ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 371 แปลกประหลาด + ตอนที่ 372 มีหนังสือเป็นหลักฐาน
ตอนที่ 371 แปลกประหลาด
เหอปี้อวิ๋นส่ายหน้าไปมา และพยายามเรียกสติตัวเอง มองไปยังอู่เหมยด้วยความโกรธแค้น และโกรธแค้นเด็กหญิงคนนีมากเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เธอพูดขึ้นอย่างเย็นชา “พี่สาวแกคะแนนสูงกว่าแก นั่นก็แสดงว่าพี่เขาเก่งกว่าแกเป็นร้อยเท่า สิ่งที่แกถนัดเป็นแค่ของนอกกายที่ผิดทำนองคลองธรรม ในอนาคตจะมีประโยชน์อะไร!”
อู่เจิ้งซือตำหนิอย่างไม่พอใจ “เหอปี้อวิ๋น เธอพูดจาไร้สาระต่อหน้าลูกได้ยังไง? วาดรูปเต้นรำจะเรียกว่าผิดทำนองคลองธรรมได้ยังไง? ทั้งหมดนี่ถือเป็นมรดกอันล้ำค่าของชนชาติหวาเซี่ยที่สืบเนื่องกันมาหลายพันปี มีความลึกซึ้งและกว้างไกลมาก ตอนกลางคืนเธอก็หาหนังสือมาอ่านบ้างนะ ต่อไปนี้อย่าทำเรื่องอับอายขายขี้หน้าอีก!”
อารมณ์โมโหของเหอปี้อวิ๋นกลับยิ่งทวีคูณ เพียงแค่เธอนึกถึงยายชั่วคนนั้น ความอดทนของเธอก็เริ่มหมดไปอย่างรวดเร็ว มองอะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด จึงได้ตอบกลับไปอย่างเดือนดาล “เมื่อก่อนฉันก็พูดแบบนี้ ทำไมคุณไม่ว่าอะไรล่ะ? แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าฉันดีแต่ทำเรื่องอับอายขายขี้หน้า แล้วทำไมการวาดรูปเต้นรำจะเรียกว่าผิดทำนองคลองธรรมไม่ได้? หน้าที่หลักของนักเรียนคือการตั้งใจเรียนไม่ใช่เหรอ? ฉันพูดผิดตรงไหน!”
อู่เหมยไม่ได้เต็มใจที่จะให้ทั้งสองคนทะเลาะกัน แม้มันจะน่าดูก็ตาม และจุดประสงค์ในวันนี้คือจัดการกับอู่เยวี่ย ไว้วันหลังค่อยจัดการกับเหอปี้อวิ๋น
“แม่ไม่ได้พูดผิดค่ะ แต่พ่อเคยบอกแล้วว่าจะต้องเรียนรู้และผ่อนคลายควบคู่กัน จะเอาแต่อ่านหนังสือจนตายก็ไม่ดี พ่อคะ พ่อว่าหนูพูดถูกไหม?”
อู่เจิ้งซือพยักหน้าตอบอย่างพึงพอใจ อารมณ์โกรธที่มีเริ่มดีขึ้น คำพูดพวกนี้ถือเป็นคำพูดที่เขาเคยพูดไว้ แม้แต่ลูกสาวคนเล็กก็ยังจำมันได้ทั้งหมด
อู่เหมยมองไปยังอู่เยวี่ย และพูดต่อ “หนูเรียนวาดรูปและเต้นรำก็เพื่อเรียนรู้และผ่อนคลายควบคู่กัน แบบนั้นจะทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนสูงขึ้น เมื่อก่อนหนูไม่รู้ถึงจุดนี้ รู้แค่ว่าอ่านหนังสือไปจนตาย จนสุดท้ายผลลัพธ์กลับไม่ดีขึ้นเลย ในเทอมนี้หนูเชื่อฟังคำพูดของพ่อ ทำให้การเรียนพัฒนาได้อย่างชัดเจน ทุกวันนี้ครูถึงได้ชื่นชมหนู!”
