ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 253 หลังจากนี้ไปใครจะมีอนาคตกว่าก็ไม่แน่ + ตอนที่ 254 คำโกหกของเหยียนหมิงซุ่น
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 253 หลังจากนี้ไปใครจะมีอนาคตกว่าก็ไม่แน่ + ตอนที่ 254 คำโกหกของเหยียนหมิงซุ่น
ตอนที่ 253 หลังจากนี้ไปใครจะมีอนาคตกว่าก็ไม่แน่
“หลังจากนี้ทำไม?” อู่เจิ้งต้าวซักไซ้ถาม
ตี๋ชิวเยวี่ยหัวเราะพูดว่า “ถ้าฉันพูดคำพวกนี้ไป คุณก็อย่าโมโหล่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าลูกสาวสองคนของบ้านนัองชายน่ะ หลังจากนี้ไปใครจะมีอนาคตกว่ากันก็ไม่แน่!”
อู่เชาหูผึ่ง ส่งเสียงดังว่า “แม่ จะบอกอะไรให้นะ เหมยเหมยวันหลังเธอจะต้องมีอนาคตกว่าอู่เยวี่ยแน่นอน อู่เยวี่ยทั้งวันเอาแต่เรียนหนังสือมีความรู้แค่ในตำรา จะมีประโยชน์อะไร เหมยเหมยไม่เหมือนกัน วันหลังไม่แน่ว่าเธออาจจะกลายเป็นจิตรกรได้ก็ได้นะแม่!”
คู่สามีภรรยาอู่เจิ้งต้าวมองลูกชายอย่างงงงวย ตี๋ชิวเยวี่ยถาม “จิตรกรอะไร? เหมยเหมยเธอวาดรูปเป็นเหรอ?”
อู่เชาสะดุ้งโหยง ตกใจจนปิดปาก แย่แล้วๆ ทำไมเขาถึงเอาเรื่องวาดรูปพูดโพล่งออกมาได้?
“แน่นอนว่าเธอวาดเป็น อารองก็รู้ ครั้งที่แล้วบนภูเขาเฟิ่งหวงอู่เหมยวาดรูปได้ยอดเยี่ยมมากเหมือนเรียนมายังไงอย่างงั้น” อู่เชาดีใจกับตัวเอง โชคดีที่ไม่พูดเรื่องห้องเรียนเยาวชนออกมา มิเช่นนั้นยัยเด็กอู่เหมยจะต้องฟาดเขาแน่
สายตาของตี๋ชิวเยวี่ยมีร่องรอยประหลาดใจ หัวเราะพูดว่า “ดูแล้วเหมยเหมยคงมีพรสวรรค์ด้านวาดรูป ควรจะสนับสนุนเธอดีๆ ไม่แน่ว่าบางทีตระกูลอู่ของพวกเราอาจจะมีจิตรกรสาวชื่อดังอันดับหนึ่งก็เป็นได้!”
อู่เจิ้งต้าวพูดอย่างเมินเฉยว่า “ทั้งประเทศมีจิตรกรมากมายมหาศาล มีกี่คนกันที่มีชีวิตสะดวกสบาย? อีกประการหนึ่งเหมยเหมยเธอจะสามารถเป็นจิตรกรได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่เลย หนทางนี้มันลำบากไม่ใช่เล่นเลย เรียนหนังสือสิถึงจะเป็นทางที่ถูก”
อู่เชาส่งเสียงอย่างไม่พอใจ “พ่อ พ่อกับอารองเหมือนกันเลย ต่างก็เป็นพวกหัวโบราณ เหอะ! ถ้าทุกคนต่างมีความสามารถแบบนี้เหมือนที่พ่อว่า จากนี้ไปถนนสองข้างทางคงมีแต่พวกหนอนหนังสือทั้งหมด ใครจะมาสร้างสรรค์บทเพลงที่ไพเราะ ใครจะมาบันดาลบ้านสวนสวยๆ กัน ไม่มีศิลปินมืออาชีพพวกนี้ โลกใบนี้คงเปลี่ยนเป็นสีขาวดำแล้ว ถ้ามีชีวิตอยู่ในโลกแบบนี้ ชีวิตจะยังมีความหมายอะไร?”
