ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 355 ตำแหน่งที่เปลี่ยนไป + ตอนที่ 356 ดาวล้อมเดือน
ตอนที่ 355 ตำแหน่งที่เปลี่ยนไป
เหอปี้อวิ๋นรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงพูดออกมา “คุณอู่ ทำไมคุณถึงได้พูดแบบนี้? สอบก็เพื่อให้ได้ลำดับที่ดีๆ ไม่ใช่เหรอ? หากไม่สนใจลำดับที่แล้วจะสอบไปเพื่ออะไร?”
อู่เจิ้งซือจ้องเธอกลับ และพูดตักเตือน “โชคดีที่เธอยังได้เป็นครูอยู่ แต่คำพูดแบบนี้อย่าได้ออกไปพูดที่ไหนล่ะ อับอายขายขี้หน้า!”
แน่นอนว่าสอบก็เพื่อให้ได้ลำดับที่ดีๆ ทุกคนต่างก็คิดแบบนี้ แต่กลับไม่กล้าพูดออกมา โดยเฉพาะคนที่เป็นครูยิ่งไม่ควรพูดจาแบบนี้ แต่ควรจะพูดว่า ‘ลำดับที่ไม่ได้สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือเธอพยายามเต็มที่แล้วหรือยัง?’
คนเราบางครั้งก็ต้องทำเป็นเสแสร้งบ้าง ในใจคิดอย่างหนึ่งแต่สิ่งที่พูดออกมาทั้งหมดกลับไม่ใช่เรื่องเดียวกัน!
อู่เยวี่ยพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ และหันไปยิ้มหวานให้อู่เจิ้งซือ “พ่อคะ หนูจะพยายามทำให้เต็มที่ค่ะ”
ท่าทีของพ่อที่เปลี่ยนไปต้องเป็นเพราะครั้งก่อนเธอสอบได้คะแนนแย่ แล้วทำให้พ่อเสียใจแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ครั้งนี้เธอสอบได้คะแนนดี พ่อก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
เรื่องที่อู่เหมยได้รับรางวัลได้ถูกอู่เชาป่าวประกาศไปทั่วทั้งบ้านแล้ว คุณปู่อู่ หรือแม้แต่คุณย่าเองก็ได้ทราบเรื่องนี้แล้ว พวกเขาต้องดีใจอยู่แล้วเป็นธรรมดา สิ่งเดียวที่คนในบ้านตระกูลอู่มีคือการรักในศักดิ์ศรีและหน้าตา ใครที่สามารถสร้างความเป็นเกียรติให้กับวงตระกูลได้ถือว่าเป็นเด็กดี และแน่นอนว่าทุกคนต่างชื่นชอบ ยกเว้นแค่คุณย่าอู่
ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็ไม่สามารถชอบอู่เหมยได้ แต่เธอเองก็ดีใจอยู่ไม่น้อย จะอย่างไรก็ถือเป็นเด็กของตระกูล ยิ่งได้รับรางวัลแล้วก็ถือเป็นเกียรติของตระกูล
มีสายโทรเข้าจากคุณปู่อู่ ชวนให้อู่เจิ้งซือและทุกคนในครอบครัวไปทานข้าวที่บ้าน เป็นการบอกเหตุผลที่ชัดเจนจากคุณปู่ว่าให้เอาเกียรติบัตรฉบับนั้นมาด้วย
พอดีกับที่เหอปี้อวิ๋นเองไม่อยากทำกับข้าวแล้ว เธอจึงนำเนื้อในกระทะที่ผัดอยู่สาดลงไปในชาม เก็บเอาไว้สำหรับกินในวันพรุ่งนี้ แบบนั้นยิ่งทำให้ประหยัดค่าเนื้อไปได้อีกตั้งหนึ่งมื้อ
ทุกคนที่อยู่ทางฝั่งคุณปู่ต่างมากันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศครึกครื้นราวกับจัดงานเทศกาลขึ้น เกียรติบัตรของอู่เหมยได้ถูกทุกๆ คนส่งต่อๆ กันเพื่ออ่าน ทุกคนต่างพากันชื่นชมต่ออู่เหมยไม่หยุด
