ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 375 ความกลัวของอู่เยวี่ย + ตอนที่ 376 ติดกับดักแล้ว
ตอนที่ 375 ความกลัวของอู่เยวี่ย
อู่เยวี่ยถือหนังสือมาวางตรงหน้าโต๊ะอ่านหนังสือ และจึงได้นั่งลงตาม หนังสือเล่มนี้เป็นของนักเขียนชาวต่างชาติที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง มืออันสั่นเทาของเธอค่อยๆ เปิดไปยังหน้าที่มีรอยพับของหนังสืออยู่ เธออ่านด้วยความร้อนรน ยิ่งอ่านไป ในใจเธอก็ยิ่งจมดิ่งไป ดิ่งจนถึงจุดลึกสุดของก้นบึ้งหัวใจ
ในหนังสือเล่มนี้เขียนถึงผู้ชายคนหนึ่งที่มีอาการเดียวกับเธอ มีสิ่งเดียวที่แตกต่างนั่นคือปฏิกิริยาของร่างกาย ชายผู้นี้มีอาการปวดหัว อาเจียน และปวดท้อง และบางครั้งก็ถึงขั้นช็อก แต่เธอกลับมีแค่กลิ่นตัวและอาการท้องเสีย
แต่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกไว้ อาการของโรคทางจิตของแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ต่างกัน บางคนจะมีลักษณะปวดหัว ปวดท้องและอาเจียน บางคนอาจจะสลบไปหรือช็อกไป หรือแม้แต่อาการต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นได้ แม้แต่ตัวของผู้เขียนเองยังไม่สามารถรวบรวมออกมาได้ทั้งหมด
แต่ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างระบุแล้วว่าอาการของผู้ป่วยบางรายที่เขาเคยพบเจอมา หนึ่งในนั้นก็คืออาการท้องเสียและการมีกลิ่นตัว อู่เยวี่ยที่ได้เห็นสองสิ่งนี้ สายตาพร่ามัวมืดสนิท ร่างกายแข็งทื่อราวกับอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง
เธอเองก็มีอาการแบบนี้ไม่ใช่หรือ?
อู่เยวี่ยอ่านต่อไปเรื่อยๆ เธออยากรู้ว่าอาการของโรคนี้สามารถรักษาได้หรือไม่ เธอไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เธออยากจะกลับไปเป็นอู่เยวี่ยคนเดิมอย่างเมื่อก่อน!
แต่เธอกลับต้องผิดหวัง
ผู้เขียนบอกว่าในปัจจุบันยังไม่มียาประเภทไหนที่เหมาะสมสำหรับการรักษา สิ่งสำคัญคือต้องดูสภาพจิตใจของผู้ป่วยว่าสู้มากน้อยแค่ไหน เพียงแค่สภาพจิตใจแข็งแรง อาการของโรคก็จะค่อยๆ หายไปเอง
และแน่นอนว่าผู้เขียนก็ได้ให้คำแนะนำต่อผู้ป่วยว่า ควรจะไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการรักษาผลตอบรับจะได้ชัดเจนกว่า เพราะตัวเขาเองก็ได้รักษาผู้ป่วยของโรคนี้สิบกว่าราย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ
อู่เยวี่ยตัดเรื่องการไปพบกับแพทย์ออก เพราะเธอมีความคิดที่ตรงกับอู่เจิ้งซือ โรคทางจิตก็คือการเป็นโรคประสาทไม่ใช่หรือ? หากคนอื่นๆ รู้ว่าเธอเป็นโรคประสาท ครู เพื่อน และคุณปู่คุณย่ารวมทั้งคนอื่นๆ จะมองเธออย่างไร?
เกรงว่าถึงเวลานั้นสิ่งที่เธอต้องเผชิญจะไม่ใช่ความห่วงใยหรือความเห็นใจสงสาร แต่กลับเป็นการถูกหัวเราะเยาะและความอับอายขายขี้หน้า
อู่เยวี่ยไม่แม้แต่จะกล้าคิดต่อ เธอไม่อยากยอมรับที่จะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ยากลำบากเช่นนั้น แค่กลัวว่าหากถึงเวลานั้นแล้วเธอจะต้องอึดอัดทนฝืนไปเสียยิ่งกว่าอู่เหมยเมื่อก่อน
ไม่ได้!
