ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 363 เป็นแค่ของไร้ค่า + ตอนที่ 364 พยายามทำให้พวกเธอกลายเป็นโรคประสาท
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 363 เป็นแค่ของไร้ค่า + ตอนที่ 364 พยายามทำให้พวกเธอกลายเป็นโรคประสาท
ตอนที่ 363 เป็นแค่ของไร้ค่า
อู่เจิ้งซือรู้สึกโกรธกับความคิดของเหอปี้อวิ๋นจึงได้แต่ยิ้มเยาะ ยังกล้าคิดว่าเขาแอบไปมีใครข้างนอกอีก ไม่รู้จะพูดอะไรเลยจริงๆ
“คุณดูตัวเองในตอนนี้สิ โง่เขลาจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ราวกับพวกขี้แพ้แล้วทำตัวล้มเหลว รู้ไหมว่าทุกคนต่างพูดถึงเธอว่ายังไงบ้าง? ขนาดตัวผมเองยังไม่อาจทนฟังได้ ต่อไปนี้เรื่องการเรียนของลูกๆ คุณไม่ต้องจัดการอีก ถ้าว่างๆ ก็อ่านหนังสือเยอะๆ ล่ะ จะได้พัฒนาความรู้ด้านวัฒนธรรมและมารยาท อย่าทำอะไรให้ผมต้องเห็นว่ามันเป็นสิ่งอับอายขายขี้หน้าอีกเลย”
อู่เจิ้งซือพูดด้วยความเย็นชา และไม่ไว้หน้าใดๆ ทุกประโยค ทุกคำพูดเป็นดั่งปลายแหลมคมของใบมีด ที่กรีดลึกลงกลางใจของเหอปี้อวิ๋น ให้เลือดสดๆ ไหลทะลัก
ใบหน้าของเหอปี้อวิ๋นซีดเซียว ราวกับมะเขือที่โดนน้ำค้างแข็งแช่ไว้จนเหี่ยวเฉาไปทั้งตัว
ถูกสามีดุด่าต่อหน้าลูกๆ ทำให้เกิดความอับอาย เธออายจนแทบจะอยากหาที่มุดหนีไป ไม่กล้าแม้แต่จะแหงนหน้ามอง ความโกรธแค้นที่มีต่ออู่เจิ้งซือก็มีมากขึ้น
“คุณอู่ ตอนแรกเป็นคุณเองที่ขอพ่อแม่ให้ยกฉันให้กับคุณ ตอนนี้ฉันอายุมากขึ้นแล้ว คุณกลับจะทอดทิ้งฉัน คุณยังมีความเป็นคนอยู่ไหม?”
เหอปี้อวิ๋นเจ็บปวดจนน้ำตาไหลอาบแก้ม เธอและอู่เจิ้งซือเคยมีช่วงเวลาที่หวานชื่นด้วยกัน แต่มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จากที่เคยให้เกียรติซึ่งกันและกัน จนตอนนี้กลายเป็นหยาบคายไร้เหตุผล ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้?
ใบหน้าของอู่เจิ้งซือไร้ซึ่งความรู้สึก และพูดขึ้นด้วยความเย็นชา “เธอควรจะถามตัวเธอเองดูบ้างดีไหม? หลายปีที่ผ่านมาเธอทำอะไรไปบ้าง? เธอปฏิบัติกับอู่เหมยยังไง แล้วปฏิบัติกับอู่เยวี่ยยังไง คิดว่าคนภายนอกจะมองไม่เห็นเหรอ? พวกเขาแค่ไม่ได้พูดต่อหน้าเธอเท่านั้นเอง เธอยังมีหน้ามาถามว่าผมยังมีความเป็นคนอยู่ไหม ผมว่าความเป็นคนของคุณต่างหากล่ะที่มีไว้ให้หมากิน!”
เหอปี้อวิ๋นถูกต้อนจนพูดไม่ออก เรื่องที่เธอปฏิบัติกับอู่เหมย เธอเป็นคนผิดจริง
แต่นั่นจะโทษเธอก็ไม่ได้ เพราะอู่เหมยดันไปมีหน้าตาเหมือนกับยัยชั่วนั่นเอง!