เหอปี้อวิ๋นสบถเสียงเบาครั้งหนึ่ง และตั้งใจหันหน้าหลบไป ไม่อยากมองหน้าอู่เหมยที่เธอโกรธแค้น
ริมฝีปากของอู่เจิ้งซือค่อยๆ ยกยิ้ม สีหน้าดูดีขึ้นมามาก ช่วงนี้ถือว่าลูกสาวคนเล็กแสดงออกได้ไม่เลว ตัวเขาเองก็ได้รับสายจากผู้อำนวยการหยวนอยู่หลายครั้ง และทุกครั้งก็มักจะโทรมาชื่นชมอู่เหมย กลับกันที่อู่เยวี่ยไม่เคยได้รับคำชมเลย เปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ!
อู่เจิ้งซือมองไปยังอู่เยวี่ยและพูดเสียงต่ำ “เยวี่ยเยวี่ย น้องเองก็พูดได้มีเหตุผล ต่อไปลูกอย่าเอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว ต้องคอยฝึกฝนและพัฒนาความชอบของตัวเองบ้าง ลูกดูอู่เหมยในตอนนี้สิ ถือว่าดีขึ้นมากเลยนะ!”
อู่เหมยพึงพอใจเป็นอย่างมากและมองไปยังอู่เยวี่ยแค่แวบเดียว จะให้นักเรียนหัวกะทิที่เคยภาคภูมิใจ มาหัดเรียนรู้จากเด็กบ๊วยอย่างเธอ ไม่รู้เลยว่าในใจของอู่เยวี่ยตอนนี้เป็นอย่างไร?
เหอปี้อวิ๋นพูดอย่างโกรธเคือง “คุณอู่ คุณถูกยัยเด็กนี่ต้มไปทั้งวิญญาณจนหลงใหลมันแล้วเหรอ? ถึงขนาดว่าต้องให้อู่เยวี่ยเรียนรู้จากยัยเด็กนี่ คุณนี่ช่างไร้สาระ!”
อู่เยวี่ยกัดปากตัวเองแน่น กลิ่นคาวเลือดค่อยๆ เจือจางในปาก ทั้งหวานทั้งคาว
จะให้เธอเรียนรู้จากอู่เหมย?
แม่พูดได้ไม่ผิดเลย พ่อไร้สาระมาก ต่อให้เธอจะสอบได้ไม่ดี แต่ถ้าต้องอยู่ในจุดตกต่ำนั้น แล้วทำไมจะเทียบกับอู่เหมยไม่ได้?
แต่คำพูดนี้เธอจะพูดออกไปไม่ได้ สอบรายเดือนยังไม่เสร็จสิ้น พรุ่งนี้เธอจะต้องพยายามทำให้ดี จะไม่ยอมให้ปัจจัยภายนอกต่างๆ มามีผลกระทบใดๆ
เธอจะต้องใช้คะแนนมาเป็นตัวหักล้างคำพูดของพ่อให้ได้!
คนอย่างอู่เยวี่ยจะต้องชนะอู่เหมยตลอดไป ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคนิคการเรียนของอู่เหมย!
อู่เจิ้งซือตำหนิเหอปี้อวิ๋น “เรื่องการเรียนของพวกเด็กๆ ฉันไม่ต้องการให้เธอเข้ามายุ่ง เธอไปทำกับข้าวได้แล้ว”
เหอปี้อวิ๋นเดินออกไปยังระเบียงด้วยความโกรธแค้น และบ่นด่ากับตัวเอง เรื่องการเรียนของยายเด็กนั่นถ้าต้องให้เธอยุ่งเธอก็ไม่อยากยุ่ง แต่กับอู่เยวี่ยเธอจำเป็นต้องยุ่ง สำหรับเธอแล้วอู่เจิ้งซือไม่เข้าใจเกี่ยวกับการเรียนเลยสักนิด คิดไม่ถึงว่าจะให้อู่เยวี่ยเรียนรู้จากยายเด็กนั่น ช่างเป็นเรื่องตลกเสียจริง
อู่เหมยได้หันไปมองใบหน้าบูดบึ้งของอู่เยวี่ยอีกครั้ง และตั้งใจพูดขึ้น “พ่อคะ พ่อไม่สงสัยเรื่องที่พี่มีกลิ่นตัวและคิดว่าอาการท้องเสียมันจะดูแปลกๆ เหรอคะ?”