เธอจะไม่ยอมไปหาหมอเด็ดขาด เธอจะต้องเอาชนะมันด้วยตัวของเธอเองให้ได้ ไม่ใช่เรื่องนี้เป็นแค่เพราะปัญหาทางจิตหรอกหรือ เพียงแค่เธอไม่ไปนึกถึงมัน ก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว
เธอไม่สนใจเลยสักนิดว่าจะสอบได้ที่หนึ่งหรือไม่ ไม่สนใจสักนิดว่าคะแนนจะดีไหม ต่อให้สอบได้ที่โหล่เธอก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ!
อู่เยวี่ยพยายามบอกกับตัวเองอยู่เรื่อยๆ แต่พอยิ่งพูดไปถึงประโยคหลัง เสียงของเธอก็ค่อยๆ อ่อนลง จนถึงประโยคสุดท้ายไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดออกกมา อู่เยวี่ยซบหน้าลงกับโต๊ะอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน และร้องไห้โดยไม่มีเสียงเปล่งออกมา
จะไม่ให้เธอสนใจคะแนนดีหรือแย่ได้อย่างไร?
เธอสนใจคะแนนมากกว่าคนอื่นเป็นไหนๆ
เธอหวังเพียงแค่สอบให้ได้ที่หนึ่ง หากได้ที่สองเธอก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก ทั้งที่เธอสามารถสอบได้ที่หนึ่งแบบสบายๆ อย่างไม่ต้องคิดอะไร แต่ทำไมเธอถึงได้เป็นโรคเกี่ยวกับปัญหาทางจิตได้ล่ะ?
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ในหัวกลับเริ่มผุดเอาคำพูดของอู่เหมยขึ้นมา ‘เป็นเพราะแม่ที่เอาแต่บอกให้พี่สอบให้ได้ที่หนึ่ง นั่นจึงทำให้พี่มีความกดดันมากเกิน’
อู่เยวี่ยเริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง ถูกต้องแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของแม่ เป็นเพราะแม่ที่วันๆ เอาแต่พูดบ่นอยู่ข้างหูเธอ เอาแต่พร่ำบอกว่าคนอื่นจดจำเพียงแค่ที่หนึ่ง ที่สองและที่สามไม่เคยมีใครคิดที่จะจดจำ และยังพูดอีกว่าขอแค่เธอสอบได้ที่หนึ่ง ก็สามารถทำให้แม่มีหน้ามีตาและเป็นเกียรติ…
“เยวี่ยเยวี่ย โจ๊กเสร็จแล้วนะลูก แม่ยังผัดผักดองเผื่อให้ลูกด้วย ลูกรีบๆ กินตอนร้อนๆ เถอะ กินเสร็จแล้วจะได้ทบทวนบทเรียนต่อได้ วันพรุ่งนี้พยายามสอบ…”
เหอปี้อวิ๋นยกถาดอาหารเดินเข้ามา ใบหน้าเต็มด้วยความเป็นห่วงเป็นใยและรักใคร่เอ็นดูเธอ แต่อู่เยวี่ยกลับไม่ได้รับรู้ถึงมันเลย เธอได้ยินเพียงแค่ประโยคที่คุ้นหู ‘วันพรุ่งนี้พยายามสอบให้ได้ที่หนึ่ง’
อีกไม่กี่คำที่อยู่ในประโยคหลัง เธอไม่ต้องฟังก็รับรู้ได้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะพูดอะไร ทำให้อารมณ์โมโหของเธอปะทุขึ้นมา เธอจึงได้ตะโกนออกไปอย่างโกรธเคือง “ที่หนึ่ง ที่หนึ่ง ในใจของแม่นอกจากที่หนึ่งแล้วยังมีอะไรอีกไหม?”