“อู่เจิ้งซือปากคุณบอกว่าฉันปฏิบัติกับอู่เหมยได้ไม่ดี แล้วคุณล่ะ? เมื่อก่อนคุณเองพูดจาดีกับเธอนักเหรอ?” เหอปี้อวิ๋นเถียงกลับ
สีหน้าของอู่เจิ้งซือเปปลี่ยนไปเล็กน้อย คำพูดของเหอปี้อวิ๋นได้กรีดลงไปในใจเขา หากเรื่องที่เขาทำกับอู่เหมย เขาเองก็ไม่อาจยืนได้เต็มฝ่าเท้า แต่แค่ในใจเขารู้ดีก็เพียงพอ เหอปี้อวิ๋นเองก็ไม่ถูกที่พูดออกมาต่อหน้าพวกเด็กๆ นั่นทำให้อู่เจิ้งซือได้เปลี่ยนไปกลายเป็นโกรธ สายตาที่ใช้มองเหอปี้อวิ๋นนั้นเย็นชายิ่งกว่าเดิม
อู่เหมยกลับเข้าห้องของตัวเองไปตั้งแต่แรก เธอหมอบอยู่หลังประตูห้องเพื่อแอบฟังเสียงหมาที่กัดกันด้านนอก ช่างน่าสนุกจริงๆ คำพูดของเหอปี้อวิ๋นก็ไม่ผิดเลย อู่เจิ้งซือเองก็ไม่ได้ดีอะไร หากไม่เป็นเพราะตอนนี้เธอเลือกจะเอาใจได้แค่คนเดียว เธอคงไม่ยอมลดตัวไปพัวพันด้วยหรอก!
อู่เยวี่ยยังไม่ได้กลับเข้าห้องไป เธอกำลังดูสถานการณ์ของพ่อกับแม่ราวกับประชาชนทั่วไปที่ทะเลาะกัน คุณด่าฉัน ฉันด่าคุณ ต่างคนต่างพากันต่อต้านอีกฝ่ายจนในใจไม่รู้สึกถึงอะไรดีๆ ต่อให้เธออยากอ่านหนังสือก็คงอ่านไม่เข้าหัว
“พ่อแม่คะ ขอร้องอย่าทะเลาะกันเลย พรุ่งนี้หนูยังมีสอบนะ ให้หนูได้อยู่เงียบๆ สักคืนได้ไหม?” อู่เยวี่ยขอร้องอย่างน่าสงสาร น้ำตาอาบเต็มสองแก้ม
อู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นหยุดการทะเลาะและเงียบเสียงลงในทันที แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่มีความรู้สึกต่อกันแล้ว แต่ถึงอย่างไรความรักที่มีให้ลูกยังเหมือนเดิม และแน่นอนว่าพวกเขาต้องหวังให้อู่เยวี่ยสอบได้คะแนนดีๆ ในวันพรุ่งนี้
“เหอปี้อวิ๋นคุณจำคำพูดผมเอาไว้ ต่อไปนี้อย่ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเรียนของเด็กๆ อีก หาเวลาให้ตัวเองได้อ่านหนังสือบ้าง หากทำไม่ได้คุณหาตำราอาหารมาอ่านก็ยังดี ดูกับข้าวแต่ละอย่างที่คุณทำสิ อย่างกับอาหารที่ทำให้หมูกิน กับข้าวที่อู่เหมยทำยังรสชาติดีกว่าของคุณเป็นไหนๆ”
เมื่ออู่เจิ้งซือมอบหมายหน้าที่ให้เหอปี้อวิ๋นเสร็จ จึงหันมาพูดกับอู่เยวี่ย “เยวี่ยเยวี่ยอย่าไปฟังแม่เขามาก สอบได้ที่หนึ่งมันเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ก็อย่าไปคาดหวังกับมันมาก สุขภาพสำคัญที่สุด ต่อไปนี้ทุกคืนต้องเข้านอนก่อนสามทุ่มครึ่ง ทำได้ไหม?”
