ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 399 การเต้นไม่ได้ทำให้อิ่มข้าวได้ + ตอนที่ 400 ทานข้าวด้วยกัน
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 399 การเต้นไม่ได้ทำให้อิ่มข้าวได้ + ตอนที่ 400 ทานข้าวด้วยกัน
ตอนที่ 399 การเต้นไม่ได้ทำให้อิ่มข้าวได้
ตอนนี้อู่เหมยไม่มีเงินเหลือติดตัวเลย เธอเลือกซื้อของที่ไม่ค่อยถูกชะตาไปหลายอย่าง คงต้องให้เหยียนหมิงซุ่นช่วยเอาของไปหาแลกเพื่อให้ได้เงินมาใช้บ้าง
แต่ถึงอย่างไรเธอจะต้องหาอีกวิธีการในการหาเงิน หากจะต้องพึ่งวิธีการซื้อมาแล้วขายไปแบบนี้ตลอดคงไม่ดีนัก
“ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว พวกเราไปหาอะไรกินกันเถอะ” เหยียนหมิงซุ่นพูด
“พี่หมิงซุ่น มื้อเที่ยงหนูเลี้ยงพี่เอง พี่อยากทานอะไรคะ?” อู่เหมยรีบพูดขึ้นทันทีและหันไปมองยังเหยียนหมิงซุ่น
ตอนแรกเธอตั้งใจจะเลี้ยงข้าวเหยียนหมิงซุ่นอยู่หลายครั้งแล้ว วันนี้ช่างพอดีเหลือเกิน เงินติดตัวเธอยังเหลืออีกสิบกว่าหยวน เพียงพอที่จะเลี้ยงอาหารดีๆ ให้กับเหยียนหมิงซุ่นได้สักมื้อ
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะขึ้นเบาๆ พลางใช้มือลูบไปที่หัวของอู่เหมย และถามขึ้นเสียงเบา “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากเลี้ยงข้าวพี่ล่ะ?”
อู่เหมยหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ พลางพูดด้วยเสียงอู้อี้ “ก็เพราะว่าอยากขอบคุณพี่หมิงซุ่น พี่ช่วยฉันมาเยอะมาก ฉัน…ฉันไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณพี่ยังไงดี ฉัน…”
ยิ่งพูดไปถึงประโยคหลังเธอก็เริ่มติดอ่าง อู่เหมยหยิกมือตัวเองแน่น ใบหน้าก็เริ่มขึ้นสีแดงกว่าเดิมมาก เหยียนหมิงซุ่นจึงอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเธอ จึงได้พูดตัดบท “ช่วงนี้อู่เหมยเรียนเต้นด้วยใช่ไหม? เรียนเป็นยังไงบ้าง?”
อู่เหมยรู้สึกโล่งใจไปมาก ใบหน้าของเธอบ่งบอกถึงความต้องการอยากได้คำชม “ครูเฮ่อบอกว่าพรสวรรค์ด้านการเต้นของฉันดีกว่าการวาดรูป ครูและแม่จ้าวต่างก็อยากให้ฉันหันมาเรียนเต้นแทน แต่ฉันไม่ได้เห็นด้วย”
เหยียนหมิงซุ่นตื่นเต้นและดูตกใจไม่น้อย ยายแสบนี่มีพรสวรรค์ทางด้านการเต้นขนาดนั้นเชียวหรือ?
ช่างเป็นสิ่งที่ใครต่างก็คิดไม่ถึงจริงๆ เขาเพิ่งจะรู้ได้ว่ายายแสบนี่ นอกจากจะไม่มีพรสวรรค์ด้านการเรียนแล้ว แต่พรสวรรค์ด้านอื่นของเธอกลับโดดเด่นไม่น้อย
อย่างที่เคยบอกไว้ว่าสวรรค์ได้ปิดประตูบานหนึ่งของเธอไป แต่สวรรค์กลับได้เปิดหน้าต่างอีกบานให้ แต่ดูท่าแล้วยายแสบคงจะเป็นลูกรักของพระเจ้า หน้าต่างที่ท่านเปิดให้ไม่ใช่แค่บานเดียวเสียด้วย!