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 372 มีหนังสือเป็นหลักฐาน
“แปลกตรงไหน!”
เหอปี้อวิ๋นที่อยู่ตรงระเบียง ได้เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง และจ้องเขม็งไปที่อู่เหมย เธอเป็นห่วงสุขภาพของอู่เยวี่ยยิ่งกว่าใคร และที่สำคัญเธอเองก็รู้สึกว่ากลิ่นตัวเหม็นๆ และอาการท้องเสียของอู่เยวี่ยเป็นสิ่งที่แปลก
อู่เจิ้งซือเองก็ได้มองไปยังอู่เหมย ส่งสัญญาณว่าให้เธอรีบพูดออกมา อู่เยวี่ยเองก็ตั้งหน้าตั้งตาฟัง แม้ว่าเธอจะรู้ว่าอู่เหมยไม่มีทางจะพูดจาน่าฟัง แต่เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะฟัง
อู่เหมยมีสีหน้ายิ้มแย้ม และพูดขึ้นอย่างจริงจัง “อันที่จริงหนูก็เป็นห่วงพี่มากเหมือนกัน เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของพี่ หนูจึงได้ไปค้นหาข้อมูลจากห้องสมุด ผลลัพธ์คือหนูเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนถึงโรคบางอย่างซึ่งตรงกับลักษณะอาการของพี่ในตอนนี้มาก”
“โรคอะไร?”
เหอปี้อวิ๋นถามขึ้นอย่างร้อนใจ จนราวกับใจได้ลอยขึ้นมาติดอยู่ที่ลำคอ เพราะเกรงว่าลูกสาวอันเป็นที่รักของเธอจะเป็นโรคที่ร้ายแรงและยากต่อการรักษา
อู่เจิ้งซือเองก็มีสีหน้าท่าทางไม่ต่างกัน แม้ว่าเขาจะผิดหวังต่ออู่เยวี่ย แต่พอได้รู้ว่าลูกสาวคนโตจะมีโรคอะไร ใจของเขาก็เกิดความเป็นห่วง
อู่เหมยมองใบหน้าซีดขาวของอู่เยวี่ยแค่แวบเดียวและพูดขึ้น “ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร พ่ออย่ากังวลไปค่ะ อันที่จริงพี่ไม่ได้เป็นโรคอะไร ถ้าพูดอย่างถูกต้องก็คือพี่ไม่ได้มีโรค”
เหอปี้อวิ๋นใจร้อนเป็นอย่างมาก ถึงพูดขึ้น “แกพูดให้มันชัดเจนนะ เดี๋ยวบอกว่าป่วยเป็นโรค แต่จู่ๆ กลับบอกว่าไม่เป็นโรค แล้วสรุปว่าพี่สาวแกมีโรคอะไรไหม?”
อู่เหมยทำให้พวกเขาอยากรู้พอสมควร จึงได้พูดขึ้น “หนูอ่านเจอในหนังสือมีผู้ป่วยคนหนึ่งมีข้อบกพร่องเหมือนพี่มาก โดยปกติคนคนนี้เก่งมาก คะแนนสอบก็ดีมาก แต่พอถึงช่วงเวลาสอบ เขาก็รู้สึกไม่สบายตัว ปวดหัว ท้องเสีย หรืออาจจะเป็นข้อบกพร่องอย่างอื่น และทำให้คะแนนสอบออกมาไม่เป็นอย่างที่คิด”
อู่เจิ้งซืออดไม่ได้ที่จะย่นคิ้วเข้าหากัน สภาพการณ์ของคนคนนี้เหมือนกับลูกสาวคนโตของเขามาก จึงอดไม่ได้ที่จะถามต่อ “แล้วในหนังสือได้บอกไหมว่าคนคนนี้เป็นโรคอะไร?”