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 376 ติดกับดักแล้ว
อู่เยวี่ยตะโกนร้องราวกับตัวเองกำลังเป็นโรคร้ายแรง อู่เจิ้งซือที่กำลังเตรียมการสอนอยู่ในห้องตัวเองยังถึงกับตะลึงงันและตกใจเป็นอย่างมาก เขานึกว่าเกิดเรื่องขึ้นจึงรีบวิ่งออกมาจากห้อง แต่กลับเห็นเหอปี้อวิ๋นที่ยืนตัวแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ในมือกำลังถือถาดที่มีโจ๊กร้อนๆ และผักดองวางอยู่ด้วย ขณะที่อู่เยวี่ยกลับน้ำตาไหลอาบแก้ม และมีท่าทีเจ็บปวด
“เกิดอะไรขึ้น? เธอพูดอะไรอีกแล้วเหรอ?” อู่เจิ้งซือถามออกไปเสียงต่ำ และมองเหอปี้อวิ๋นด้วยความไม่พอใจ
เหอปี้อวิ๋นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เธอยังไม่ได้พูดอะไรเลย ทำไมจู่ๆ เยวี่ยเยวี่ยถึงได้โมโหขึ้นมาล่ะ?
“ฉันไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่ยกโจ๊กเข้ามาให้เยวี่ยเยวี่ยกิน เยวี่ยเยวี่ย ลูกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” เหอปี้อวิ๋นไม่ได้นึกโกรธโทษลูกสาวคนโตเลยสักนิด ในทางกลับกันเธอยังคงเอาแต่เป็นห่วง
แต่อู่เยวี่ยกลับไม่เต็มใจรับเอาความรู้สึกสักนิด ตอนนี้เธอได้ปักใจเชื่อบางอย่างไปแล้ว และยังเชื่อสนิทใจอีกด้วย
เธอคิดว่าอาการของโรคทางจิตสาเหตุมาจากเหอปี้อวิ๋นที่เป็นคนทำ เพราะในใจของเหอปี้อวิ๋นเพียงแค่ต้องการให้อู่เยวี่ยเป็นเครื่องมือที่ทำให้เธอได้เชิดชูตาและเป็นเกียรติก็เท่านั้น เพราะอย่างนั้นการที่เหอปี้อวิ๋นทำดีกับเธอก็เพื่อต้องการให้เธอสอบได้ที่หนึ่ง แบบนั้นเหอปี้อวิ๋นก็สามารถออกไปคุยโวโอ้อวดกับคนอื่นๆ ได้
อู่เยวี่ยในตอนนี้คัดค้านต่อตัวของเหอปี้อวิ๋นเอามาก อีกทั้งยังมีความรู้สึกรังเกียจเพราะแบบนี้ความรักใคร่เอ็นดูที่เหอปี้อวิ๋นมีให้ ในสายตาเธอนั้นเป็นเพียงแค่ความเสแสร้ง ความห่วงใยของเหอปี้อวิ๋นเธอก็มองเห็นเป็นแค่แรงจูงใจที่แอบแฝงด้วยผลประโยชน์
สุดท้ายแล้ว ต่อให้เหอปี้อวิ๋นจะพูดอะไร จะทำอะไร อู่เยวี่ยก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ
เหอปี้อวิ๋นเห็นท่าทีของอู่เยวี่ยที่ไม่เข้าข้างเธอดั่งเดิม ก็เกิดความร้อนรนใจ และรีบยื่นมือออกไปแตะที่หน้าผากของอู่เยวี่ย เพื่อดูว่าเธอมีไข้หรือเปล่า อู่เยวี่ยถอยหลังออกห่างด้วยความรังเกียจ จนคิ้วผูกแน่นเป็นปม
“เยวี่ยเยวี่ยนี่ลูกเป็นอะไร?”