อู่เยวี่ยพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง แต่ในใจกลับไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดของอู่เจิ้งซือเลยสักนิด เธอจะต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง เพื่อช่วงชิงเกียรติยศของเธอกลับคืนมา!
…………………………………………………………………………………………..ฃ
ตอนที่ 364 พยายามทำให้พวกเธอกลายเป็นโรคประสาท
อู่เหมยยืดตัวขึ้นอย่างนึกเสียดาย ยัยอู่เยวี่ยน่ารำคาญนี่ ทำลายละครฉากสนุกๆ ไปซะได้ หากว่าเธอไม่ขัดเสียก่อน ไม่แน่ว่าอู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นได้ทะเลาะตบตีกันขึ้นมาจริงๆ แน่!
บนโต๊ะที่มีฉิวฉิวกำลังนั่งกินลูกกวาดรสถั่วอย่างเอร็ดอร่อย ก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าตัวเล็กถึงได้ชอบกินแต่ลูกกวาด ลูกกวาดรสถั่วที่เหมยซูหานซื้อมาให้ครึ่งจิน ได้ถูกฉิวฉิวกินไปเสียส่วนใหญ่ ฟันของมันถือว่าแข็งแรงมาก กินลูกกวาดเข้าไปตั้งเยอะแต่ก็ไม่เจอฟันผุเลย
ฉิวฉิวกินลูกกวาดอย่างสบายใจ หางใหญ่ๆ ของมันส่ายสะบัดไปมา บ่งบอกได้ว่ามันสบายใจแค่ไหน
อู่เหมยอุ้มฉิวฉิวขึ้นมา เพราะเจ้าตัวเล็กกินลูกกวาดมากเกินไปแล้ว บนตัวของมันมีแต่กลิ่นหอมๆ ของถั่วลิสงลอยออกมาหอมมากๆ อู่เหมยออกแรงขยี้ตัวฉิวฉิว ขนของฉิวฉิวนุ่มลื่นเอามาก ต่อให้เธอจะขยี้แรงแค่ไหนก็ไม่เคยพันเป็นเกลียว และยังให้ความรู้สึกสัมผัสที่มือดีมากๆ หากเธอรู้สึกไม่สบายใจ เพียงแค่อุ้มฉิวฉิวไว้แล้วลูบพลางขยี้ขนมัน ขยี้ได้สักพักก็ทำให้สบายใจขึ้น
ฉิวฉิวเองก็มีนิสัยดี ยอมให้อู่เหมยทรมานร่างกายได้ตามใจชอบ ขอแค่เธอให้ลูกกวาดมันเพียงพอก็พอแล้ว คุณชายฉิวอย่างมันสามารถพูดคุยกันได้ง่าย
เรื่องที่เกิดขึ้นกับอู่เหมยในช่วงนี้ เธอพยายามใช้สมองรวบรวมความคิดขึ้นมา แต่เรื่องสำคัญในตอนนี้คือพรุ่งนี้จะเป็นวันสอบประจำเดือนนี้ของอู่เยวี่ย การสอบครั้งนี้ก็ไม่มีทางที่เธอจะยอมให้ยัยชั่วนั่นสอบได้คะแนนดีๆ
“ฉิวฉิว คืนนี้อย่าลืมไปฉีดน้ำหอมให้เธอด้วยล่ะ!”