ตี๋ชิวเยวี่ยนั้นเห็นด้วยกับลูกชายมากจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่เธอควรจะรักษาหน้าให้กับสามี แสร้งตำหนิไปว่า “เสี่ยวเชาทำไมพูดกับพ่อแบบนี้? พูดดีๆ ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่จริงๆ”
“ผมกับพ่อน่ะก็เหมือนพบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย คุยยังไงก็ไม่ถูกคอ ครึ่งคำว่าก็มากเกิน ผมขี้เกียจพูดละ”
อู่เชาพ่นลมออกทางจมูก หอบเอาเกี๊ยววิ่งหายวับไป เจอคำพูดของคนหัวโบราณเข้าไปทำให้เขาโมโหจะตายอยู่แล้ว กลับไปกินเกี๊ยวดับอารมณ์โมโหหลายๆ ชิ้นดีกว่า
อู่เจิ้งต้าวก็โมโหไม่เบา สีหน้าเขียวคล้ำ กลับไปต้องสั่งสอนไอ้เด็กเวรที่ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่คนนี้
ข้าวของเครื่องใช้ในห้องเก็บของของบ้านอู่มีไม่เยอะ ส่วนใหญ่เป็นอาหารที่เหอปี้อวิ๋นกักเก็บไว้ อู่เจิ้งซือนำเอาของพวกนี้ย้ายไปที่ห้องของอู่เยวี่ย อู่เหมยเอาน้ำมาถูที่พื้นห้องเก็บของอย่างสะอาดหมดจด แล้วเอากระดาษหนังสือพิมพ์แปะไว้บนกำแพง เปลี่ยนโฉมใหม่หมด อีกอย่างห้องเก็บของมีหน้าต่าง มีแสงเพียงพอ สว่างไสวกว่าห้องเดิมของเธอเยอะเลย
“ขอบคุณค่ะพ่อ ในที่สุดหนูก็สามารถตื่นใต้แสงแดดรุ่งอรุณได้แล้ว” อู่เหมยปูผ้าปูที่นอนเสร็จก็ขอบคุณอู่เจิ้งซือจากใจจริง ท่าทางของอู่เจิ้งซือในช่วงนี้ถือว่ามีความเป็นพ่อจริงๆ ขึ้นมาหน่อยแล้ว
อารมณ์และใบหน้าของอู่เจิ้งซือเปลี่ยนเล็กน้อย แค่เปลี่ยนเป็นห้องเล็กๆ แค่นั้นเอง ลูกสาวคนเล็กก็ดีใจขนาดนี้แล้ว เมื่อก่อนเขาปฏิบัติหน้าที่พ่อได้บกพร่องมากจริงๆ!
“วันหลังมีอะไรที่คิดอยากจะได้ก็บอกกับพ่อนะ” อู่เจิ้งซือตีเบาๆ ที่หัวของอู่เหมย
“อืม!” อู่เหมยพยักหน้าอย่างแรง ตอนนี้เป็นอู่เจิ้งซือที่บริหารเงิน เธอไม่เกรงใจแน่นอน
เหอปี้อวิ๋นจ้องมองฉากพ่อเมตตาลูกตรงหน้าจากมุมหนึ่งอย่างโกรธเกรี้ยว เจ็บปวดหน้าอกไปหมด เยวี่ยเยวี่ยสอบไม่ได้ที่หนึ่ง อำนาจในการดูแลบ้านก็ไม่มีแล้ว พ่อแม่สามีก็ไม่ชอบ วันหลังเธอจะยังมีอะไรให้คุยโม้อีก?
พวกลูกพี่ลูกน้องจะต้องหัวเราะเยาะเธออย่างแน่นอน!