เหอปี้อวิ๋นรู้สึกว่า หัวใจของเธอถูกแทงจนเจ็บปวดทรมาน เธอรับรู้ได้ถึงความเหินห่างและเบื่อหน่ายของอู่เยวี่ย แค่รู้สึกว่ามันอธิบายออกมาไม่ได้ และตอนนี้เธอเองก็เจ็บปวดจนไม่อาจเทียบกับสิ่งใดได้
“ไม่มีอะไร หนูจะอ่านหนังสือ แม่อย่าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับหนูอีก” อู่เยวี่ยก้มหน้าลงและพูดออกไปเสียงแผ่วเบา ในสายตามีเพียงแค่ความรำคาญ แต่เหอปี้อวิ๋นกลับมองไม่เห็น
เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มอ้าปากพูด เหอปี้อวิ๋นเองก็เริ่มสบายใจขึ้น เธอจึงยิ้มและพูดขึ้น “แม่แค่ยกเอาข้าวต้มมาให้ลูกกิน เย็นนี้ลูกยังไม่ได้กินอะไรเลย เรากินโจ๊กเสร็จแล้วค่อยอ่านหนังสือต่อ แบบนั้นถึงจะทำให้มีสมาธินะ!”
“ขอบคุณค่ะแม่”
อู่เยวี่ยฝืนความรู้สึกและพูดขอบคุณเสียงเบา โจ๊กชามนี้ได้ทำให้เธอรู้สึกสะอิดสะเอียน คำพูดจากปากของเหอปี้อวิ๋นถ้าไม่ใช่อ่านหนังสือก็คงมีแค่เรื่องสอบ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยห่วงสุขภาพเธอเลย โจ๊กชามนี้ที่ต้มมาให้ก็คงเห็นแก่การสอบในวันพรุ่งนี้อีกแน่
อู่เยวี่ยที่ก้มหน้าอยู่ได้แต่แสยะยิ้ม และยื่นมือออกไปรับโจ๊กชามนั้นมากรอกใส่ปากตัวเองทีเดียวจนหมด จากนั้นยกชามโจ๊กเปล่าๆ วางคืนไปบนถาด ดวงตาคลอไปด้วยหยดน้ำตา เพราะถูกโจ๊กลวกลิ้น
“หนูกินเสร็จแล้ว ขอบคุณนะคะแม่”
ผ่านไปได้พักหนึ่งกว่าที่เหอปี้อวิ๋นจะได้สติ และรีบหยิบเอาผ้ามาเช็ดปากให้อู่เยวี่ย พูดขึ้นอย่างเป็นห่วง “เยวี่ยเยวี่ยทำไมลูกถึงได้กินโจ๊กไปทีเดียวจนหมดล่ะ ลวกปากไหม? ไหนขอแม่ดูหน่อย!”
“ไม่โดนลวกค่ะ แม่ออกไปเถอะ อย่ารบกวนเวลาอ่านหนังสือของหนูเลย”
อู่เยวี่ยผลักเหอปี้อวิ๋นออกด้วยความรำคาญ ทนฝืนเจ็บจากที่ถูกโจ๊กลวกปากเมื่อครู่ และนั่งลงอ่านหนังสือต่อ เธอไม่สนใจว่าจะอ่านไปได้มากน้อยแค่ไหน ขอแค่ในใจเธอเกิดความมั่นใจก็เพียงพอ
อู่เจิ้งซือคิ้วขมวดแน่น เขาสังเกตได้ถึงอาการผิดปกติของอู่เยวี่ย นี่เป็นอาการที่คล้ายคลึงกับในหนังสือมาก ก่อนที่อาการจะกำเริบหนักผู้ป่วยจะมีแต่ความกังวล โมโหร้าย กระทั่งปากพูดแต่คำพูดหยาบคายๆ
อู่เยวี่ยในตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?
อู่เจิ้งซือนิ่งเงียบไป เขาเอาแต่มองสถานการณ์เป็นจริงตรงหน้า ลูกสาวคนโตเดิมทีเคยเป็นถึงความภาคภูมิใจของเขา เป็นไปได้มากที่เธอจะเป็นโรคที่มีปัญหาทางจิตได้อย่างคาดไม่ถึง
อู่เหมยที่ยืนอยู่ตรงประตูด้วยท่าทางสงบนิ่ง แต่ในใจกลับดีใจเป็นที่สุด อู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นเอาแต่สนใจตัวอู่เยวี่ย แต่กลับไม่ได้สนใจอู่เยวี่ยที่เอาหนังสือเล่มนั้นยัดใส่ในลิ้นชัก มีเพียงเธอเท่านั้นที่เห็น
…………………………………………………………………………………………..