่างเกรี้ยวกราด
คุณย่าหยางก็เหมือนกัน เธอส่งสายตามองอย่างเหยียดหยามไปทางเดียวกัน พูดขึ้นมาอีกว่า “หมิงซุ่นพูดไม่ผิด พวกสัตว์ร้ายที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับลูกก็ควรจะโดนตัดสินประหารชีวิต ตายแล้วก็โยนลงกระทะน้ำมันทอดซะ ถ้ากลับชาติมาเกิดใหม่ก็ให้ไปเกิดเป็นวัวเป็นควาย ไถนาทั้งชีวิต ไม่ได้หลุดพ้นจากสภาพเลวร้ายตลอดชาติ”
ถานซูฟางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เก็บรอยยิ้ม คีบตะเกียบหยิบผัก กินด้วยท่วงท่าสง่างาม ทำเหมือนคุณย่าหยางกำลังพูดจาไร้สาระ
เหยียนหมิงต๋ามีหน้าตาท่าทางแปลกประหลาดเล็กน้อย มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างกระวนกระวายใจ แล้วก็มองถานซูฟาง มองแล้วมองอีก ในใจรู้สึกหงุดหงิดเพราะแม่แท้ๆ ของเขาก็คือสัตว์ร้ายที่คุณย่ากำลังพูดถึง!
แต่นี่ก็เป็นแม่แท้ๆ ของเขา เขาควรจะทำอย่างไร?
“แม่ ค่าขนมของพี่ชายเทอมนี้แม่ยังไม่ได้ให้ ความจำของแม่ยิ่งนานยิ่งแย่แล้วนะ!” เหยียนหมิงต๋าพูดพลางทำหน้าทะเล้น
ถานซูฟางหว่างคิ้วกระตุก ไอ้ลูกโง่จอมฟุ่มเฟือย สนิทหรือไม่สนิทก็ยังแยกไม่ออก โง่จริงๆ
เหยียนโฮ่วเต๋อหันมามองเธอ หน้าตาบ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจ ถานซูฟางตบหน้าผาก พูดอย่างขัดเคืองว่า “ไอ้หยา ดูสมองฉันสิ ยุ่งขึ้นมาทีไรก็ชอบลืมเรื่องง่ายๆ อีกเดี๋ยวฉันค่อยให้เงินกับหมิงซุ่น”
“แม่ แม่ก็ให้ตอนนี้สิ อย่าเดี๋ยว ไม่งั้นเดี๋ยวแม่ก็ลืมอีก” เหยียนหมิงต๋ายิ้มแป้นพูด
ถานซูฟางแอบมองจ้องเขม็งมาที่เขา เหยียนหมิงต๋าแกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่กลับยิ้มซื่อๆ แทน แถมยังยื่นมือออกไปเพื่อเอาเงิน ขอต่อหน้าสามีและพ่อแม่ของสามี ถานซูฟางไหนเลยจะกล้าไม่ให้ จำเป็นต้องให้แม้ใจจะไม่ยินยอม
เหยียนหมิงต๋าพอได้เงินก็หันไปแบ่งให้กับเหยียนหมิงซุ่น เหมือนกับสุนัขพันธุ์ปักกิ่งที่ปัญญาอ่อน
………………………………………………………….
ตอนที่ 248 หนูอยากย้ายออกมา
อันที่จริงแล้วเหยียนหมิงซุ่นไม่เห็นเงินค่าขนมอันน้อยนิดของถานซูฟางอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ เงินฝากในธนาคารของเขาตอนนี้มีมากกว่าเงินฝากของตระกูลเหยียนตั้งเยอะ ถานซูฟางจะให้หรือไม่ให้เงินก็ไม่มีผลกระทบต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่ว่าน้ำใจของเหยียนหมิงต๋า เขาก็รู้สึกประทับใจมาก ก็เป็นเพราะความประทับใจครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ เขาจึงเกลียดเหยียนหมิงต๋าไม่ลง
คุณย่าหยางก็ไม่เห็นเงินน้อยนิดพวกนี้อยู่ในสายตา แต่ที่เธอสนใจก็คือท่าทีของถานซูฟาง อะไรคือลืมแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะให้!
“ถานซูฟาง หากนานวันเข้าความจำยิ่งแย่แบบนี้ ก็ควรกินสมองหมูบำรุงให้มากหน่อยนะ แล้ววันหลังก็อย่าลืมอีก หมิงซุ่นเป็นหลานชายคนโตของตระกูลเหยียนของพวกเรา หัดจำลำดับเครือญาติไว้บ้างล่ะ!” คุณย่าหยางพูดเสียงต่ำ เน้นหนักไปที่คำว่าหลานชายคนโต
ถานซูฟางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พยายามประคองรอยยิ้มบนใบหน้า ยายแก่สมควรตายตั้งใจพูดเรื่องพวกนี้เพื่อให้เธอโมโห เหอะ! เธอจะไม่ยอมโมโหให้ใครได้เห็นหรอก
หลานชายคนโตนับเป็นอะไรได้ ตอนนี้ก็ไม่ใช่สมัยโบราณ ตระกูลเหยียนก็ไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวยมีอิทธิพลอีกต่อไป ยายแก่นี่เป็นคนที่มองไม่ทะลุจริงๆ ตอนนี้ไม่เอาใจเธอลูกสะใภ้รองคนนี้ วันหลังก็อย่าหาว่าเธอไม่มีคุณธรรม!