“ทำไมเหมยเหมยถึงไม่อยากเรียนเต้นล่ะ?” เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกแปลกใจ เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบร้องเพลงหรือเต้นหรอกหรือ?
อู่เหมยทำปากจู๋แล้วส่ายหน้าไปมาตอบ ”การเต้นไม่ได้ทำให้อิ่มข้าวได้ ทุกวันจะต้องทนหิว ฉันทนไม่ได้หรอก”
จริงๆ แล้วนี่เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่เธอไม่อยากเรียนเต้น ที่บอกว่ากลัวเหนื่อยนั่นเป็นแค่คำพูดหลอกลวง สิ่งที่เธอไม่กลัวที่สุดคือความเหนื่อย
ในชาติก่อนเธอจำได้ดีว่ามีนักเต้นหญิงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ทั้งชีวิตของหญิงสาวผู้นี้ เธอไม่เคยกินข้าวอิ่มเลยสักครั้ง กินข้าวแต่ละครั้งแทบต้องได้นับเม็ดข้าว เพียงเพราะต้องรักษาหุ่นของเธอ และเพื่อแสดงด้านที่งดงามของเธอบนเวทีแสดง
ครั้งนั้นที่อู่เหมยได้เห็นบทความข่าวนี้ นอกจากที่เธอรู้สึกเคารพและศรัทธาในตัวหญิงสาวแล้ว ที่เหลือคือความเห็นใจ
คนเรามีชีวิตอยู่ไม่ใช่เพราะกินอยู่อย่างสุขสบายหรือไง แค่กินยังกินได้ไม่อิ่ม แล้วในชีวิตนี้จะมีความหมายอะไร?
ไม่ง่ายเลยที่เธอจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ เธอจะต้องกินเที่ยวให้คุ้ม เธอไม่ยอมทรมานท้องตัวเองเพราะต้องทนหิวเพื่อการเต้นแน่!
เหยียนหมิงซุ่นมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความจริงจังของอู่เหมย และเขาเองก็รู้ดีว่านั่นคือคำพูดที่ออกมาจากใจของเธอ อยากทนก็ทนไม่ได้
อู่เหมยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่เธอก็คิดแบบนั้นจริงๆ เธอไม่อยากพูดโกหกต่อหน้าของเหยียนหมิงซุ่น
“พี่หมิงซุ่น ที่ฉันบอกกับแม่จ้าวว่าเรียนเต้นแล้วกลัวเหนื่อยไม่ใช่เรื่องจริงนะคะ พี่อย่าบอกใครล่ะ” อู่เหมยกำชับเขาอย่างระวัง
เหยียนหมิงซุ่นทนกลั้นขำและพูดขึ้น “ไม่บอกใครหรอก นี่เป็นความลับระหว่างเราสองคน”
อู่เหมยพยักหน้าอย่างแรง และรอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้น เธอรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเธอและเหยียนหมิงซุ่นมีระยะที่ใกล้ขึ้นมามากขึ้น นั่นก็เพราะความลับนี้
“ไปกินข้าวกันเถอะ แถวนี้มีร้านอาหารหางปาง[1]อยู่ร้านหนึ่งถือว่าใช้ได้ เราไปที่นั่นกัน”
เหยียนหมิงซุ่นจูงมืออู่เหมยเหมือนปกติเพื่อเดินออกไปด้านนอก เป็นอีกครั้งที่อู่เหมยหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ฝ่ามือของเหยียนหมิงซุ่นมีขนาดใหญ่และยังทำให้รู้สึกถึงไออุ่นร้อนที่ออกมา มือของเขาสามารถรวบมือของเธอไว้ได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นทำให้รู้สึกอบอุ่นมาก อุ่นไปทั้งขั้วของหัวใจ
แต่ทำไมใจเธอถึงได้เต้นแรงขนาดนี้?
