ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 417 เจ็บ + ตอนที่ 418 ยืนหยัดจนถึงที่สุด
ตอนที่ 417 เจ็บ
อาจารย์และนักเรียนด้านล่างเวทีต่างก็มองอย่างหลงใหลประหนึ่งคนเมา ดนตรีที่เลิศล้ำบวกกับการเต้นรำที่สง่างามและมีชีวิตชีวา ทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาได้เจอสิ่งแปลกใหม่ ผู้คนที่กำลังพูดคุยกันก็เงียบลง ตั้งใจชื่นชมเพลิดเพลินกับการแสดง
“ดีดกู่เจิงได้ดี ขลุ่ยก็เป่าได้ดี การเต้นรำยิ่งดี การแสดงนี้ไม่เลว ค่อนข้างดีเยี่ยม อาจารย์ใหญ่หยวน โรงเรียนของพวกคุณช่างมีแต่คนที่มีพรสวรรค์มีความสามารถเข้ามาเยอะแยะไม่ขาดสายเลยจริงๆ!”
เหยียนโฮ่วเต๋อชื่นชมไม่หยุด เขาจำพวกอู่เหมยไม่ได้ รู้สึกจากใจจริง ๆ ว่าการแสดงนี้ดี ดีกว่าพวกกลุ่มการแสดงร้องหมู่ก่อนหน้านี้ตั้งเยอะ การแสดงนี้มีแนวความคิดใหม่ ผู้นำที่อยู่เบื้องบนจะต้องชอบแน่ๆ
อาจารย์ใหญ่หยวนหัวเราะอย่างลำพองใจ ชี้ไปทางที่นั่งแขกผู้มีเกียรติด้านหน้าที่มีคุณปู่อู่และคุณปู่สยงพูดว่า “เด็กที่เต้นอยู่คือหลานสาวของผู้เฒ่าอู่แห่งจินต้า พ่อของเธออธิบดีเหยียนก็รู้จัก ก็คืออาจารย์อู่ที่ได้ตำแหน่งอาจารย์แบบอย่างติดกันเจ็ดปีไงล่ะ”
เหยียนโฮ่วเต๋อหันไปมองบนเวทีอีกครั้ง เริ่มคุ้นๆ จำอู่เหมยได้ขึ้นมาบ้างแล้ว พูดยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นลูกสาวของอาจารย์อู่ เสือไม่ออกลูกสาวเป็นสุนัขจริงๆ เอ๊ะ ผมจำได้ว่าอาจารย์อู่ยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคนก็มีความสามารถยอดเยี่ยม เพิ่งจะได้ที่สองจากการวาดภาพประจำเมืองไป!
“ก็คือเด็กคนนี้แหละ เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของอาจารย์อู่ ชื่ออู่เหมย มีพรสวรรค์ทั้งด้านศิลปะและดนตรี” ใบหน้าของอาจารย์ใหญ่หยวนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เอ่ยชื่นชมอู่เหมยเสียจนตัวลอย
เหยียนโฮ่วเต๋อมองอู่เหมยที่หมุนไม่หยุดอยู่บนเวทีอย่างชื่นชม เขาชอบเด็กที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครแบบนี้นี่แหละ เป็นหน้าเป็นตาให้กับผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างมาก!
“ยังมีเด็กอ้วนน้อยที่เป่าขลุ่ยนั่น เป็นลูกชายของพี่ชายคนโตของอาจารย์อู่ อายุยังน้อยก็สามารถเติมคำเข้าไปในกลอนได้ การเขียนรายงานนั้นแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังสู้ไม่ได้ ส่วนเด็กคนที่ดีดกู่เจิงนั้นเป็นหลานชายของคุณสยงอดีตหัวหน้าคณะระบำขององค์กรพวกเรา ชื่อสยงมู่มู่ ไม่เพียงแต่มีความสามารถทางด้านศิลปะด้านดนตรีสองอย่างนี้ คะแนนการเรียนก็ดียอดเยี่ยม อายุแค่สิบสองก็ข้ามชั้นไปมัธยมต้นแล้ว”
อาจารย์ใหญ่หยวนพูดจนหน้าบานเป็นกระด้ง ท่าทางภูมิใจและลำพองใจเป็นอย่างมาก อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่า โรงเรียนของเขาช่างมีแต่คนมีพรสวรรค์จริงๆ!