อู่เยวี่ยและจี้เหวินฮุ่ยต่างพากันนั่งเงียบ เพราะคำพูดไพเราะที่เอาแต่ชื่นชมนี้ แต่ก่อนทุกคนต่างใช้มันพูดกับเธอ แต่ในตอนนี้ผู้ที่ได้รับมันไปถูกเปลี่ยนไปเป็นอู่เหมย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลงจึงทำให้เธอรู้สึกหดหู่
ตี๋ชิวเยวี่ยดีใจกับอู่เหมยเป็นที่สุด เธอยิ้มแย้มและพูด “พ่อคะ แม่คะ ดูเหมือนว่าตระกูลเราจะมีจิตรกรแล้วนะ อู่เหมยเรียนวาดรูปในระยะเวลาแค่สองเดือนก็ได้รับรางวัลแล้ว เธอมีพรสวรรค์ขนาดนี้ อีกหน่อยต้องเป็นจิตรกรได้แน่”
คุณปู่ส่งยิ้มอ่อนๆ ให้ ท่านมักจะชอบฟังคำพูดคำจาของลูกสะใภ้อย่างเธอ ทุกคำพูดสามารถสื่อลึกไปถึงก้นบึ้งของใจเขา แม้ว่าตระกูลอู่จะเป็นที่รู้จักในเรื่องการเรียนการศึกษามาหลายรุ่น แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เคยมีลูกหลานที่มีพรสวรรค์มาก่อน มีเพียงแค่การเรียนที่อาจจะเก่งกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง แต่พรสวรรค์อย่างเช่นด้านการแต่งกลอน วาดรูปหรือเขียนพู่กัน กลับยังไม่เคยมีให้เห็น
เหมือนกับอู่เชาที่คะแนนไม่ค่อยดี แต่คุณปู่ก็ยังรักเขามากกว่าคนอื่น เป็นเพราะพรสวรรค์ในตัวอู่เชา เจ้าเด็กอ้วนนี้เป็นหลานของตระกูลอู่ที่มีพรสวรรค์ที่สุด อายุน้อยอย่างเขาสามารถเขียนกลอนประพันธ์เพลงได้ อีกทั้งยังรอบรู้เกี่ยวกับเสียงสัมผัสด้านดนตรีได้อย่างลึกซึ้ง โดยที่หลานคนอื่นๆ ไม่สามารถเทียบกับเขาได้
แต่ในตอนนี้มีอู่เหมยเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว หลานสาวคนเล็กทำให้เขาเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่ง โดยที่เมื่อก่อนเธอไม่เคยแสดงออกให้เห็นถึงความสามารถที่ตัวเองมีอยู่เลย แต่จู่ๆ กลับแสดงผลงานอันน่าทึ่งออกมาให้เห็น ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก!
คุณปู่อู่ได้นำเกียรติบัตรไปวางไว้บนตู้โชว์ในห้องรับแขก และถือเป็นส่วนกลางห้อง สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แขกที่เดินเข้ามาก็สามารถมองเห็นได้
“ไม่เลวนะ เกียรติบัตรนี่ก็เอาไว้ที่นี่แหละ ไว้พรุ่งนี้ปู่จะรีบไปหากรอบรูปกระจกมาใส่ให้” คุณปู่มองเกียรติบัตรซ้ายทีขวาทีอย่างพึงพอใจ
แต่อู่เจิ้งซือรู้สึกไม่ค่อยพอใจ จึงพยายามช่วงชิงดูสักครั้ง “พ่อครับ ผมเองก็อยากได้เกียรติบัตรฉบับนี้ไปแขวนไว้ในห้องรับแขกของบ้านผมเหมือนกัน”
คุณปู่ปฏิเสธอย่างแน่วแน่ “แขวนไว้ที่นั่นเพื่ออะไร? บ้านหลังนี้ออกจะกว้าง แขวนไว้ที่นี่แหละ!”