เหอปี้อวิ๋นและอู่เยวี่ยจ้องมองอู่เหมยด้วยความกังวล และลุ้นอยากให้อู่เหมยรีบพูดออกมา
อู่เหมยก้มหน้าลง และในดวงตาเปล่งประกายอย่างพึงพอใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับมีลักษณะทางสีหน้าและท่าทางที่เป็นปกติ
“ในหนังสือบอกว่า คนคนนี้เป็นโรคเกี่ยวกับอาการทางจิตอย่างหนึ่ง สาเหตุเกิดจากความกดดันของเขา เขา…”
อู่เหมยยังไม่ทันได้พูดจบ เหอปี้อวิ๋นก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างโกรธเคือง “เหลวไหล! แกมัวอ่านแต่หนังสือไร้สาระน่ะสิ สภาพจิตใจของพี่แกปกติดี ครั้งต่อไปถ้าฉันได้ยินแกพูดว่าพี่แกมีปัญหาทางจิตอีก คอยดูว่าฉันจะจัดกการแกยังไง!”
เหอปี้อวิ๋นด่าทอไม่หยุดและเดินออกไปยังระเบียง ผิดหวังจริงๆ ที่เข้ามาฟังอู่เหมยพูดจาทำร้ายอู่เยวี่ยแบบนี้ เธอน่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่าปากของยายเด็กนี่ไม่มีทางพูดคำพูดดีๆ ออกมา!
เยวี่ยเยวี่ยจะมีปัญหาทางจิตได้อย่างไร?
ยายเด็กบ้านี่ใจดำขนาดไหนใครๆ เขาก็มองออกแล้ว ทั้งวันทั้งคืนคิดแต่จะทำลายอู่เยวี่ย ต้องมีสักวันที่เธอต้องจัดการกับยายเด็กบ้านี่!
อู่เหมยยักคิ้วขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เธอเบื่อที่จะสนใจเหอปี้อวิ๋นแล้ว เพราะเธอเองก็ไม่ได้คิดว่าเหอปี้อวิ๋นจะเชื่อคำพูดเธออยู่แล้ว จุดประสงค์ของเธอคือทำให้อู่เจิ้งซือเชื่อ รวมถึงอู่เยวี่ยด้วย
เธอวิ่งกลับเข้าห้องไปเพื่อหยิบเอาหนังสือเล่มหนาๆ เล่มหนึ่งออกมา และยื่นไปให้กับอู่เจิ้งซือ “พ่อคะ หนูอ่านเจอจากหนังสือเล่มนี้ หนูไม่ได้พูดไร้สาระอะไร หากไม่เชื่อพ่อก็ลองอ่านหน้าพวกนี้ดูเองนะคะ หนูพับเอาไว้แล้ว”
อู่เจิ้งซืออ่านหน้าปกมีชื่อเรื่อง ‘ทฤษฎีทางจิตของเยาวชน’ และด้านบนก็มีสัญลักษณ์ของห้องสมุดประจำเมือง
เขาจึงได้เปิดอ่านหน้าหนังสือที่พับไว้ไม่กี่หน้า และอ่านอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็อ่านหน้าหนังสือไม่กี่หน้าที่พับไว้จนหมด สีหน้าจริงจังมากขึ้นและใจเริ่มนิ่งสงบ
สถาพการณ์ในหนังสือมีความเหมือนกับอาการของอู่เยวี่ยอยู่มาก โดยทั่วไปก็แสดงออกปกติดี แต่พอถึงช่วงเวลาสำคัญก็มักจะพลาดเสมอ ข้อบกพร่องบนตัวก็มีอยู่ไม่น้อย
นอกจากบางอาการที่ไม่ค่อยคล้ายคลึงแล้ว อย่างอื่นถือว่าตรงตามกันทุกอย่าง
…………………………………………………………………………………………..