ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 357 ไก่ทัั้ง 2 น่อง เป็นของเธอ + ตอนที่ 358 อู่เยวี่ยยอมคุกเข่า
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 357 ไก่ทัั้ง 2 น่อง เป็นของเธอ + ตอนที่ 358 อู่เยวี่ยยอมคุกเข่า
ตอนที่ 357 ไก่ทัั้ง 2 น่อง เป็นของเธอ
เมื่ออารมณ์เริ่มเดือดพล่านขึ้น สีหน้าของอู่เยวี่ยได้เปลี่ยนไปอย่างมาก เธอเข้าใจภาษาปากของอู่เหมย ยัยโง่นี่บังอาจมากที่ด่าเธอต่อหน้าทุกคนในครอบครัว มันชักจะได้ใจเกินไปแล้ว แค่การแข่งขันวาดรูปเท่านั้นเอง บนโลกใบนี้มีคนที่วาดรูปเก่งอยู่ตั้งมากมาย ในวันข้างหน้าอู่เหมยจะประสบความสำเร็จหรือเปล่ายังคาดเดาไม่ได้เลย!
การเรียนดีถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ขอแค่เธอสามารถสอบเข้าสถาบันการศึกษาระดับสูงอย่างมหาวิทยาลัยชิงหวาหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ กระทั่งสามารถเรียนถึงปริญญาโท ปริญญาเอกได้ แล้วมาดูกันว่าใครที่มีความสามารถมากกว่ากัน!
อู่เยวี่ยพยายามฝืนทนต่อความรู้สึกโกรธเพื่อให้ใจเย็นลง เธอรู้ดีว่าอู่เหมยต้องการจะจุดประกายไฟความโกรธให้เธอ เธอจะหลงอยู่ในกลอุบายของยัยชั่วนี่ไม่ได้ เธอจะต้องพยายามรักษาสภาพทางจิตใจไว้ให้ดี เพื่อต้อนรับการสอบที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้
ทุกคนต่างเข้าใจเหตุผลดี แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้?
เธอได้แรงกระตุ้นอย่างหนักจากทั้งคนในตระกูลอู่และอู่เหมย ราวกับใจของอู่เยวี่ยถูกแช่ในน้ำสมุนไพรหวงเหลียน ขมไปทั้งตัว ต่อให้เป็นขิงสดในน้ำซุปไก่ พอดื่มเข้าไปก็ขมอยู่ดี กินอะไรเข้าไปก็ไม่รู้รส
“เหมยเหมยกินน่องไก่นี่สิ ลูกชอบกินน่องไก่เป็นที่สุดไม่ใช่เหรอ?” อู่เจิ้งซือคีบน่องไก่วางไว้ในจานของอู่เหมย
อู่เหมยรับมาอย่างไม่เกรงใจ พร้อมทั้งยิ้มหวานส่งให้และพูด “ขอบคุณค่ะพ่อ”
คุณปู่อู่มองดูหลานสาวคนเล็กอย่างยิ้มแย้ม มองอย่างไรก็รู้สึกว่าเธอสวย กริยาท่าทางตอนกินน่องไก่ยังดูมีสง่า อายุน้อยๆ อย่างเธอก็สามารถกลายเป็นหญิงสาวที่มีบุคลิกน่านับถือได้ ทำได้ไม่เลวจริงๆ
คุณปู่น่าจะลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เขาเคยติเตียนอู่เหมย บอกว่าวาจาท่าทางในการกินข้าวของเธอดูไม่เรียบร้อย ไม่มีความสุขุมเลยสักนิด ความจำแย่เสียจริง!
