ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 367 หลงใหลไม่เปลี่ยน + ตอนที่ 368 สอบเป็นยังไงบ้าง
ตอนที่ 367 หลงใหลไม่เปลี่ยน
คุณปู่เหยียนมองเหยียนหมิงต๋าอย่างเข้มงวด ในใจของเขาและยายแก่ เหยียนหมิงซุ่นถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญมาก ไกลเกินกว่าที่เหยียนหมิงต๋าจะเทียบได้ อีกทั้งในความเป็นจริง หลานชายคนโตก็เก่งกว่าหลานชายคนเล็กมาก
เหยียนหมิงต๋าทำหน้าบูดบึ้งอย่างน้อยใจ แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกไป มองเหยียนหมิงซุ่นด้วยหน้าตาน่าสงสารราวกับสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง
เหยียนหมิงซุ่นเริ่มใจอ่อน และพูดขึ้นเสียงเบา “แต่ไหนแต่ไรมาพี่ไม่เคยมีเรื่องคับข้องใจอะไรกับอู่เยวี่ย แล้วทำไมพี่จะต้องใส่ร้ายเธอด้วย เรื่องนี้ครูอู่เองก็ทราบ หมิงต๋า หากว่านายไม่เชื่อ นายไปถามครูอู่เองได้เลย แต่นายอย่าไปถามอู่เยวี่ยล่ะ เพราะเธอไม่มีทางยอมรับแน่”
คุณย่าหยางพูดขึ้นอย่างเหยียดหยาม “คุณสมบัติในตัวของยายเด็กอู่เยวี่ยนี่แย่เกินไปแล้ว คะแนนแย่และมีข้อบกพร่องบนร่างกายยังพอเป็นสิ่งที่พอจะรับได้ แต่คุณสมบัติของความเป็นคนควรจะดีด้วยสิ เหอปี้อวิ๋นนี่สมองโดนประตูหนีบเข้าจนเลอะเลือนหรือไง ทำไมถึงได้มองลูกสาวคนนี้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจไปได้ล่ะ?”
คุณย่านึกยังไงก็ไม่เข้าใจ เธอจึงได้ทำได้เพียงกำชับต่อเหยียนหมิงต๋าอีกครั้ง “ต่อไปนี้หลานก็ไปไหนมาไหนกับอู่เยวี่ยให้มันน้อยๆ หน่อย คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล คุณสมบัติในตัวของอู่เยวี่ยแย่ขนาดนี้ ระวังสักวันเธอจะทำให้แกเสียคนได้”
คุณปู่เหยียนเองก็เห็นด้วยมาก “ย่าของแกพูดได้ถูกต้อง รีบตัดขาดความสัมพันธ์กับอู่เยวี่ยซะ หลานของปู่จะคบเพื่อนที่มีปัญหาด้านคุณสมบัติความเป็นคนไม่ได้ ได้ยินไหมหมิงต๋า?”
เหยียนหมิงต๋าพยักหน้าตอบอย่างไม่ค่อยแน่ใจ และเขาเองก็รู้สึกเวียนหัว เพราะเขาไม่เข้าใจว่าอู่เยวี่ยเป็นในแบบที่พี่ใหญ่พูดจริงหรือ?
ไม่ เยวี่ยเยวี่ยไม่ได้เป็นคนแบบนั้นแน่นอน แต่หากว่าเธอขโมยเครื่องเงินของอู่เหมยไปจริงๆ ก็อาจเป็นเพราะเธอมีเรื่องทุกข์ใจ พรุ่งนี้เขาจะต้องไปถามให้ชัดเจน ว่าทำไมอู่เยวี่ยจะต้องแกล้งปั่นหัวเขาด้วย
เหยียนหมิงต๋าเรียกสติตัวเองกลับมา สำหรับสิ่งที่คุณปู่เหยียนและคุณย่าหยางพูด เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาออกไปแล้ว เพราะตัวเขาจะตัดความสัมพันธ์กับอู่เยวี่ยได้อย่างไรกัน?