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 400 ทานข้าวด้วยกัน
ร้านอาหารหางปางที่เหยียนหมิงซุ่นพูดถึงไม่ใหญ่มาก แต่ร้านดูจัดระเบียบได้อย่างสะอาดตา พ่อค้าเป็นชายร่างท้วมที่ดูซื่อๆ และมีแม่ค้าผิวขาวจ้ำม่ำอีกคน พอพวกเขาเห็นเหยียนหมิงซุ่นก็เข้ามาให้การต้อนรับอย่างดี และดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกันดีพอสมควร
“เสี่ยวเหยียนมาแล้วเหรอ เข้ามานั่งตรงนี้สิ มีโต๊ะที่ลูกค้าเพิ่งจ่ายเงินไปพอดีเลย”
พ่อค้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดีและได้พาเหยียนหมิงซุ่นไปยังที่นั่งติดหน้าต่าง บนโต๊ะยังมีรอยชื้นอยู่ซึ่งบ่งบอกได้ว่าจ่ายเงินเสร็จแล้วเพิ่งลุกออกไป
“เชฟเผิง ผมเอาปลาเปรี้ยวหวาน เต้าหู้แผ่นยัดไส้หมูทอดกรอบ ซุปไก่เต้าหู้ หมูน้ำแดง แล้วก็ข้าวอีกสองจานครับ”
เหยียนหมิงซุ่นสั่งกับข้าวได้อย่างชำนาญ เขาหันไปส่งยิ้มให้อู่เหมยและพูด “กับข้าวแต่ละอย่างที่สั่งไปเป็นเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ รสชาติดีไม่แพ้ภัตตาคารจุ้ยเซียนเลยล่ะ”
เชฟเผิงยิ้มอย่างดีใจในทันที พลางยกนิ้วโป้งส่งให้เหยียนหมิงซุ่น “เสี่ยวเหยียนช่างมีแววนัก เดี๋ยวฉันจะบอกกับเชฟสวี่ให้ จะได้เพิ่มเนื้อลงไปให้ และต้องเลือกปลาตัวที่เนื้อแน่นๆ หน่อย”
อู่เหมยที่ได้ฟังก็รู้สึกขบขันมาก แม้ว่าเธอจะไม่เคยเจอกับเชฟสวี่ แต่ก็รู้สึกได้ว่าน่าสนใจ
เหยียนหมิงซุ่นเหมือนกับอ่านใจอู่เหมยออก จึงหันไปอธิบาย “เชฟสวี่มีนิสัยใจคอที่แปลกไปบ้าง แต่ฝีมือในการทำอาหารของเขาสุดยอดมาก ฝีมือไม่ได้แย่ไปกว่าเชฟในโรงแรมหรือภัตตาคารใหญ่ๆ เลย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ฝีมือการทำอาหารของเขาก็ได้มาจากเชฟสวี่ที่คอยสอนให้ แม้ว่าจะเรียนไปแค่ไม่กี่อย่าง แต่ก็ถือว่าสามารถสยบคำคนอื่นได้เลย
อาหารเข้ามาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว หน้าตาและกลิ่นผสมผสานกันอย่างลงตัว ดูน่ากินเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหมูน้ำแดง ไม่เพียงแค่มีหน้าตาน่าทาน แต่เรื่องรสชาตินั้นถือว่าไม่มีที่ติเลยล่ะ กินเข้าไปแล้วไม่มีความมันเยิ้มเลยสักนิด อู่เหมยที่ไม่ชอบกินมันหมูก็ยังกินติดๆ กันไปหลายคำ จนทำให้ริมฝีปากเล็กๆ ของเธอมันวาว
“อร่อยจริงๆ ค่ะ ฉันว่ารสชาติหมูน้ำแดงของที่นี่อร่อยกว่าที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนเยอะเลย” อู่เหมยกินไปด้วย พูดชมไปด้วย
เหยียนหมิงซุ่นคีบเนื้อปลาตรงส่วนท้องวางไว้ในจานของอู่เหมย ”รสชาติปลาเปรี้ยวหวานของเชฟสวี่ก็ไม่มีที่ติเหมือนกัน เธอลองกินดูว่าอร่อยไหม?”