“เหมยเหมยชอบกินน่องไก่เหรอ? ถ้างั้นน่องไก่ทั้งสองชิ้นยกให้หนูเลย!” ตี๋ชิวเยวี่ยเองก็ได้คีบน่องไก่อีกชิ้นส่งให้อู่เหมย เธอสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดีมาก รู้ดีว่าช่วงเวลาไหนควรปฏิบัติอย่างไร เธอจะไม่ทำตัวล้ำเส้นหรือเกินขอบเขต
ในช่วงเวลานี้คุณปู่มองอู่เหมยราวกับเธอเป็นดั่งภูเขาทองคำ ต่อให้เธอจะยกไก่ทั้งตัวให้กับอู่เหมย คุณปู่ก็ไม่มีทางพูดหรือต่อว่าอะไร สำหรับเด็กที่นำเอาเกียรติยศและหน้าตามาให้แก่ตระกูลของเรา แน่นอนว่าคุณปู่จะต้องใจกว้างขึ้น
ใบหน้าของคุณปู่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงส่งยิ้มให้ราวกับพระอริยเมตไตรย กระทั่งยังพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าชอบกินก็กินเยอะๆ ล่ะ ช่วงนี้ร่างกายของอู่เหมยกำลังเจริญเติบโต ต้องกินเนื้อเยอะๆ เจ้าสองกับลูกสะใภ้ อีกหน่อยหมั่นตุ๋นไก่ให้อู่เหมยกินด้วยล่ะ เด็กคนนี้ดูผอมมาก”
เหอปี้อวิ๋นพยายามเก็บอารมณ์โกรธไว้ ยอมรับด้วยความนอบน้อม จิตใจและอารมณ์ของเธอไม่ได้ดีไปกว่าอู่เยวี่ยเลย เพราะเธอเองสงสารลูกสาวมาก แทบทั้งคืนไม่มีใครสนใจจะพูดกับอู่เยวี่ยแม้แต่ประโยคเดียว มองดูอู่เยวี่ยที่นั่งอยู่ในมุมอับอย่างน่าสงสาร เธอเจ็บปวดใจแค่ไหนคงไม่ต้องพูดถึง!
“พ่อวางใจเถอะค่ะ ต่อไปหนูจะใส่ใจต่ออาหารการกินของพวกเด็กๆ ให้มากขึ้น เยวี่ยเยวี่ยเองก็ผอมลงไปมาก วันๆเอาแต่อ่านหนังสือจนดึกดื่นทั้งคืน หนูพูดอะไรเธอก็ไม่ยอมฟัง” เหอปี้อวิ๋นจงใจที่จะเปลี่ยนมาคุยถึงเรื่องของอู่เยวี่ยแทน
คุณย่ามองไปยังอู่เยวี่ยที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่ในมุมๆ หนึ่ง ถึงได้รู้ว่าวันนี้เธอได้มองข้ามอู่เยวี่ยไป เธอมองที่คางของอู่เยวี่ย และใบหน้าที่ซีดขาว ทั้งรู้สึกเห็นใจสงสาร จึงได้รีบเอาไก่คีบส่งให้อู่เยวี่ยและพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “เยวี่ยเยวี่ยกินเนื้อเยอะๆ หน่อย ดูหลานสิผอมไปหมดแล้ว ต่อไปอย่าเอาแต่อ่านหนังสือมากเกิน ถ้าร่างกายทรุดโทรมจะทำยังไง?”
ความอบอุ่นที่เพิ่งจะได้รับทำให้เธอแทบน้ำตาไหล รู้สึกแสบเคืองที่หางตา อู่เยวี่ยพยายามสูดหายใจเข้า น้ำเสียงที่เปล่งออกมามีเสียงคัดจมูกปะปนอยู่ และพูดขึ้นเบาๆ “คุณย่าคะ หนูไม่เป็นไรหรอก หนูร่างกายแข็งแรงมาก”
อู่เหมยคีบเอาน่องไก่ส่งให้เจ้าเด็กอ้วนที่นั่งอยู่ข้างเธอ สายตาของเจ้าอ้วนเอาแต่จ้องมองน่องไก่ในจานเธอไม่วางตา เธอกินไปจนรู้สึกสะอิดสะเอียน เอาให้เขาไปจะดีกว่า
อู่เชาแทะกินน่องไก่ด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกซาบซึ้งต่อการกระทำของอู่เหมย อย่างน้อยยัยบ้านี่ก็ยังมีน้ำใจให้เขาอยู่บ้าง!