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 356 ดาวล้อมเดือน
สุดท้ายก็เป็นคุณปู่อู่ที่เป็นฝ่ายชนะ ก็ท่านเป็นผู้อาวุโสนี่ อู่เจิ้งซือยิ้มอย่างเสียดาย “พ่อครับ ถึงอย่างไรก็ควรจะให้ผมเอากลับไปไว้ที่บ้านสักหน่อยไหม? เพื่อนหลายๆ คนต่างก็อยากจะมาที่บ้านเพื่อดูเกียรติบัตร ถ้าพ่อเอาไปแล้วผมจะเอาอะไรให้คนอื่นดูล่ะ?”
คุณปู่อู่ถือว่าเป็นคนที่มีเหตุผล แค่ได้ยินว่าเป็นการเพิ่มเกียรติให้ตระกูลอู่ ก็ตอบตกลงในทันที และเอาเกียรติบัตรส่งคืนให้กับอู่เจิ้งซือ เขายังได้กำชับอีกว่า “เอาไว้ที่บ้านไม่กี่วันก็พอแล้ว แต่ต้องเอามาคืนก่อนถึงวันปีใหม่นะ ยิ่งเดือนแรกของปีจะมีแขกมาเยอะ”
ความหมายของประโยคนี้ก็คือ ในเดือนแรกของปีเขาจะได้โอ้อวดสักหน่อย!
ตี๋ชิวเยวี่ยหันไปมองยังอู่เหมยที่เอาแต่สงบเงียบ และรู้สึกดีใจแทนเธอจริงๆ เจ้าเด็กน้อยคนนี้ถือว่าผ่านจุดวิกฤตมาได้แล้ว!
“พ่อและน้องสองจะแย่งกันไปทำไมคะ? เหมยเหมยวาดรูปเก่งขนาดนี้ อีกหน่อยรางวัลที่ได้รับต้องไม่น้อยแน่ๆ ทั้งสองคนยังกลัวว่าจะไม่มีเกียรติบัตรให้แขวนอีกเหรอคะ? แต่เกรงว่าอีกหน่อยตู้โชว์ในห้องรับแขกของบ้านเราจะไม่พอแขวนมากกว่านะ!”
คำพูดเกลี้ยกล่อมของตี๋ชิวเยวี่ยได้ทำให้ทั้งคู่จิตใจร่าเริงขึ้น แม้แต่อู่เจิ้งต้าวที่หน้านิ่งราวน้ำแข็งมาแต่ไหนแต่ไร ยังยิ้มตามออกมาได้ หลานสาวคนเล็กคนนี้ได้นำเกียรติมาให้ตระกูลอู่จริงๆ พรุ่งนี้ไปทำงานจะต้องพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานสักหน่อยแล้ว ว่าบ้านตระกูลอู่เองก็มีหลานชายหลานสาวที่มีพรสวรรค์
อู่เหมยเองได้แต่นั่งนิ่งเงียบฟังญาติพี่น้องคุยโม้โอ้อวดกัน ใบหน้าของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คำพูดคำจาที่เปล่งออกมานั้นหวานเสียยิ่งกว่าน้ำผึ้ง และสายตาที่มองเธอก็มีแต่ความรักใคร่เอ็นดู ตัวเธอเองในตอนนี้เป็นดั่งเจ้าหญิงตัวจริง เพราะได้กลายเป็นคนโปรดที่สุด
แต่เธอกลับไม่รู้สึกซาบซึ้งใดๆ ในใจไม่มีแม้แต่คลื่นจังหวะของการเต้น ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีเลย
สำหรับตระกูลอู่แล้ว เธอเป็นแค่คนนอก ต่อให้เธอจะประสบความสำเร็จหรือจะล้มเหลว ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับคนตระกูลอู่ เพราะเธอเห็นธาตุแท้จากคำพูดและภาพลักษณ์ของญาติพี่น้องมาตั้งแต่แรก
สำหรับพวกเขาแล้ว ชื่อเสียงและเกียรติยศเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกเด็กๆ เป็นเพียงแค่เกียรติอันจอมปลอมและเครื่องมือในการคุยโม้โอ้อวดก็เท่านั้น!