หากว่าเขาไม่ได้อยู่กับอู่เยวี่ยแล้ว เขาคงกินข้าวไม่อร่อย การนอนก็คงย่ำแย่ แล้วแบบนั้นชีวิตเขาจะมีประโยชน์อะไร?
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศไม่ค่อยดีนัก เพราะเมื่อคืนอุณหภูมิลดต่ำลงและยังมีหิมะโปรยปราย อู่เหมยหยิบเอาเสื้อกันหนาวออกมา แน่นอนว่ามันคือเสื้อที่อู่เยวี่ยเคยใส่ ช่วงนี้ร่างกายของเธอเริ่มโตขึ้น เสื้อกันหนาวตัวนี้ใส่แล้วไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อน ที่หลวมๆ แม้มันอาจจะใหญ่ไปบ้าง แต่ก็ดูสวย
อู่เหมยวางแผนว่าจะไปซื้อเสื้อกันหนาวสักตัวหนึ่งที่ห้างสรรพสินค้า แค่บอกกับอู่เจิ้งซือว่าจ้าวอิงหนานให้มาก็จบ เพราะอย่างไรอู่เจิ้งซือก็หลอกง่ายมาก
อู่เยวี่ยสวมใส่เสื้อกันหนาวสีชมพู ที่ดูใหม่เอี่ยม แน่นอนว่าต้องเป็นเหอปี้อวิ๋นที่ซื้อให้เธอใหม่ อู่เหมยเหลือบมองอู่เยวี่ยที่มัดผมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแค่แวบเดียว และมุมปากกระตุกยกยิ้มขึ้น
ใส่เสื้อผ้าสวยๆ แล้วอย่างไร คนอื่นก็จดจำได้แต่เพียงกลิ่นเหม็นกระชากวิญญาณ!
อู่เหมยได้ทำเหมือนอย่างครั้งก่อนๆ หยดยาน้ำลงไปในถ้วยโจ๊กของอู่เยวี่ย จับจ้องอู่เยวี่ยที่กินโจ๊กไปทีละนิดทีละนิดจนไม่เหลือแม่แต่หยดเดียว อู่เหมยเห็นว่าเป็นเรื่องดี หลังจากที่เธอทานข้าวเช้าเสร็จก็ไปโรงเรียนด้วยความสบายใจ แค่รอฟังข่าวดีในอีกไม่กี่วันนี้
ช่วงนี้ห้องเรียนของอู่เหมยเองก็มีทดสอบประจำบทเรียน ถือว่าเธอสอบได้คะแนนดีขึ้น คณิตศาสตร์ ได้ 81 คะแนน ภาษาและวรรณคดี ได้ 79 คะแนน และภาษาอังกฤษได้ 90 คะแนน ครูประจำวิชาภาษาอังกฤษก็ได้ชื่นชมเธอด้วย ตั้งแต่ที่เธอได้รับรางวัลการแข่งขันวาดรูประดับเยาวชนครั้งนั้น จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครเป็นที่รักของครูได้เท่าตัวอู่เหมยแล้ว
ทุกวันที่เข้าเรียน อู่เหมยมักจะได้รับสายตาเอ็นดูรักใคร่และห่วงใยจากครูเสมอ บางครั้งในเวลาเรียนครูก็จะเรียกให้เธอตอบคำถาม เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว แตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว
ช่วงนี้ถือว่าการเรียนของอู่เหมยผ่อนคลายขึ้นมาก อาจเป็นเพราะสมองเริ่มเปิดรับมากขึ้น เธอรู้สึกว่าตัวเธอเองมีช่องว่างที่พัฒนาขึ้น ต่อไปนี้เธอจะพยายามทำคะแนนทุกวิชาให้ถึง 90 คะแนนให้ได้ แบบนั้นถึงจะทำให้เธอรู้สึกเหนือกว่าอู่เยวี่ยได้
หลังจากที่เลิกเรียนอู่เหมยได้เข้าไปที่ห้องเรียนเยาวชน ช่วงนี้เธอมักจะไปที่ห้องเรียนเยาวชนเพื่อซ้อมเต้นอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง อู่เชาและสยงมู่มู่เองก็อยู่ด้วย พวกเขาเองก็ไปซ้อมการแสดงที่ห้องเรียนเยาวชน ซึ่งมีเฮ่อเหวินจิ้งเป็นคนดูแลทั้งหมด
