ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 405 ความสงสัยของเหยียนหมิงซุ่น + ตอนที่ 406 ได้รับการปลอบใจ
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 405 ความสงสัยของเหยียนหมิงซุ่น + ตอนที่ 406 ได้รับการปลอบใจ
ตอนที่ 405 ความสงสัยของเหยียนหมิงซุ่น
เหยียนหมิงซุ่นมองเหมยซูหานอย่างสงสัย ขนมแท่งนมถั่วที่ภูเขาเฟิ่งหวงครั้งก่อน แล้วยังบัวลอยเหล้าหมักครั้งนี้อีกซึ่งต่างเป็นอาหารที่อู่เหมยชอบกินทั้งนั้น ครั้งแรกอาจจะเป็นเพราะความบังเอิญ แต่ครั้งที่สองคงไม่เป็นเพราะความบังเอิญหรอกมั้ง?
“ฉันกินแค่ถ้วยเล็กๆ ก็พอแล้ว ท้องแน่นจะแย่แล้ว”
อู่เหมยตักบัวลอยใส่ถ้วยเล็กหนึ่งถ้วย ส่วนที่เหลือก็ดันไปให้เหมยซูหาน เธอไม่ได้กินบัวลอยในถ้วยนั้น แต่ส่งให้เหมยซูหานกินทั้งแบบนี้ ในใจเธอถึงจะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ถ้าให้เหมยซูหานกินอาหารที่เหลือจากเธอจริงๆ อย่าพูดเลยว่าจะรู้สึกแย่มากขนาดไหน
เหมยซูหานมองความคิดของอู่เหมยออก ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เหมยเหมยมักเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย ถ้าหากว่าเป็นเหยียนหมิงซุ่น เหมยเหมยคงจะไม่แบ่งให้ชัดเจนแบบนี้หรอก?
เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้คิดแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าคิดแบบนี้มันออกจะใจแคบเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่เขามักจะควบคุมไม่อยู่
ตอนนี้ธุรกิจของเขามั่นคงแล้วพอสมควร เขาก็ไม่ต้องยุ่งขนาดนั้นแล้ว แบบนี้ก็หาเวลาอยู่กับเหมยเหมยได้มากขึ้น จะไม่เปิดโอากาสให้เหยียนหมิงซุ่นอีกแล้ว
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เหมยซูห่านก็สบายใจขึ้นมาหน่อย เขาเคลื่อนชามบัวลอยมากินเข้าไปคำโต แม่เหมยมองลูกชายอย่างฉงน แต่ไหนแต่ไรมาซูหานไม่กินบัวลอยเหล้าหมักเลย เพราะมีกลิ่นเหล้าแรงเกินไป ทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงกินเข้าไปได้นะ แถมยังกินอย่างเอร็ดอร่อยอีกต่างหาก?
เหมยซูหานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงชอบกินบัวลอยเหล้าหมักขึ้นมา หลังจากตื่นจากฝันครั้งนั้น เขาก็ค้นพบว่ารสนิยมการกินของตัวเองเปลี่ยนไปหมด อาหารที่เมื่อก่อนไม่ชอบกินอยู่ดีๆ ก็ดันชอบกินขึ้นมา อาหารที่เมื่อก่อนชอบกินอยู่ดีๆ ก็ไม่ชอบกินเสียงั้น
ถึงแม้นิสัยและอารมณ์ของเขาว่าจะอ่อนโยน แต่รสนิยมการกินของเขาค่อนข้างจัดจ้าน ชอบกินอาหารที่มีรสชาติเค็มเผ็ด แถมยังชอบกินอาหารค้างคืนอีกด้วย แต่ตอนนี้ความเคยชินเหล่านี้ของเขาถูกปรับเปลี่ยนจนหมดแล้ว ทานอาหารรสชาติอ่อนๆ ต้องทำอาหารสดใหม่ทุกวัน และพยายามกินพวกผักดองให้น้อยลง
เขาในตอนนี้กับเขาในอดีตเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งหมดเป็นเพราะความฝันครั้งนั้น
เพราะตัวเขาในความฝันมีรสนิยมการกินแบบนี้ ครั้นหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาก็รับรสชาติอันคุ้นเคยก่อนหน้านั้นไม่ได้อีกแล้ว
พออู่เหมยกินบัวลอยเสร็จก็เรอออกมาเสียงดัง ท้องแน่นกลมดิก อาหารจุกอยู่ที่ลำคอ รู้สึกว่าบัวลอยเหมือนลูกปิงปองที่เด้งออกมาจากปากทีละลูก
“เอิ๊กก!”
