ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 347 ฉิวฉิวเกือบถูกจับได้ + ตอนที่ 348 ยินดีด้วย
ตอนที่ 347 ฉิวฉิวเกือบถูกจับได้
อู่เหมยกินไก่ครึ่งตัวที่เหลือไปจนหมดจนทำให้เรอออกมา และท้องเล็กๆ ของเธอก็ดูป่องๆ หากรวมกับไก่ครึ่งตัวที่กินในภัตตาคารจุ้ยเซียนตอนเที่ยง ก็เท่ากับว่าเธอกินไก่ไปแล้วทั้งตัว
ไม่อิ่มสิถึงจะแปลก!
กระเพราะของเธอยัดต่อไปไม่ได้แล้ว อู่เหมยกินเหลือแต่ส่วนหัวกับเท้าของไก่ เนื้อตรงส่วนตัวเธอกินเข้าไปหมดแล้ว จึงได้หันไปยิ้มตาหยีและพูดกับอู่เยวี่ย “พี่คะ อันนี้ให้พี่หมดเลย อร่อยมากเลยนะคะ”
อู่เยวี่ยข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ และมองไปยังด้านบนของกระดาษน้ำมันที่หลงเหลือแต่เศษส่วนหัวกับเท้าไก่ เธอหยิบขึ้นมาแทะมันพร้อมทั้งพูดขึ้น “อร่อยจริงๆ ด้วย ขอบใจนะอู่เหมย”
อู่เหมยเตือนสติตัวเอง ปรับเปลี่ยนความคิดในฉับพลัน เธอแสร้งทำเป็นห่วงใยและถามขึ้น “พี่ใกล้จะถึงช่วงสอบรายเดือนแล้วใช่ไหมคะ? พี่อย่าตื่นเต้นเกินไปล่ะ ต่อให้สอบได้แย่บ้างก็ไม่เป็นไรหรอก คุณปู่เองก็ไม่ได้ต้องการให้พี่สอบให้ได้ที่หนึ่งอยู่แล้ว!”
เหอปี้อวิ๋นทนเก็บอารมณ์โกรธไม่อยู่จึงตำหนิออกมา “แกพูดบ้าอะไร พี่แกต้องสอบได้ที่หนึ่งอยู่แล้ว ยังไม่รีบเอากับข้าวไปเก็บอีก!”
อู่เหมยเบะปากอย่างไม่สนใจเหอปี้อวิ๋น และเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ในตอนนี้ขนาดอู่เจิ้งซือเองยังไม่อยากจะเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้เลย แล้วเธอจำเป็นต้องสนใจด้วยหรือ?
อู่เยวี่ยพยายามสัมผัสเหอปี้อวิ๋นที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างเบาๆ พลันชี้ไปยังห้องที่มีอู่เจิ้งซืออยู่ พร้อมทั้งส่ายหน้าเป็นเชิง เพื่อให้เหอปี้อวิ๋นใจเย็นและไม่วู่วาม แม้ว่าตัวเธอเองจะโกรธมากก็ตาม แต่ในตอนนี้พวกเธอทำได้เพียงแค่อดทน จะบุ่มบ่ามปะทะกับอู่เหมยอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้
ภายในห้องมีฉิวฉิวที่กำลังนอนแทะไก่หลนใบบัวอยู่ ฉิวฉิวที่โตขึ้นมาเล็กน้อย แต่ต่อมรับอาหารของมันกลับไม่ได้น้อยตาม ไก่หนึ่งตัวที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของมัน มันยังสามารถกินเข้าไปได้อย่างเกลี้ยงเกลา แม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือ
“แกดูขนบนตัวแกสิ มันไปหมดแล้ว พี่จะอาบน้ำให้แกเอง!”
อู่เหมยมองดูขนมันๆ บนตัวของฉิวฉิวอย่างไม่ชอบใจ เธอจึงรีบวิ่งออกไปตวงน้ำหนึ่งกะละมังเข้ามาในห้องเพื่อเตรียมอาบน้ำให้กับฉิวฉิว เพราะคืนนี้เธอจะต้องรบกวนให้คุณชายฉิวไปพรมน้ำหอมให้กับอู่เยวี่ย!
เป็นเพราะใกล้จะถึงช่วงสอบประจำเดือนนี้แล้ว!
อู่เยวี่ยเดินออกจากห้องมา เป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นอู่เหมยกำลังยกน้ำเดินเข้าไปในห้อง เธอเกิดรู้สึกถึงความไม่สบายใจและอดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปยังห้องของอู่เหมย แอบอยู่ตรงหน้าประตู และนั่นเป็นการกระทำภายใต้จิตสำนัก แต่นั่นกลับทำให้เธอได้ยินเสียงของอู่เหมยกำลังพูดกับใครบางคนจากในห้อง
“ฉิวฉิวเป็นเด็กดี เราจะอาบน้ำให้ตัวหอมๆ แบบนั้นถึงจะทำให้มีกระรอกตัวเมียสวยๆ เข้ามาชอบแก!”
