ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 361 คาดหวังต่อความสำเร็จของอู่เหมย + ตอนที่ 362 ทำร้ายร่างกายมักติดเป็นนิสัย
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 361 คาดหวังต่อความสำเร็จของอู่เหมย + ตอนที่ 362 ทำร้ายร่างกายมักติดเป็นนิสัย
ตอนที่ 361 คาดหวังต่อความสำเร็จของอู่เหมย
สำหรับโรคประสาทของอู่เยวี่ย ทุกคนต่างเลือกที่จะเมินเฉยไป เพราะถึงอย่างไรก็เป็นลูกหลานของตระกูลอู่ หากเป็นโรคประสาท ก็อาจถึงกับทำลายเกียรติของตระกูลได้ คุณปู่อู่จ้องเหอปี้อวิ๋นอย่างเคร่งขรึม กดเสียงต่ำพูด “สะใภ้รอง ต่อไปนี้เธออย่าเข้ามายุ่งเรื่องการเรียนของอู่เยวี่ย เธอรับผิดชอบดูแลเรื่องการใช้ชีวิตของพี่รองและเด็กๆ ก็พอแล้ว”
คุณปู่หันกลับไปมองอู่เจิ้งซืออีกครั้งและพูด “เจ้ารอง ต่อไปนี้ต้องใส่ใจให้มากขึ้นและรับผิดชอบดูแลเรื่องการเรียนของพวกเด็กๆ วันๆ อย่าเอาแต่ยึดที่หนึ่งไว้จนติดปาก พยายามทำให้เต็มที่ก็พอ ผู้หญิงของตระกูลสามารถทำคะแนนให้อยู่ในระดับปานกลางขึ้นไปได้ก็พอแล้ว ช่วงก่อนนั้นพ่อกับแม่ก็ไม่ได้หวังสูงมากกับอู่เจิ้งหง แต่กับแกและพี่ชายแกก็ต้องต่างออกไป เกียรติยศและหน้าตาของวงตระกูลต้องพึ่งลูกผู้ชายอย่างเรา!”
อย่าว่าแต่เหอปี้อวิ๋นเลย ขนาดอู่เจิ้งซือเองที่ได้ฟังยังรู้สึกไม่สบายใจ การไม่มีลูกชายเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเสียใจที่สุด แต่เขาเองก็หวังอยากจะให้ลูกสาวสามารถเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้แก่วงศ์ตระกูลได้บ้าง ทางฝั่งลูกสาวคนโตดูท่าจะไม่มีหวังแล้ว แต่หากเป็นลูกคนเล็กละก็…
“พ่อคะ หนูไม่ชอบใจคำพูดของพ่อเอาซะเลย ใครบอกล่ะคะว่ามีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่จะสร้างเกียรติยศและหน้าตาให้วงศ์ตระกูลได้? หนูว่าเหมยเหมยก็ไม่เลวนะ รูปร่างหน้าตาดี แถมยังวาดรูปได้เก่งอีกต่างหาก ต่อไปเธอต้องทำให้พวกคุณเชิดหน้าชูตาได้แน่!”
ตี๋ชิวเยวี่ยยิ้มและพูดค้านต่อสถานการณ์ คำพูดครึ่งใหญ่ๆ ถือว่ามาจากใจเธอจริงๆ เธอคิดว่าต่อไปอู่เหมยจะต้องมีอนาคตที่ดี แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็ไม่คุ้นชินกับความคิดที่ผู้ชายเป็นใหญ่กว่าผู้หญิง แม้ว่าตัวเธอเองจะมีลูกชายถึงสองคน
คุณปู่อู่ได้ฟังคำพูดของเธอกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองใดๆ แต่ทอดสายมองอู่เหมยอย่างชื่นชม ความสามารถของหลานสาวคนเล็กช่างทำให้เขาคาดไม่ถึงจริงๆ เรื่องในอนาคตก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน!
อู่เจิ้งซือเองก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก คำพูดของสะใภ้ใหญ่เหมาะสมเสียยิ่งกว่าให้ตัวเขาเป็นคนพูด เพราะเขาเองก็คิดเช่นเดียวกัน!