อู่เหมยรู้สึกอึดอัดจนเปล่งเสียงเรอออกมาอีกครั้ง แม่เหมยมองเหมยซูหานอย่างตำหนิ สาวน้อยเธอก็บอกแล้วว่ากินอิ่มแล้ว ยังรั้นจะสั่งบัวลอยมาอีก ดูสิทำเอาสาวน้อยอิ่มแทบแย่
“เหมยเหมยกลับบ้านไปต้มน้ำซานจาดื่มหน่อย จะช่วยเรื่องย่อยอาหาร” แม่เหมยกำชับ
“ค่ะ หนูเดินสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว แม่เหมย พี่ซูหาน หนูไปก่อนนะคะ หนูต้องกลับบ้านแล้ว สวัสดีค่ะ”
อู่เหมยลุกขึ้นบอกลา เดินกลับไปกับเหยียนหมิงซุ่น
เหมยซูหานมองดูเงาแผ่นหลังของพวกเขาออกไปครู่หนึ่ง หน้าของแม่เหมยขบคิดอะไรบางอย่าง ไม่มีใครเข้าใจลูกไปกว่าคนเป็นแม่แล้ว ลูกชายน่าจะมีใจให้กับเด็กน้อยเมื่อสักครู่สินะ?
เด็กน้อยหน้าตาสวย จิตใจก็ดี เธอชอบมากเช่นกัน แต่เด็กน้อยคนนี้อายุยังน้อยเกินไปนะ!
แม่เหมยพูดอย่างนิ่มนวลว่า “ซูหาน ตอนนี้ลูกยังเด็กนัก เรื่องบางเรื่องพวกเราค่อยคิดวันหน้าจะดีกว่านะ!”
เหมยซูหานยิ้มให้เธออย่างซุกซน จงใจถามขึ้นว่า “แม่ แม่ว่าเหมยเหมยเป็นอย่างไรบ้าง?”
“แน่นอนว่าเหมยเหมยต้องดีอยู่แล้ว แค่มองแม่ก็ชอบเธอแล้วล่ะ แต่เธอยังเด็กอยู่เลย!” แม่เหมยเตือนสติอีกครั้ง อยากให้ลูกชายมีสติขึ้นมาบ้าง
แต่เหมยซูหานกลับทำเหมือนหูทวนลม พูดเองเออเองว่า “แม่ชอบก็ดีแล้ว ลูกแม่จะต้องพาลูกสะใภ้เข้าบ้านแทนแม่แน่นอน แม่รอแล้วกัน!”
แม่เหมยอดไม่ไหวออกแรงตีเหมยซูหานไปหลายที เพื่อทำลายฝันกลางวันของเขาทิ้งเสีย ทั้งโมโหทั้งขำในเวลาเดียวกัน พูดตำหนิขึ้นว่า “ลูกเพิ่งอายุเท่าไรเองก็คิดจะแต่งงานแล้วเหรอ? รีบกินให้เสร็จแล้วกลับไปทำการบ้าน เรื่องอื่นรอแกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อนค่อยว่ากัน!”
…………………………………………..
ตอนที่ 406 ได้รับการปลอบใจ
อู่เจิ้งซือทานอาหารเช้าเสร็จก็พาอู่เยวี่ยไปเยี่ยมเยียนจิตแพทย์ชื่อดังคนนั้น เพราะอู่เยวี่ยคัดค้านต่อการไปโรงพยาบาล จิตแพทย์คนนั้นจึงให้อู่เจิ้งซือไปที่บ้านเขา ถือเป็นเพียงการเยี่ยมเยียนเพื่อนธรรมดาคนหนึ่งแล้วกัน
อู่เยวี่ยทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูมาตลอดทาง เพียงแต่กลิ่นตัวของเธอลอยเตะจมูกอยู่บ้าง ตอนที่มีคนเดินผ่านตัวเธอบนถนนต่างก็ยกมือขึ้นปิดจมูก แสดงสายตารังเกียจออกมา ทำให้อารมณ์ของอู่เยวี่ยยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นเรื่อยๆ
อู่เจิ้งซือถอนหายใจอย่างจนปัญญา หวังเพียงว่าหมอที่เพื่อนเก่าแนะนำมาจะสามารถรักษาลูกสาวคนโตให้หายได้ อู่เยวี่ยในตอนนี้ทำให้เขากลุ้มใจเสียยิ่งกว่าอู่เหมยเมื่อก่อนเสียอีก
จิตแพทย์คนนี้อายุประมาณสี่สิบกว่าปี แซ่โจวเป็นผู้ชายสุภาพอ่อนโยน ทำให้คนเกิดความรู้สึกดีขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งสายตาของเขาไม่แสดงออกถึงความรังเกียจหรือสะอิดสะเอียนเหมือนคนอื่นๆ เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ อู่เยวี่ยก็ทลายกำแพงในใจลง แล้วปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า
ระดับความสามารถเฉพาะทางของคุณหมอโจวนั้นยอดเยี่ยมมาก เขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในบ้านกับอู่เจิ้งซือ เหมือนเพื่อนธรรมดาทั่วไปจริงๆ และยังมักจะถามคำถามบางอย่างกับอู่เยวี่ย อู่เยวี่ยก็ตอบกลับอย่างว่าง่าย ไม่ปิดบังซ่อนเร้นใดทั้งสิ้น