เหยียนโฮ่วเต๋อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามขึ้นมาว่า “ตอนนี้หมิงซุ่นอยู่ม.5แล้ว อีกสองปีก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย หมิงซุ่นลูกมีความคิดอะไรไหม จะเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหน? เรียนคณะอะไร?”
คุณปู่เหยียนหัวเราะพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบไป ยังมีเวลาอีกตั้งสองปี อีกทั้งคะแนนของหมิงซุ่น ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยจินซื่อละก็ไม่มีปัญหา อีกอย่างมหาวิทยาลัยจินซื่อของพวกเราก็มีชื่อเสียงระดับประเทศด้วยนะ”
เหยียนโฮ่วเต๋อก็พอใจมาก ในใจคล้อยตาม และแล้วเขาก็พูดจูงใจว่า “พ่อ เห็นว่าพ่อแม่ของอู่เจิ้งซือกับพี่ใหญ่ต่างก็เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยจินซื่อ เกียรติยศชื่อเสียงก็ไม่เลว พ่อลอง…”
คุณปู่เหยียนลูบคาง ไตร่ตรองเงียบๆ นานมากกว่าจะพูดว่า “ช่างเถอะ ฉันไปเป็นคนกลางก็ได้!”
เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้ส่งเสียงมาตลอดการสนทนา เขาเดิมทีไม่ได้วางแผนว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าจะรู้สึกผิดต่อคุณปู่กับคุณย่า แต่เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้ คุณปู่คุณย่าจะรักใคร่เขาอย่างไร ก็คงไม่สามารถจัดการลูกชายและลูกสะใภ้เพื่อเขาได้ มากที่สุดก็ประชดประชันเสียดสีด้วยวาจาไม่กี่ประโยค แต่พวกเขาไม่เจ็บไม่รู้สึกคันอะไรด้วยซ้ำ
เรื่องพวกนี้สำหรับเขาแล้วมันไม่พอ ความเจ็บปวดที่แม่เขาได้รับและความยากลำบากทุกข์ตรมของเขาในตอนเด็ก ต้องให้ถานซูฟางชำระหนี้คืนร้อยเท่า ยังมีเหยียนโฮ่วเต๋ออีก เขาจะต้องแลกมันมาด้วยความเย็นชาแล้วก็ไร้ความเมตตาปรานี
ที่โต๊ะกินข้าวของบ้านอู่ ก็ไม่ค่อยสงบเงียบเหมือนกัน อู่เยวี่ยมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจ นับเมล็ดข้าวกิน เหอปี้อวิ๋นเองก็ไม่ค่อยอยากอาหารเหมือนกัน วันนี้เธอไม่กล้าแม้กระทั่งจะออกจากประตูไปด้วยซ้ำ กลัวว่าจะโดนถามเรื่องคะแนน แต่เธอกลับไม่ได้คิด ตอนกลางวันทะเลาะกันเสียงดังขนาดนั้น ทุกคนในโรงเรียนมีใครที่ไม่รู้เรื่องนี้บ้างล่ะ เหอปี้อวิ๋นก็แค่กำลังอุดหูแล้วทำเป็นหลอกตัวเองก็แค่นั้น
“พ่อ หนูอยากย้ายไปอยู่ห้องเก็บของ” อู่เหมยอารมณ์ดี เจริญอาหารเป็นอย่างมาก เธอเสนอขอเรียกร้องเรื่องห้องเพื่อเอกราชของเธอ ตอนนี้เป็นจังหวะและโอกาสที่ดีเลย
อู่เหมยอธิบาย “พี่สาวก็จิตใจไม่ปกติ แถมยังมีกลิ่นขี้เต่าอีก หนูไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับพี่”
เหอปี้อวิ๋นหน้าขรึมลง ตวาดว่า “พูดจาเหลวไหลอะไร พี่สาวแกจิตไม่ปกติที่ตรงไหน? ถ้ายังพูดจาเหลวไหลอีกฉันจะ…”
“ตีหนูใช่ไหม? แม่น่ะหลอกตัวเองและคนอื่นเพื่ออะไร? พี่สาวจิตไม่ปกติแถมยังมีกลิ่นตัว ยังไงก็ตามหนูไม่อยากนอนห้องเดียวกับพี่สาว ไม่อย่างนั้นแม่ก็นอนกับพี่สาวไปสิ ถึงอย่างไรพี่ก็เป็นแก้วตาดวงใจของแม่นี่นา ต่อให้เหม็นขนาดไหนแม่ก็ว่าหอม”
อู่เหมยพูดตอกกลับไปอย่างเมินเฉย ต่างคนต่างฉีกหน้ากากแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว ยังจะต้องเกรงใจอะไรอีก!
อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากอย่างแรง นังโง่นี่ คำหนึ่งก็บ้า อีกคำก็มีกลิ่นตัวเหม็น ทุกๆ คำต่างก็ทิ่มแทงใจของเธอ ให้ความรู้สึกราวกับว่าเลือดไหลแทบจะไม่หยุดอยู่แล้ว
ความอับอายในวันนี้เธอจะจดจำเอาไว้ และวันหลังจะต้องทวงคืนแน่นอน เธอ อู่เยวี่ยจะเป็นนกยูงที่แสนทระนงและน่าภาคภูมิใจไปตลอดกาล อู่เหมยนกกระจอกตัวนี้อย่าคิดว่าจะเทียบเทียมเธอได้!
………………………………………………………….