อู่เหมยมองเขาอย่างเอือมๆ แค่น่องไก่นิดเดียวก็ทำให้คืบหน้าแล้ว เธอกลอกตาไปมาและจ้องมองอู่เยวี่ยที่เอาแต่ออดอ้อนคุณย่าอยู่ พูดขึ้นเสียงดัง “คุณย่าคะ ร่างกายของพี่ไม่ได้แข็งแรงเลยสักนิด ย่าช่วยเกลี้ยกล่อมพี่หน่อยสิคะ ว่าอย่าเอาแต่จดจ่อกับการเรียนเกินไป”
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 358 อู่เยวี่ยยอมคุกเข่า
คำพูดของอู่เหมยทำเอาทุกคนที่นั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ ต่างพากันตกใจ และมองไปทางอู่เยวี่ยเป็นตาเดียว เด็กคนนี้ร่างกายไม่แข็งแรงเหรอ? หรือว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรที่ซับซ้อน?
คุณปู่อู่จ้องมองไปยังอู่เจิ้งซืออย่างเคร่งขรึม ในสายตามีคำถามปะปนอยู่ อู่เจิ้งซือจึงทำได้เพียงมองหน้าอู่เหมย ยัยเด็กนี่ทำไมถึงได้พูดจาไร้สาระอีกแล้ว?
“เหมยเหมยอย่าพูดไร้สาระ พี่สาวลูกร่างกายก็แข็งแรงดีนี่” อู่เจิ้งซือตักเตือนเสียงเบา
ใจของอู่เยวี่ยเต้นไม่เป็นจังหวะ ราวกับเธอเดาได้ว่าอู่เหมยต้องการจะพูดอะไร เธอจึงฝืนยิ้มและพูดออกไป “เหมยเหมยทำไมชอบพูดล้อเล่นอะไรแบบนี้อีกแล้วล่ะ ขนาดไข้หวัดพี่ยังไม่ค่อยเป็นเลย จะร่างกายไม่แข็งแรงได้ยังไง?”
อู่เหมยคลี่ยิ้มตรงมุมปาก มองไปยังอู่เยวี่ยราวกับเธอกำลังยิ้มให้แต่ไม่ใช่ และพูดขึ้นเสียงดัง “สภาพจิตใจของพี่ไม่ค่อยดี แรงกดดันมีมากเกินไป ทั้งหมดเป็นเพราะแม่บังคับ วันๆ เอาแต่พูดว่าต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง เป็นเพราะพี่ไม่อยากทำลายความหวังของแม่ ทุกวันนี้จึงต้องยอมกัดฟันฝืนทนอ่านหนังสือ จนแทบจะกลายเป็นโรคประสาทแล้ว!”
อู่เจิ้งซือถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ ดูเหมือนว่าลูกสาวคนเล็กจะฝังใจกับเหตุการณ์นี้มาก ตั้งแต่อยู่ที่บ้านจนมาถึงที่นี่ เรื่องที่เธอถูกอู่เยวี่ยบีบคอในครั้งก่อน คงจะทำให้เธอตกใจไม่น้อย
แท้จริงตัวเขาเองก็ยังแอบสงสัยว่าสภาพจิตใจของอู่เยวี่ยไม่ค่อยปกติ แต่เป็นเพราะหน้าตาและศักดิ์ศรีของเขา จึงได้แสร้งทำเหมือนว่าลืมเรื่องนี้ไป และจงใจไม่พูดถึงอีก
แต่อู่เหมยไม่มีทางยอมให้เขาได้สมใจหรอก เขาไม่อยากคิดก็ไม่เป็นไร เธอจะคอยย้ำเตือนเขาเอง ว่าเขามีลูกสาวที่เป็นโรคประสาท อู่เหมยเคยอ่านตำนานของฆาตรกร และก็เข้าใจถึงความน่ากลัวของข่าวลือ และมันก็ตรงกับที่คุณหลู่ซวิ่นเคยพูดไว้ ‘บนโลกไม่มีถนนหนทาง แต่พอคนเริ่มเดินมากขึ้น สุดท้ายก็จะกลายเป็นถนนขึ้นมาเอง’
ข่าวลือก็ไม่ต่างกัน เรื่องที่ไม่เป็นความจริง แต่พอคนพูดถึงมากๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องจริงได้เอง
เธอจะต้องเคี่ยวเข็ญให้อู่เยวี่ยเป็นบ้าจนได้!