“อร่อยค่ะ พี่หมิงซุ่นก็ทานด้วยสิคะ”
เพียงครู่เดียวอู่เหมยก็ถูกปลาเปรี้ยวหวานดึงดูดเข้าไป ดวงตาของเธอเปล่งประกายวับวาว เธอเองจึงคีบเนื้อปลายื่นไปให้เหยียนหมิงซุ่นคืนบ้าง
ทั้งคู่ค่อยๆ กินข้าวด้วยกัน มีบางครั้งที่จะพูดขึ้น แต่นั่นกลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเดิม บรรยากาศมันช่างงดงามและแลดูสุขสบาย
เหมยซูหานเดินออกมาจากบริษัทไป๋ฮั้วข้างๆ ร้านอาหาร เขาคอยพยุงแม่ตัวเองเอาไว้ ท่าทีของแม่เหมยดูปกติดี ซึ่งดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก แต่สีหน้ากลับไม่ค่อยดีนัก ยังดูซีดเหลืองอยู่บ้าง
“ซูหาน แม่มีเสื้อผ้าใส่อยู่ ลูกอย่าเอาแต่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เก็บเอาไว้ใช้สำหรับการเรียนเถอะ” แม่เหมยพูดด้วยความไม่พอใจ
เหมยซูหานยิ้มอย่างอิ่มอกอิ่มใจ “แม่ครับ ตอนนี้ลูกของแม่หาเงินได้เองแล้วนะ ต่อให้เป็นเสื้อหนังเสือผมก็มีปัญญาซื้อให้ ซื้อให้แล้วแม่ก็ต้องใส่ด้วยนะ รอให้ถึงช่วงปิดเทอมผมจะพาแม่ไปรักษาที่เมืองหลวง เพราะที่นั่นมีแพทย์แผนจีนเยอะ ต้องรักษาแม่ให้หายได้แน่”
แม่เหมยมองดูท่าทีอิ่มอกอิ่มใจของลูกชาย ในใจเธอรู้สึกได้ถึงความหวานราวกับการได้ดื่มน้ำผึ้ง ลูกชายบ้านไหนจะเทียบได้กับลูกชายของเขาอีก?
แม้ว่าชะตาชีวิตของเธอจะไม่ดีนัก เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ไร้ความพยายาม แต่เธอก็ไม่เคยคิดโทษพระเจ้าเลย กลับกันที่เธอรู้สึกขอบคุณ พระเจ้าปฏิบัติต่อเธอได้ดีไม่น้อย ท่านได้ประทานลูกชายที่กตัญญูรู้คุณมาให้ หากต้องให้แลกกับภูเขาทองคำเธอก็ไม่ยอม
“แม่ครับ ให้ผมลี้ยงข้าวแม่ดีกว่า หมูน้ำแดงและปลาเปรี้ยวหวานของร้านนี้อร่อยมาก แม่จะต้องชอบมากแน่ๆ”
เหมยซูหานเหงยหน้าขึ้นมาก็เจอกับร้านที่อยู่ด้านข้าง เขาจึงดีใจและอยากจะเลี้ยงข้าวแม่ตัวเอง แม่ต้องลำบากมาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว เคยกินข้าวให้อิ่มไปแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ตอนนี้เขามีเงินแล้ว จะต้องทำให้แม่ได้กินอิ่มทุกมื้อ
รสชาติอาหารดีมากจริงๆ แต่กำลังในการกินของอู่เหมยมีไม่เพียงพอ ฟันซี่ใหญ่ๆ ของเธอสั่นคลอน เธอจึงจำเป็นต้องใช้ฟันซี่หน้าและฟันเขี้ยวเข้าช่วยในการบดเคี้ยว ทำให้การกินต้องใช้พละกำลังพอสมควร และนั่นทำให้เธอรู้สึกปวดชาที่แก้มไปหมด
“ช่วงนี้แม่ของเธอไม่ได้ตีเธอแล้วใช่ไหม?” เหยียนหมิงซุ่นคีบเนื้อยื่นให้อู่เหมยหนึ่งชิ้น และถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใย
…………………………………………………………………………………………..
[1] เป็นหมวดอาหารสำคัญของวัฒนธรรมอาหารของเจ้อเจียง รสอาหารเน้นรสเค็มเป็นหลัก