เมื่อก่อนเธอเป็นเพียงแค่เด็กบ๊วย อัปลักษณ์จนไม่กล้าสู้หน้าใคร ไม่ว่าเหอปี้อวิ๋นจะปฏิบัติต่อเธอได้โหดร้ายหรือทารุณแค่ไหน ก็ไม่เคยมีใครออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้เธอเลย แค่กลัวว่าหากเธอตายไปจะไม่มีแม้แต่คนที่จะมาเสียน้ำตาให้เธอ!
เพียงแต่ตอนนี้เธอสวยและยังดูมีอนาคต เลยทำให้ญาติพี่น้องเหล่านี้เปลี่ยนสีได้ จึงหันมาให้ความสนใจกับเรื่อของเธอมากขึ้น พวกเขาเอาแต่ชื่นชมและพูดจาด้วยคำพูดที่อู่เหมยอยากได้ยินในสมัยก่อนแต่กลับไม่เคยได้ยินเลย
แต่ในตอนนี้เธอไม่ได้ใส่ใจแล้ว เพราะเธอได้เปลี่ยนไปและแข็งแกร่งขึ้น!
อู่เหมยหันไปมองยังอู่เยวี่ยที่เอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่เข้าประตูบ้านมา เธอนั่งอยู่ในมุมๆ หนึ่ง โดยไม่มีใครให้ความสนใจต่อเธอ และไม่มีใครเข้าไปพูดคุยกับเธอแม้แต่ประโยคเดียว ดูเหมือนเธอจะหดตัวอยู่และดูน่าสงสาร ไม่ต่างจากเธอในสมัยก่อนเลย เธอกับอู่เยวี่ยหลุดจากตำแหน่งเดิมแล้ว
ในใจของอู่เยวี่ยในตอนนี้เกิดความสับสนขึ้นเป็นอย่างมาก แม้ว่าก่อนมาที่นี่เธอจะพยายามสร้างเกราะกำบังให้ตัวเองแล้ว ต้องไม่สนใจท่าทีของคุณปู่และทุกคน จะต้องใจเย็น และจะต้องทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไร
แต่พอได้มาเห็นกับตาตัวเองว่าญาติพี่น้องต่างพากันห้อมล้อมรอบตัวอู่เหมย ความสนใจของทุกคนต่างก็อยู่ที่อู่เหมย แม้แต่คุณย่าที่รักเธอมาก ยังเอาแต่มองแค่อู่เหมย จะถามเธอสักคำก็ไม่มีเลย ทั้งที่วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสอบรายเดือนของเธอ
อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากตัวเองแน่น กลิ่นคาวราวกับสนิมได้กระจายไปทั่วปาก เธอฝืนตัวเองให้ยิ้มออกมา จะขายหน้าต่อหน้าอู่เหมยไม่ได้เด็ดขาด เธอคือความภาคภูมิใจของตระกูลอู่ และเป็นเจ้าหญิงของตระกูลอู่ อู่เหมยเป็นได้แค่หงส์ตัวปลอม สักวันเธอจะต้องแย่งชิงของที่เป็นของเธอกลับมาให้ได้!
เธอรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองอยู่ อู่เยวี่ยจึงได้เงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นอู่เหมยที่เบะปากส่งให้เธอ มือเล็กๆ ของเธอยังชี้ลงด้านล่าง และพูดให้อ่านตามปากโดยไม่ออกเสียง
“ยัยชั่ว!”
…………………………………………………………………………………………..