ไม่ได้ เธอจะไม่ยอมวางมือ ยุติเรื่องราวอย่างนี้เด็ดขาด เธอควรจะเริ่มต้นใหม่เพื่อกลับไปอยู่ในสถานะเดิมเหมือนแต่ก่อน
“เยวี่ยเยวี่ย ลูกก็มุ่งมั่นพยายามเข้าไว้นะ สอบครั้งต่อไปยังไงก็ต้องเอาที่หนึ่งมาให้ได้ จำเป็นต้องเอามาให้ได้นะ!”
เหอปี้อวิ๋นมาที่ห้องของอู่เยวี่ย เพื่อให้กำลังใจให้เธอสู้ๆ อู่เยวี่ยพยักหน้า เธอร้อนใจกว่าเหอปี้อวิ๋นอีก เธอจำเป็นต้องเอาอันดับหนึ่งกลับมาให้ได้ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเธอเอง
………………………………………………..
ตอนที่ 254 คำโกหกของเหยียนหมิงซุ่น
วันที่สองตอนเช้าตรู่ เหยียนหมิงซุ่นก็มาถึงแล้ว เขามาบอกว่าผู้เฒ่าเหยียนตกลงที่จะเป็นคนกลางให้ อู่เจิ้งซือดีใจมาก แต่เดิมยังคิดจะรบกวนผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้เฒ่าเหยียนสามารถตกลงได้ก็ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว
“หมิงซุ่น ยังไงก็ขอบคุณท่านผู้เฒ่าเหยียนแทนฉันด้วยนะ รบกวนท่านแล้วจริงๆ” อู่เจิ้งพูดยิ้มๆ
เหยียนหมิงซุ่นตอบอย่างเคารพนบน้อมว่า “อาจารย์อู่เกรงใจเกินไปแล้ว คุณปู่บอกว่าการผูกญาติเป็นเรื่องมงคล นับว่าท่านโชคดีที่สามารถเป็นคนกลางให้ได้ อีกทั้งยังจะได้สัมผัสบรรยากาศอันชื่นมื่นอีก เต็มใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว อีกทั้งคุณปู่ของผม ท่านก็ชื่นชอบอู่เหมยมาก ครอบครัวท่านบอกว่าเหมยเหมยมีความสามารถ วันหลังต้องมีอนาคตแน่นอน”
เหยียนหมิงซุ่นพูดคำโกหกหน้าไม่เปลี่ยนสี ใจก็ไม่เต้น น้ำเสียงนิ่งมาก คำพูดข้างหน้าก็คือเกรงใจ ประโยคหลังนั้นเป็นความเห็นแก่ตัวของเขา แค่คิดว่าจะช่วยเด็กบื้อคนนั้นก็ดีอยู่ อู่เจิ้งซือก็เคารพคุณปู่เขามาตลอด กับคำพูดของท่านผู้เฒ่าแล้วคงจะทำให้อู่เจิ้งซือคิดอะไรดีๆ ได้บ้าง
อู่เจิ้งซือสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เหยียนหมิงซุ่นเดาไม่ผิด คำพูดของท่านผู้เฒ่าเหยียนมีผลกระทบต่ออู่เจิ้งซือมากจริงๆ ผู้เฒ่าเหยียนเคยเป็นผู้อาวุโสระดับสูงมาก่อน แน่นอนว่าสายตาของท่านมองออกว่าคนไหนพิเศษ ท่านผู้เฒ่าบอกว่าเหมยเหมยมีอนาคต ยังไงก็ไม่ผิดไปจากนี้แน่นอน ดูแล้วเขาควรจะต้องคิดดีๆ ซะแล้ว
อู่เหมยอยู่ที่ระเบียงทางเดินทำข้าวเช้า เหอปี้อวิ๋นยังไม่ลุก บอกว่าไม่ค่อยสบาย อู่เยวี่ยก็บอกว่าไม่ค่อยสบายเหมือนกัน ทั้งคู่ต่างก็บิดตัวอยู่บนเตียง เธออยากจะรีบเร่งไปดูบ้านก็เลยลงมือเอง เมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้นของเหยียนหมิงซุ่น ทำให้เธอมีความสุขมาก ดวงตายิ้มโค้งไปหมด