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 368 สอบเป็นยังไงบ้าง
สยงมู่มู่ดีดพิณกู่เจิงได้ไม่เลว เพลงที่เขาเลือกเล่นเป็นทำนองเบาและไว ง่ายต่อการเต้น และตัวของอู่เหมยอ่อนมาก ถือว่าเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการเต้นเป็นอย่างมาก ท่าเต้นหลายๆ ท่าเธอดูแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำได้
เฮ่อเหวินจิ้งมักจะพูดเสมอว่าในบรรดานักเรียนที่เธอเคยสอนมา อู่เหมยเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุด ทุกครั้งที่ได้ฟังคำพูดนี้ อู่เหมยมักดีใจจนแทบเสียสติ เธอชอบที่สุดคือการที่คนอื่นบอกว่าเธอฉลาด!
เป็นเพราะความฉลาดของอู่เหมย เฮ่อเหวินจิ้งจึงปรับท่าเต้นอยู่หลายครั้ง ยิ่งปรับก็ยิ่งยาก ต่อให้เรียนเต้นรำโดยเฉพาะก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเต้นได้ อู่เหมยไม่ได้ออกแรงเต้นอะไรมาก แต่กลับออกมาสมบูรณ์แบบ
“เหมยเหมย หากว่าเธอไม่ลงเรียนวาดรูปเสียก่อน ฉันจะต้องให้เธอลงเรียนเต้น เพราะเธอน่ะเกิดมาเพื่อเวทีการแสดง หากว่าไม่เต้นจะเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก!” เฮ่อเหวินจิ้งอิจฉาเป็นอย่างมาก
เมื่อเทียบกับการวาดรูปแล้ว เธอชอบการเต้นมากกว่า แต่ด้วยส่วนสูงของเธอที่สูงเกินกว่าคนอื่นไปมาก หากยืนอยู่บนเวทีคงจะโดดเด่นไปกว่านักเต้นคนอื่นๆ และเป็นเพราะสูงเกิน เลยทำให้ท่าเต้นหลายๆ ท่าทำออกมาได้ไม่ดีนัก เธอจึงทำได้แค่ทิ้งสิ่งที่เธอรักอย่างการเต้นไป
แต่อู่เหมยกลับไม่ได้ชอบในการเต้น เธอไม่ชอบแสดงความสามารถของตัวเองต่อหน้าฝูงชนจำนวนมาก อีกทั้งการเต้นก็เป็นอะไรที่เหนื่อย เธอไม่อยากลำบากมาก และอีกอย่างการวาดรูปก็เป็นสิ่งผ่อนคลายกว่า
“ครูเฮ่อคะ ถ้าครูยอมสอนพิณกู่เจิงให้หนู หนูจะเต็มใจเรียนมากค่ะ” อู่เหมยพูดด้วยรอยยิ้ม และสะบัดแขนเสื้อยาวๆของชุด ที่ดูสวยงามเป็นอย่างมาก และอู่เหมยกำลังอยู่ในช่วงเจริญอาหาร การสะบัดแขนเสื้อถือเป็นการใช้แรงอย่างมาก
เฮ่อเหวินจิ้งเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่แวบเดียวก็สลดใจ “ได้สิ รอให้พวกเธอแสดงงานวันปีใหม่เสร็จสิ้น ครูจะสอนเธอเล่นพิณกู่เจิงเอง แต่น่าเสียดายที่หลังจากงานวันปีใหม่ครูก็จะต้องกลับเมืองหลวงแล้ว มากสุดคงได้สอนเธอแค่หนึ่งเดือน”
สยงมู่มู่พูดขึ้นเสียงดัง “ยังมีพี่นะ พี่ก็เล่นพิณกู่เจิงได้ดีเหมือนกัน แค่สอนน้องพี่มีเวลาเหลือเฟือ!”