อู่เหมยเกลี้ยกล่อมคุณชายฉิวเสียงเบา เจ้าแสบไม่ชอบอาบน้ำเลยสักนิด ทุกครั้งที่อาบน้ำจะต้องพูดจาดีๆ ด้วย และมีเพียงแค่คำพูดแบบนี้ที่จะทำให้มันยอมได้ ขนาดลูกกวาดอร่อยๆ ยังไม่สามารถทำให้คุณชายฉิวยอมได้
อู่เยวี่ยทำเป็นหูตั้ง แต่ก็ได้ยินไม่ชัดว่าเธอพูดอะไรกันแน่ เธอกำลังเตรียมจะผลักประตูเข้าไปดูให้แน่ชัด แต่ประตูด้านในกลับถูกดึงเปิดออก อู่เหมยยืนอยู่หน้าประตูและมองเธออย่างเย็นชา “พี่มาทำอะไรหน้าประตูห้องของฉัน? จะมาขโมยของอีกเหรอ?”
“ฉันแค่จะเข้ามาคุยกับเธอก็เท่านั้น อู่เหมยเธออย่าพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้สิ เราสองคนเป็นพี่น้องกันแท้ๆ!”
อู่เยวี่ยพูดจาดีอย่างมีกริยาท่าทาง สายตาเธอสอดส่องเข้าไปในห้องตลอดเวลา แต่ในห้องกลับไม่มีใครอยู่ และกะละมังที่ใส่น้ำใบนั้นก็วางอยู่บนโต๊ะ
“เหมยเหมยเธอเอาน้ำมาทำอะไร?” อู่เยวี่ยอดไม่ได้ที่จะถาม
“ฉันเอามาเช็ดโต๊ะ ทำไมเหรอ พี่อยากช่วยฉันเช็ดเหรอ?” อู่เหมยใช้มือทั้งสองข้างกอดอกไว้ และมองอู่เยวี่ยอย่างเยาะเย้ย
แน่นอนว่าอู่เยวี่ยไม่มีทางจะช่วยเธอเช็ดโต๊ะ ขนาดโต๊ะของเธอเองยังต้องให้เหอปี้อวิ๋นเป็นคนเช็ดให้ เธอชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดได้สักพักก็ทนไม่ได้ จึงต้องกลับห้องตัวเองไป อู่เหมยคุยกับใครกันแน่?
อู่เหมยรู้สึกโล่งใจมาก โชคดีที่หูของฉิวฉิวดีมากราวกับหูทิพย์ ไม่เช่นนั้นอู่เยวี่ยต้องเจอตัวฉิวฉิวแน่ อันตรายมาก!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 348 ยินดีด้วย
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผลของการแข่งขันวาดรูปออกมาแล้ว ไม่เกินคาดจากที่เฮ่อเหวินจิ้งเดาไว้ อู่เหมยได้คะแนนดีจนได้รางวัลชนะเลิศอันดับสอง อันดับที่หนึ่งและสามต่างตกเป็นของนักวาดมืออาชีพที่มีประสบการณ์มากกว่าสิบปี อู่เหมยเองถือว่าเป็นม้ามืดเลยล่ะ หลายๆ คนต่างก็อยากรู้ว่าคนที่ได้รางวัลอันดับสองเป็นลูกศิษย์คนเก่งของใคร
จริงๆ แล้วโอกาสที่อู่เหมยจะได้รางวัลที่สองมีอยู่สูงมาก ในช่วงที่ตัดสินลำดับ ผู้คุมแข่งต่างแบ่งความเห็นออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคัดค้านที่จะให้อู่เหมยได้ตำแหน่ง แต่อีกกลุ่มหนึ่งกลับสนับสนุนให้อู่เหมยได้รับรางวัล
เหตุผลที่คัดค้านเป็นเพราะลายเส้นของอู่เหมยดูเกินวัย แค่ดูก็รู้ว่าเป็นบุคคลที่เรียนวาดรูปมาได้ไม่นาน ส่วนอีกกลุ่มที่สนับสนุนอู่เหมยบอกว่าอู่เหมมยมีไหวพริบดี ลายเส้นที่ใช้สามารถพัฒนาได้ แต่ไหวพริบนั้นคือสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด หน่ออ่อนที่มีความสามารถจะต้องรักษาไว้ให้ดี
สำคัญที่สุดคือ ภาพวาดของอู่เหมยมีความเป็นเอกลักษณ์ ต่างจากผู้เข้าแข่งขันรายอื่นที่เอาแต่วาดในแบบเดิมๆ แม้ว่าลายเส้นจะดูถนัดและวาดออกมาได้สวย แต่ขาดความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจน
การลงความเห็นของผู้คุมทั้งหลายถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เกือบจะทำให้ต้องทะเลาะกันขึ้นมา โชคดีที่มีผู้คุมที่มีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งคนหนึ่งอยู่ฝั่งที่สนับสนุน ซึ่งผู้คุมคนนี้ก็คือเพื่อนคนนั้นของเฮ่อเหวินจิ้ง ตัวของเขาเองก็ชื่นชอบต่อภาพวาดของอู่เหมย และอีกอย่างก็เพราะเห็นแก่หน้าของเฮ่อเหวินจิ้งด้วย รางวัลที่สองที่อู่เหมยได้มาก็เพราะเหตุผลนี้