อู่เยวี่ยรู้ดีว่าอู่เหมยจะพูดแบบนี้ เธอกัดฟันแน่นอย่างโกรธจัดจนฟันแทบแตก คืนนั้นเธอประมาทเกินไป ทำให้เข้าตามแผนของอู่เหมยได้ จนตอนนี้เธอกลายเป็นผู้ถูกกระทำแทน แต่เธอจะยอมแพ้ต่อเรื่องแค่นี้ไม่ได้ จะยอมให้อู่เหมยใส่ร้ายเธอเรื่องโรคประสาทไม่ได้
โรคประสาทเป็นเหมือนกับหนูที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทุกคนต่างรังเกียจ และต่างวิ่งไล่ทำร้ายมัน เธอจะไม่ยอมให้อู่เหมยโอ้อวดอยู่คนเดียว
“เหมยเหมย ครั้งก่อนที่พี่ฝันร้ายแล้วบีบคอน้อง เป็นความผิดของพี่เอง พี่ขอยอมคุกเข่าก้มหัวให้น้อง แต่ขอร้องว่าต่อไปนี้อย่าหาว่าพี่เป็นโรคประสาทอีกเลย ทุกครั้งที่น้องพูด ใจของพี่มันเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดแทง ยิ่งน้องสาวแท้ๆ มากล่าวหาว่าเป็นโรคประสาทอีก ความเจ็บปวดนี้ใครก็ไม่สามารถรับรู้ได้ พี่ขอโทษน้องด้วยนะ เหมยเหมยถ้าหากว่าน้องยังโกรธพี่อยู่ จะตบจะตีพี่ก็ได้นะ!”
อู่เยวี่ยรู้ดีว่าถ้าอยากจะพลิกเกมรอบนี้ได้ จะต้องยอมบอกความจริงออกไป ดังนั้นเธอจึงเลือกวิธีที่ทำให้ทุกคนตกใจอยู่ไม่น้อย
ไม่เป็นไร
วันนี้อาจได้รับความอับอายขายขี้หน้า แต่ต่อไปเธอจะเอาคืนเป็นร้อยเท่า!
อู่เหมย แกกับฉันได้เห็นดีกันแน่!
ทุกคนตกใจต่อการกระทำของอู่เยวี่ยเป็นอย่างมาก เด็กคนนี้ทำไมบอกว่าจะคุกเข่าก็คุกเข่าลงไปจริงๆ ล่ะ อู่เหมยเองก็ตกใจไม่น้อย ในใจรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เธอรู้ดีว่าเกมรอบนี้อู่เยวี่ยเป็นฝ่ายชนะ ยัยชั่วช้าคนนี้มีอุบายที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน
รู้จักที่จะหลอกใช้ความเห็นใจจากคนอื่น จงใจที่จะทำตัวน่าสงสาร จากนั้นก็จะได้รับความเห็นใจจากทุกคน หากว่าเธอเอาแต่พูดถึงเรื่องๆ นี้ นั่นก็แปลว่าเธอใจดำอำมหิต ใจแคบ ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ผิดอยู่ดี
แต่แล้วทำไมหรือ?
เธอไม่ได้อยากให้ทุกคนชื่นชมหรือปฏิบัติกับเธอด้วยความอ่อนโยน ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่เคยเก็บเอาความรู้สึกของญาติพี่น้องพวกนี้มาใส่ใจเลย สนใจว่าเขาจะมองตัวเองอย่างไรบ้างเถอะ!
เธอชอบทำอะไรอย่างตรงไปตรงมา นั่นถึงจะทำให้สบายใจ!
ตี๋ชิวเยวี่ยและเหอปี้อวิ๋นต่างพากันพยุงตัวอู่เยวี่ยขึ้น แต่พูดอะไรออกไปเธอก็ไม่ฟัง พูดแค่ว่าหากอู่เหมยไม่ให้อภัย เธอก็จะนั่งคุกเข่าไปเรื่อยๆ และจะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นอันขาด
…………………………………………………………………………………………..