เฮ่อเหวินจิ้งหัวเราะ “ถูกต้องจ้ะ มู่มู่เล่นพิณกู่เจิงได้ไม่เลวเลย เหมยเหมยต่อไปก็ขอให้มู่มู่สอนล่ะ”
อู่เหมยหันไปทำหน้ายักษ์ใส่สยงมู่มู่ ซึ่งสยงมู่มู่เองก็มองเธออย่างเอือมระอา ส่วนอู่เชาพอเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ อู่เหมยทำตัวสนิทกับพี่น้องนอกไส้อย่างสยงมู่มู่มากกว่าเขาเสียอีก ยายเด็กบ้านี่ไม่แยกแยะความสัมพันธ์ใกล้ไกลเลย
“ผมคิดว่าการแสดงของพวกเราต้องได้รับรางวัลดีๆ สักตำแหน่ง ครั้งนี้เราดูโดดเด่นกว่าการแสดงอื่นเป็นสิบเท่า” อู่เชามั่นใจเป็นอย่างมาก
สยงมู่มู่ถอนหายใจ “ไร้สาระ การแสดงที่ฉันซ้อมอยู่จะแย่ได้ไง? พวกเธอเตรียมรอที่จะได้ขึ้นแสดงเวทีงานปีใหม่ของเมืองได้เลย!”
อู่เหมยไม่ได้คาดหวังเลยสักนิด เอาแต่สะบัดแขนที่เริ่มปวดไปมาพร้อมพูด “งานปีใหม่ของเมืองมีอะไรดีเหรอ? เต้นจนเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แถมยังไม่ให้เงินพวกเราด้วย”
สยงมู่มู่และอู่เชาต่างพากันมองอู่เหมยอย่างเอือมๆ และพูดขึ้นพร้อมกันอย่างตำหนิ “ได้เข้าร่วมแสดงงานปีใหม่ของเมือง ถือเป็นเกียรติอย่างมาก ทำไมเธอถึงได้คิดถึงแต่เรื่องเงิน? เธอนี่มันเห็นแก่เงินจริงๆ ยายสามัญชน!”
อู่เหมยถูกเพื่อนและพี่ทั้งสองคนบ่นเสียงดังอยู่ข้างหู และยังมีน้ำลายที่กระเด็นทั่วใบหน้าของเธอ เธอจึงทำได้แต่เช็ดใบหน้าเข้ากับแขนเสื้อ และตะโกนด้วยความโมโห “ต่อไปนี้ก็อย่ากินซาลาเปาไข่ปูของฉันอีก เพราะความสามัญชนของฉันมันจะทำให้คุณธรรมของพวกนายหม่นหมองได้”
อู่เชาและสยงมู่มู่หน้าถอดสีในทันที พลางใช้มือตบหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ลืมเรื่องที่ยายแสบนี่มีเงินไปเสียสนิทเลย!
เฮ่อเหวินจิ้งมองพวกเด็กๆ ที่ดูมีพละกำลังอย่างหัวเราะชอบใจ เธอเองก็พลอยอารมณ์ดีตามไปด้วย และทำให้ลืมเรื่องเครียดไปได้
เมื่ออู่เหมยกลับมาถึงบ้าน เหอปปี้อวิ๋นได้ทำมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย อู่เยวี่ยเองก็กลับมาถึงแล้ว สีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีนัก อู่เหมยแอบพอใจอยู่ภายในใจ และถามออกไปอย่างอดไม่ได้ “พี่คะ วันนี้สอบเป็นยังไงบ้าง?”
…………………………………………………………………………………………..