ที่อู่เหมยเข้าร่วมการแข่งขันไม่ใช่เพียงแค่อู่เจิ้งซือไม่รู้ ขนาดทางโรงเรียนเองก็ไม่รู้ จนเมื่อทางกระทรวงการศึกษาได้มอบเกียรติบัตรให้ ทางโรงเรียนทดลองถึงได้ทราบเรื่อง ฝั่งผู้อำนวยการดีใจจนยิ้มไม่หุบ และได้เข้าไปสอบถามต่อทางรองผู้อำนวยการว่าอู่เหมยเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้วาดรูปเก่ง ก่อนหน้านี้เธอต้องเคยเข้าร่วมการแข่งขันเล็กๆ น้อยๆ มาแล้วแน่ๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีชื่อเสียงในโรงเรียนเลย
และก็เป็นเช่นนั้นจริง อู่เหมยเธอเป็นที่รู้จัก เป็นแค่นักเรียนบ๊วยที่ทำเรื่องน่าทึ่งให้คนต้องประทับใจ ผู้อำนวยการเองก็มีความทรงจำต่ออู่เหมยอยู่บ้าง เธอเป็นถึงลูกสาวของอู่เจิ้งซือนี่ และยังเป็นคนที่มีลักษณะเพี้ยนๆ แปลกๆ และคงแปลกมากถ้าหากเขาจะจำไม่ได้!
“ว่าแล้วเชียว ผมก็คิดอยู่ว่าครูอู่จะไม่มีของดีเหลืออยู่ได้ยังไง ที่แท้เขาก็อยากจะเลี้ยงดูลูกสาวคนเล็กให้กลายเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถด้านศิลปะ ไม่เลวๆ เรียนไม่เอาไหนแต่วาดรูปได้ดีเยี่ยม สมแล้วที่ครูอู่เป็นหนึ่งในครูต้นแบบดีเด่นของเมือง ความคิดหลักแหลมยิ่งกว่าคนธรรมดา!”
ผู้อำนวยการรู้สึกชื่นชมและศรัทธาต่อตัวอู่เจิ้งซือเป็นอย่างยิ่ง เมื่อก่อนในวงการศึกษาต่างพากันหัวเราะเยาะอู่เจิ้งซือ แต่เขากลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แอบอบรมสั่งสอนลูกสาวคนเล็กอยู่ที่บ้านเงียบๆ นี่ยังไม่เรียกว่าเป็นเรื่องน่าทึ่งอีกหรือ?
สายตาของใครหลายๆ คนแทบจะทะลุออกมาแล้ว!
ในทุกๆ ปีผู้อำนวยการมักจะเข้าประชุมหารือพร้อมกับอู่เจิ้งซือ และบางครั้งพวกเขาก็นั่งด้วยกัน แม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน แต่ความสัมพันธ์อันดีก็ถือว่ายังพอมีบ้าง ยิ่งเขาชื่นชมในตัวอู่เจิ้งซือ ก็ยิ่งอยากจะรู้จักมากขึ้น อู่เจิ้งซือเป็นถึงครูดีเด่น พ่อและพี่ชายคนโตของเขาก็เป็นถึงศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยจิน ในแวดวงของการศึกษาตระกูลนี้ก็ถือว่าเป็นที่รู้จักพอสมควร หากได้คลุกคลีอยู่ร่วมกับคนประเภทนี้มีแต่จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ
อู่เจิ้งซือที่เพิ่งสอนเสร็จและออกมาจากห้องเรียนได้กลับมายังห้องพักครู บนหน้าผากของเขามีแผ่นยาแปะอยู่ นั่นถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์ดีๆ ของเขาไปเสียหมด และช่วงนี้ก็ได้เกิดเรื่องขึ้นในบ้านตระกูลอู่ คำพูดติฉินนิทาในโรงเรียนก็ยังไม่ได้หายไป อู่เจิ้งซือเองก็เงียบไปกว่าปกติมาก ทุกๆ วันทำได้เพียงแค่เข้าสอนและตรวจข้อสอบ ไม่ยอมคุยกับใครเลย
เสียงโทรศัพท์ในห้องพักครูดังขึ้น อู่เจิ้งซือจึงกดรับสาย อีกฝั่งแนะนำตัวว่าเป็นสายตรงจากผู้อำนวยการของโรงเรียนทดลอง ในใจของอู่เจิ้งซือเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ คิดว่าคงเกิดเรื่องอะไรกับอู่เยวี่ยอีก ในครั้งก่อนที่อู่เยวี่ยมีกลิ่นเต่า ก็เป็นเวลาเดียวกันกับตอนนี้ที่มีสายเข้ามา
“ครูอู่ ยินดีด้วยครับ!”
น้ำเสียงหนักแน่นและมีพลังพร้อมเสียงหัวเราะร่าเริงถูกส่งมาจากปลายสาย ทำให้อู่เจิ้งซือรู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
…………………………………………………………………………………………..