อู่เจิ้งหงพูดอย่างสบายๆ “พี่สะใภ้ก็อย่าเพิ่งพูดไป คนเรียนวาดรูปในประเทศเรามีอยู่มาก แต่จะมีชื่อเสียงจริงๆ มีแค่กี่คนเอง? ฉันว่าแค่อู่เหมยได้รับรางวัลระดับเมืองก็ถือว่าดีมากแล้ว ยังไงก็ควรจะใส่ใจเรื่องการเรียนมากกว่านะ เช่นเดียวกับเหวินฮุ่ย”
หากพูดถึงอู่เจิ้งหง เธอเองก็ถือว่าเป็นของมีราคา ช่วงที่อู่เยวี่ยสอบได้คะแนนดี เธอมองอู่เยวี่ยอย่างไม่ชอบใจ ยิ่งตอนนี้อู่เหหมยได้รับรางวัล เธอยิ่งไม่ชอบใจอู่เหมยมากกว่าเดิม ประเด็นหลักคือใครหน้าไหนก็ไม่ควรข้ามหน้าข้ามตาลูกสาวของเธอ หากใครข้ามหน้าคนนั้นก็เป็นแค่ของไร้ค่า
จี้เจี้ยนโปจ้องภรรยาของตน เขาหัวเราะและพูด “เจิ้งหงแค่เป็นห่วงเหมยเหมย ถึงได้พูดจาคัดค้านอู่เหมยออกไป เหอะๆ ผมว่ายังไงอู่เหมยก็ต้องทำได้ ลุงขออวยพรให้อู่เหมยชนะการแข่งขันวาดรูปในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ปักกิ่ง และเอาเกียรติบัตรกลับมาเพิ่มนะ!”
โชคดีที่มีคำพูดของจี้เจี้ยนโปคอยพูดแก้สถานการณ์ ทำให้สีหน้าของอู่เจิ้งซือดีขึ้น อู่เจิ้งหงอยากพูดออกไปอีกแต่กลับถูกคุณย่าคีบเนื้อตูดไก่ยัดใส่ปากให้แทน คุณย่าจ้องมองเธออย่างโหดเหี้ยม และกดเสียงต่ำเพื่อพูด “หุบปาก!”
อู่เจิ้งหงทำได้แค่เบะปากและกัดกินตูดไก่ ทำได้แค่หวังให้ฤดูใบไม้ผลิของปีหน้ามาถึงเร็วๆ และขอให้อู่เหมยไม่ได้รับแม้แต่รางวัลเดียว แบบนั้นเธอถึงจะสบายใจ!
พอทานข้าวไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง จี้เจี้ยนโปแอบออกไปตามหาอู่เหมยและเจอเธอกำลังนั่งตากลมอยู่ในสวนหลังบ้าน จึงเข้าไปทักถามเกี่ยวกับเฮ่อเหวินจิ้ง อู่เหมยไม่ชอบการกระทำของจี้เจี้ยนโปที่เอาแต่ตามติดไม่ปล่อย โลภมากและไม่รู้จักพอ นอกจากจะทำผิดต่ออู่เจิ้งหงแล้ว ยังทำลายเฮ่อเหวินจิ้งด้วย
โชคดีที่เฮ่อเหวินจิ้งยังมีจ้าวอิงหนานคอยชักจูงไว้ ทำให้กลับเนื้อกลับตัวได้ทัน และไม่ได้ทำผิดซ้ำๆ ต่อไป
“ครูเฮ่อสบายดีค่ะ ปีหน้าครูก็จะกลับบ้านแล้ว ครูเฮ่ออยากให้คุณอาและอาหญิงใช้ชีวิตคู่อย่างสงบสุข เพราะฉะนั้นอย่าไปพบเจอเธออีกเลยค่ะ”
ประโยคสุดท้ายอู่เหมยพูดเพิ่มเอง ความเป็นจริงเฮ่อเหวินจิ้งยังคงมีความรู้สึกดีๆ ต่อจี้เจี้ยนโปอยู่ แต่ภายใต้แรงกดดันของจ้าวอิงหนาน ความรู้สึกดีๆ นี้ไม่ได้ทำให้เฮ่อเหวินจิ้งมีความกล้ามากพอที่จะกลับไปหาจี้เจี้ยนโปเพื่อรื้อฟื้นความหลัง อย่างมากก็แค่ระบายคำพูดกับอู่เหมยก็เท่านั้น
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 362 ทำร้ายร่างกายมักติดเป็นนิสัย