“พี่หมิงซุ่นกินข้าวเช้าที่บ้านฉันไหม? ฉันต้มหมี่อร่อยอยู่นะ” อู่เหมยทำตาปริบๆ มองเหยียนหมิงซุ่น อยากจะใช้วิธีนี้แสดงออกถึงความซาบซึ้งใจของเธอ
อู่เจิ้งซือก็ยิ้มพูดว่า “เหมยเหมยต้มหมี่อร่อยจริงๆ หมิงซุ่นนายคงยังไม่ได้กินข้าวเช้าแน่นอนเลย นั่งลงกินด้วยกันเลยสิ”
เหยียนหมิงซุ่นแต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบกินข้าวที่บ้านคนอื่น เดิมทีอยากจะปฏิเสธ แต่เห็นเด็กน้อยที่ทำตาดำๆเหมือนกับหมาน้อย ก็เลยเปลี่ยนคำพูด พยักหน้าพูดว่า “งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ ขอลองชิมฝีมือของเหมยเหมยหน่อย”
อู่เหมยผ่อนลมหายใจ พูดอย่างดีใจว่า “พี่หมิงซุ่น พี่รอสักครู่นะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว!”
เธอวิ่งอย่างมีความสุขไปที่ข้างเตา สองมือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ต้มหมี่เสร็จสามชาม ข้างบนวางไข่ดาวสีเหลืองอร่ามสองใบ ประดับด้วยต้นหอมสีเขียวสด กลิ่นหอมของน้ำมันงาหอมจนให้ท้องของคนตรงหน้าร้องโครกคราก เหยียนหมิงซุ่นเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เด็กบื้อคนนี้ที่จริงแล้วมีฝีมือทำครัวที่ดีเยี่ยมเลยทีเดียว!
“รสชาติไม่เลว นับว่าอาจารย์อู่มีลาภลอยเรื่องของกินจริงๆ”
เหยียนหมิงซุ่นนกินหมี่ไปคำ รสกลิ่นสีมีครบถ้วนสมบูรณ์ ยกนิ้วโป้งชมเชยให้จากใจ อู่เหมยที่ใจเต้นตุบตับตลอดเวลาก็ผ่อนลมหายใจในฉับพลัน ใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนดอกไม้ กินหมี่อย่างสบายใจ
อู่เจิ้งซือก็พอใจมาก ที่ฝีมือการทำอาหารของลูกสาวคนเล็กทำให้เขามีหน้ามีตา
เหอปี้อวิ๋นที่แกล้งป่วยอยู่ในห้องได้ยินเสียงข้างนอกสูดหมี่ อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมที่ลอดช่องประตูเข้ามา กระตุ้นให้น้ำลายสอ ท้องก็หิวจนร้องเสียงดัง
คนพวกนั้นใจดำกันหมดแล้ว ไม่มีใครต้มหมี่ให้คนป่วยอย่างเธอเลย ยังมีเยวี่ยเยวี่ย ที่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้กินอะไร คุณธรรมของเด็กเวรนี่คงให้หมามันกินไปหมดแล้วมั้ง
“พ่อคะ หนูต้มข้าวต้มขาวทิ้งไว้บนเตา อีกเดี๋ยวให้แม่กับพี่สาวมากิน ในหนังสือบอกว่าร่างกายไม่ดีกินข้าวต้มขาวจะดีที่สุด”
อู่เหมยแอบลำพองใจ เธอต้มข้าวต้มขาวก็คือข้าวต้มจริงๆ ใส่ข้าวแค่หนึ่งกำมือ ที่เหลือคือน้ำทั้งหมด สามารถทำให้เหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยดื่มทั้งวันเข้าห้องน้ำสิบรอบแน่นอน
เหอะ! ไม่ใช่ว่าพวกเธอแกล้งป่วยเหรอ ก็ขอแสดงความกตัญญูต่อพวกเธอหน่อยก็แล้วกัน!
………………………………………………..