อู่เหมยพูดเสียงเบาที่ข้างหูของฉิวฉิวเพื่อกำชับ คุณชายฉิวส่ายหางไปมาเพื่อบ่งบอกว่ามันรับรู้ อู่เหมยจึงแกะลูกกวาดนมรสถั่วแล้วยื่นใส่ปากของฉิวฉิว และเตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้เช้าที่ต้องใส่วัตถุดิบบางอย่างให้เธอ ยาน้ำที่แช่ไว้ในครั้งก่อนยังเหลืออยู่อีกเยอะ เพียงพอที่จะใช้ไปถึงปีหน้า
แต่สำหรับเรื่องที่จะทำให้คนอื่นสงสัยนั้น เธอไม่สนใจเลยสักนิด เธอทำไปทั้งหมดเพื่อเป็นการตอกย้ำว่าสภาพจิตใจของอู่เยวี่ยไม่ปกติ นอกจากจะแก้แค้นเธอในชาติก่อนแล้ว เป้าหมายอีกอย่างก็คือการทำให้อู่เยวี่ยมีกลิ่นเหม็นและท้องเสีย
เธอไปค้นหาข้อมูลมาโดยเฉพาะ โดยข้อมูลกล่าวว่าการที่ได้รับความเครียดมากเกินไป จะทำให้ปวดท้องและกลิ่นตัวจะแรงกว่าปกติ หลายๆ คนจะมีอาการประเภทนี้อยู่ ขึ้นอยู่กับว่าหนักเบาแตกต่างกันออกไป
เธอต้องการจะให้อู่เยวี่ยเป็นเกี่ยวกับโรคประสาท เพราะแรงกดดันในการสอบมีมากเกินไป จึงทำให้สภาพจิตใจของอู่เยวี่ยได้รับความกดดันที่มากเกินไป จนส่งผลมาถึงสภาพร่างกาย คือ ทำให้ท้องเสียและมีกลิ่นตัวได้ โดยทั่วไปแล้วจะไม่เกิดขึ้น แต่พอใกล้ถึงช่วงสอบ อาการเหล่านี้ก็จะปรากฏขึ้น
ครั้งแรกและครั้งที่สองสามารถพูดได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าหากทุกครั้งเป็นแบบนี้ คงจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญไม่ได้
เกรงว่าพอถึงเวลานั้นจริงๆ ตัวของอู่เยวี่ยเองก็จะเชื่อไปด้วยว่าร่างกายของเธอเป็นประเภทที่ได้รับความเครียดหรือแรงกดดันมากเกินไปก็จะทำให้ท้องเสียและมีกลิ่นตัว และนั่นก็ถือว่าเป็นลางเหตุบอกทางสภาพจิตใจ แค่รอให้เวลาผ่านไปสักพัก บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องให้เธอช่วย แต่ต่อไปร่างกายของเธอก็อาจจะปรากฏอาการแบบนี้ขึ้นมาเองได้
สำหรับเหอปี้อวิ๋น อู่เหมยเองก็อยากจะดึงเธอไปยังทิศทางของโรคประสาท ในตอนนี้อู่เจิ้งซือก็เริ่มจะตีตัวออกห่างจากเหอปี้อวิ๋นแล้วด้วย ดูจากลักษณะแล้ว ยากมากที่จะกลับมาคืนดีกันได้ ถึงตอนนั้นเธอค่อยสุมไฟเพิ่มอีกสักนิดและราดน้ำมันเพิ่มอีกสักหน่อย เหอปี้อวิ๋นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้นานๆ สภาพจิตใจไม่แตกหักคงจะแปลก!
ในชาติก่อนตอนที่อยู่สถานีตำรวจ ใครใช้ให้เธอบอกออกไปว่าอู่เหมยเป็นโรคประสาทตั้งแต่เล็กล่ะ!
อีกอย่าง แม่ที่สภาพจิตใจไม่ปกติแล้วให้กำเนิดลูกที่มีสภาพจิตใจไม่แข็งแรง นั่นถึงจะเป็นเรื่องที่ปกติที่สุด!
และยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่าง หากว่าเหอปี้อวิ๋นมีสภาพจิตใจไม่ปกติแล้ว อู่เจิ้งซือก็สามารถให้เหตุผลในการหย่าร้างกับเธอได้ คนในตระกูลอู่ก็จะคัดค้านเขาอีกไม่ได้
ภรรยาเป็นโรคประสาท และยังเป็นโรคประสาทที่มีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรง หากอู่เจิ้งซือจะยื่นเรื่องหย่าขึ้นมา ใครก็ไม่สามารถพูดอะไรได้!
อู่เหมยนึกไปถึงหนทางที่ดี จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงเบา เธอคาดหวังว่าจะได้เห็นภาพอนาคตเหล่านี้ในเร็ววัน!
…………………………………………………………………………………………..