จี้เจี้ยนโปเดินกลับเข้าห้องรับแขกไปด้วยท่าทีซึมเศร้าเหงาหงอย อู่เหมยยังคงนั่งตากลมเย็นๆ อยู่ในสวน เธอไม่ได้อยากจะเข้าไปนั่งในห้องรับแขกเพื่อทนฟังคำพูดและเห็นสีหน้าของบรรดาญาติพี่น้องเลยสักนิด เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนนอก ไม่สามารถทำตัวให้เข้ากับพวกนี้ได้เลย
แม้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ค่อยดีขึ้น แต่สุดท้ายมื้อเย็นก็ยังสามารถดำเนินต่อได้ สักพักทุกคนต่างก็ทยอยแยกย้ายกันกลับ อู่เจิ้งซือเองก็ได้ขอตัวและพาภรรยากลับไปด้วย พอออกมาถึงประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยจิน รอยยิ้มบนใบหน้าของอู่เจิ้งซือได้จางหายไป เขาเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง เดินต่อไปอย่างไม่พูดไม่จา
ดูจากลักษณะแล้ว อู่เจิ้งซือจะกลับไปจัดการเหอปี้อวิ๋นเมื่อถึงบ้านเป็นแน่
อู่เยวี่ยถอนหายใจครั้งหนึ่ง พลางนึกว่าเหอปี้อวิ๋นโง่เกินไป ทั้งที่เรื่องต่างๆ สามารถทำให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ แต่กลับทำให้เธอต้องวุนวายไปหมด ตอนนี้ในใจของเธอหวังแต่เรื่องการสอบในวันพรุ่งนี้ ไม่มีอารมณ์ที่จะไปสนใจต่อเรื่องไร้สาระของเหอปี้อวิ๋น
อีกอย่างในใจของอู่เยวี่ยใช่ว่าจะไม่มีความคิด เหอปี้อวิ๋นทำผิดในเรื่องโง่ๆ หลายครั้ง ไม่เพียงแต่ช่วยอะไรเธอไม่ได้ แต่ในทางกลับกันเอาแต่สร้างเรื่องวุ่นวายให้เธอ แม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะดีกับเธอมากก็ตาม แต่แล้วอย่างไรล่ะ?
สิ่งที่เธออยากได้คือความช่วยเหลือ ไม่ใช่แค่คำพูดดีๆ ไม่กี่ประโยคหรือแม้แต่พวกซุปเป็ดไก่ ซึ่งนั่นมีประโยชน์อะไร?
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังหวังให้เหอปี้อวิ๋นเป็นปกติ อย่างไรแล้วลูกที่มีแม่คอยดูแลถึงจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่า และหากมีแรงจูงใจที่ดีมากพอ ไม่แน่ว่าเหอปี้อวิ๋นและอู่เจิ้งซือก็จะไม่ทะเลาะกันหนักกว่านี้ อีกทั้งตอนนี้เธอก็เข้าใจดีแล้วว่า อู่เจิ้งซือถือเป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมดในบ้าน เหอปี้อวิ๋นไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เมื่อก่อนเธอยังไม่เข้าใจเท่าอู่เหมย แม้ว่าเพิ่งเข้าใจก็ถือว่ายังไม่สาย ต่อไปนี้เธอจะเอาความสำคัญทั้งหมดมาลงที่อู่เจิ้งซือ
สิ่งที่อู่เหมยทำได้ เธอเองก็ทำได้ เพราะอย่างไรพ่อก็รักใคร่เอ็นดูแต่เธอ เพียงแค่เธอต้องพยายามใส่ใจให้มาก จะต้องทำให้พ่อกลับมารักเธออีกครั้ง
เมื่อกลับมาถึงบ้าน อู่เจิ้งซือได้เอาเกียรติบัตรจัดวางไว้บนตู้ในห้องรับแขกและชื่นชมอยู่สักพัก ท่าทางดูผ่อนคลายไปบ้าง ทำให้เหอปี้อวิ๋นรู้สึกโล่งใจ และเตรียมตัวจะเดินออกไปทำความสะอาดเตา ก่อนออกไปเธอยุ่งๆ จนไม่ได้ทำความสะอาด ทันใดนั้น…
“เพี้ยะ!”