ยิ่งได้พูดคุยมากเท่าไหร่คุณหมอโจวก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ ดูแล้วอู่เยวี่ยเป็นปกติดี แนวคิดชัดเจน การจัดการความเป็นระเบียบชัดแจ้ง ทัศนคติในการพูดคุยดี อีกทั้งเด็กคนนี้มีความมั่นใจในตนเองสูงมาก จากจุดนี้เองจึงทำให้คุณหมอโจวรู้สึกแปลกใจที่สุด
โดยทั่วไปคนที่มีปมด้อยในใจมักจะขาดความมั่นใจในตนเอง และเป็นเพราะขาดความมั่นใจจึงทำให้พวกเขาเกิดความกังวล หวาดกลัวกับอนาคต แต่สิ่งที่อู่เยวี่ยหวาดกลัวกลับไม่ใช่การขาดความมั่นใจที่มีมาแต่เดิมแต่เป็นเพราะกลิ่นตัวต่างหาก
ตอนที่อู่เยวี่ยเดินเข้าห้องมา เขาได้กลิ่นไม่ค่อยพึงประสงค์เท่าไรโชยเข้ามาเตะจมูก อันที่จริงนับว่าเป็นกลิ่นที่รับไม่ได้เลยจริงๆ
จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ หากในใจมีความวิตกกังวลเกินไปก็สามารถปรากฎออกมาในรูปแบบของกลิ่นตัวที่รุนแรงได้เช่นกัน แต่อู่เยวี่ยเธอก็ไม่ถึงระดับนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นนั้น จุดนี้แหละเป็นจุดที่ทำให้คุณหมอโจวรู้สึกแปลกใจที่สุด
อู่เยวี่ยทำให้คุณหมอโจวเกิดข้อข้องใจอยากรู้อยากเห็น จนตัดสินใจทำการวิจัยศึกษาค้นคว้าโดยเอาอู่เยวี่ยเป็นกรณีศึกษา ไม่แน่ว่าศักยภาพความชำนาญที่ชะงักอยู่อาจจะสามารถเติบโตก้าวหน้าเพราะเหตุผลนี้ก็เป็นได้!
คุณหมอโจวพูดคุยกับอู่เจิ้งซือเป็นการส่วนตัวอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้พูดความจริงออกไป เพียงพูดแค่ว่าสถานการณ์ของอู่เยวี่ยไม่ค่อยร้ายแรง ขอเพียงผู้ปกครองไม่กดดันเธอจนเกินไปก็พอแล้ว อู่เจิ้งซือถึงได้สบายใจ พาอู่เยวี่ยกล่าวลาแล้วกลับบ้าน
สภาพของอู่เยวี่ยก็ถือว่าไม่เลว เธอชอบที่จะพูดคุยกับคุณหมอโจว เพราะทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ เพียงชั่วครู่ก็รู้สึกจิตใจแจ่มใสขึ้นมา
อู่เหมยแยกกับเหยียนหมิงซุ่น เดินทางกลับบ้านอย่างร่าเริง วันนี้เก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย รายได้เข้ามาเรียบร้อย ทั้งยังฉิวฉิวยังเก่งขึ้นกว่าเดิม อู่เหมยคิดๆ แล้วก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา
พวกอู่เจิ้งซือกำลังกินข้าวอยู่ ดูท่าคงใกล้กินเสร็จแล้ว แค่อู่เหมยเปิดประตูเข้ามาก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของอู่เยวี่ย สภาพไม่ห่อเหี่ยวเหมือนตอนเช้าอีกแล้ว กลับมีท่าทีเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง อู่เหมยจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทำไมในช่วงเวลาอันสั้น อู่เยวี่ยถึงเปลี่ยนกลับไปเป็นคนละคนได้ล่ะ?
อู่เหมยนึกถึงคุณลุงคนนั้นที่อู่เจิ้งซือพูดถึงเมื่อเช้าขึ้นได้ ตอนสายไปเยี่ยมเยียนคุณลุงลึกลับคนนั้น หลังจากนั้นอู่เยวี่ยก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ตกลงแล้วคุณลุงคนนี้วิเศษวิโสมาจากไหนกันนะ?
“พ่อคะ คุณลุงที่วันนี้พ่อพาพี่สาวไปเยี่ยมคือใครกันเหรอคะ? หนูเคยเจอไหม?” อู่เหมยแสร้งถามขึ้นอย่างไม่สนใจ
เหอปี้อวิ๋นหูผึ่ง เธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าอู่เจิ้งซือพาอู่เยวี่ยไปเจอใครมา ตอนนี้ตั้งแต่เช้าจรดเย็นอู่เจิ้งซือแทบไม่พูดคุยอะไรกับเธอเลย ตกกลางคืนคนหนึ่งอยู่บนเตียง อีกคนอยู่ที่พื้น ต่อให้พูดว่าเป็นสามีภรรยากัน แต่ความจริงยังห่างเหินยิ่งกว่าคนแปลกเสียด้วยซ้ำ
…………………………………………..