ทุกคนต่างคาดไม่ถึงว่าอู่เจิ้งซือจะกล้าตบหน้าเหอปี้อวิ๋น และตบได้แรงมาก ครึ่งหน้าของเหอปี้อวิ๋นขึ้นสีแดงก่ำ และมองอู่เจิ้งซืออย่างไม่เชื่อสายตา
เมื่อก่อนเธอกับอู่เจิ้งซือทะเลาะกันน้อยมาก อย่าพูดถึงว่าจะมีเรื่องตบตีเลย แต่ในตอนนี้ ในเวลาไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ อู่เจิ้งซือกลับตบตีเธอถึงสองครั้ง และยังตบที่หน้าของเธอด้วย
“คุณอู่ ทำไมคุณถึงได้ตบฉันอีกแล้ว?” เหอปี้อวิ๋นถามขึ้นอย่างเจ็บปวด
เมื่อได้ตบไปครั้งหนึ่ง ถึงได้ทำให้อู่เจิ้งซือรู้สึกสบายใจขึ้น
ในเวลานี้ทั้งเขาและเหอปี้อวิ๋นต่างไม่มีใครรู้ว่า การที่ผู้ชายตบตีผู้หญิงจะทำให้ติดเป็นนิสัย มีครั้งแรกมักจะมีครั้งที่สอง พอมีครั้งที่สองก็มักจะมีครั้งที่สาม และครั้งต่อๆ ไปก็จะไม่สามารถควบคุมได้ และนั่นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือการเลี้ยงดู
อู่เจิ้งซือเคยตบเหอปี้อวิ๋นไปแล้วครั้งหนึ่ง เพราะอย่างนั้นครั้งที่สองที่เขาตบตีเธอถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก ต่อไปก็คงจะมีครั้งที่สามที่สี่เกิดขึ้น และอาจจะเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่ในตอนนี้พวกเขายังไม่ได้ตระหนักถึงปัญหาตรงจุดนี้
แต่อู่เหมยกลับพึงพอใจมาก และยังคิดว่าอู่เจิ้งซือยังตีได้ไม่โหดพอ ถ้าจะให้ดีต้องใช้ไม้ขนไก่ฟาดแรงๆ ถึงจะพอ!
ทำให้เหอปี้อวิ๋นได้รับรู้รสชาติของการถูกตบตีบ้าง
อู่เจิ้งซือมองเหอปี้อวิ๋นอย่างเย็นชา “ทำไมฉันต้องตบเธอ? ในใจเธอเองยังไม่รู้อีกเหรอ? วันนี้เป็นเพราะเธอฉันถึงได้ขายขี้หน้าไปหมดแล้ว ยัยโง่!”
เหอปี้อวิ๋นพยายามระงับอารมณ์โกรธจนหน้าร้อนผ่าว ในใจเจ็บปวดยิ่งกว่าใบหน้า เธอรู้ดีว่าระหว่างเธอกับอู่เจิ้งซือมีบางอย่างที่แตกหักไปแล้ว และต่อไปก็ไม่อาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
“คุณอู่เปลี่ยนไป หรือว่าคุณแอบซ่อนใครไว้เหรอ? เพราะงั้นตอนนี้ถึงได้รังเกียจเมียอย่างฉันที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาถึงขนาดนี้?” เหอปี้อวิ๋นคิดไปถึงเหตุผลอื่น เธอกลับไม่เคยคิดว่าสาเหตุเป็นเพราะตัวเธอเอง ต้องเป็นเพราะว่าอู่เจิ้งซือนอกใจเธอ ถึงได้เอาแต่รังเกียจเธอแบบนี้
…………………………………………………………………………………………..