เหยียนโฮ่วเต๋อเคยได้ยินชื่อเสียงของสยงมู่มู่อยู่บ้าง ทำงานอยู่ในวงการข้าราชการสำคัญที่สุดก็คือการเข้าได้กับทุกฝ่าย ข่าวสารฉับไว บ้านฝั่งแม่ของสยงมู่มู่เด็กคนนี้ไม่ใช่ตระกูลธรรมดา นี่ถึงจะเป็นเหตุผลสำคัญที่เขาให้ความสนใจกับสยงมู่มู่
“ใช่แล้ว อธิบดีเหยียนยังไม่รู้ใช่หรือไม่? อาจารย์อู่และอาจารย์จ้าวดองเป็นญาติกันแล้ว อู่เหมยเป็นลูกบุญธรรมของจ้าวอิงหนาน เจิ้งซือรับเป็นญาติแล้ว”
อาจารย์ใหญ่หยวนพูดเสียงเบาที่ข้างหูของเหยียนโฮ่วเต๋อ พวกผู้นำที่มากันในวันนี้ตำแหน่งของเหยียนโฮ่วเต๋อนั้นใหญ่ที่สุด แน่นอนว่าเขาจะต้องปรนนิบัติรับใช้อย่างเต็มที่!
เหยียนโฮ่วเต๋อยิ้มเบาๆ พูดว่า “เรื่องนี้ผมรู้ ไม่มีอะไรที่อาจารย์ใหญ่หยวนสนใจแล้วไม่รู้จริงๆ แต่การดองญาติครั้งนี้คนกลางคือพ่อของผมเอง”
อาจารย์ใหญ่หยวนชะงักงันก่อนที่ต่อมาก็หัวเราะเสียงดัง “เป็นผมที่โง่เขลาไม่มีความรู้แล้ว ฮ่าๆ!”
เวลานี้อู่เหมยกลับรู้สึกไม่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว เพิ่งเต้นได้ไม่นาน เท้าขวาของเธอก็เจ็บแปลบๆ ยิ่งเต้นนานเท่าไรเท้าก็ยิ่งเจ็บ เธอรู้เลยว่าตะปูที่อยู่ในรองเท้าจะต้องเทออกไปไม่หมดแน่ๆ
ตะปูอันนั้นบังเอิญทิ่มอยู่ที่ฝ่าเท้าก่อนหน้านั้น ทุกครั้งที่เธอลงน้ำหนักที่เท้าเพื่อเต้นท่าหมุนตัว ก็เจ็บเหมือนกับใจโดนแทงยังไงอย่างนั้น อยากที่จะล้มลงไปที่พื้น ละทิ้งการแสดงในครั้งนี้ไป
แต่เธอไม่ยอม เตรียมตัวอย่างลำบากยากเย็นมาเนิ่นนานขนาดนี้ แล้วตอนนี้ก็จะล้มเหลวเพราะขาดความพยายามครั้งสุดท้าย เธอจะทำตัวกับอาจารย์เฮ่อยังไง?
ยังมีสยงมู่มู่และอู่เชา พวกเขาจะต้องผิดหวังเป็นอย่างมากแน่ๆ เธอจะต้องอดทนยืนหยัดต่อไป เจ็บแค่นี้สู้ความเจ็บปวดที่ตกลงมาจากชั้นสามสิบสามไม่ได้หรอก นับประสากับความเจ็บแค่นี้?
เธอจะต้องยืนหยัดต่อไป!
อู่เหมยกัดฟันเต้นต่อไป ความเจ็บทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยน หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ โชคดีที่เวทีอยู่ไกล คนที่อยู่ด้านล่างเวทีจะมองไม่ออก แต่พวกสยงมู่มู่กลับเห็นได้อย่างชัดเจน
…………………………………………..
ตอนที่ 418 ยืนหยัดจนถึงที่สุด
สยงมู่มู่และอู่เชาต่างก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของอู่เหมย แต่ตอนนี้ต่างคนต่างมีเรื่องต้องทำ การแสดงเริ่มไปแล้วเรียบร้อย ต่อให้ขาหักก็ต้องทำการแสดงให้จบ นี้เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของนักแสดง
พวกจ้าวอิงหนานที่นั่งอยู่แถวหน้าก็มองเห็นเหมือนกันว่ามีบางอย่างผิดปกติ จ้าวอิงหนานสะกิดพ่อสยง พูดอย่างกังวลว่า “เหมยเหมยเธอเป็นอะไร? หรือว่าเธอปวดท้อง?”
สายตาของพ่อสยงนั้นดีเป็นอย่างมาก ในชีวิตประจำวันก็ไม่ต้องใส่แว่นตา เขาหรี่สายตาสองข้างมองไปบนเวที แต่ก็มองไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้แต่ส่ายหัวอย่างงุนงง
จ้าวอิงหนานมองค้อนสามีที่ไม่เอาไหน พ่อแม่สามีต่างก็เป็นคนแก่สายตาไม่ดี ยิ่งไม่ต้องหวัง เธอมองหน้าของอู่เหมยที่ยิ่งนานยิ่งซีดขาว เหงื่อที่หน้าผากยิ่งนานก็ยิ่งเยอะ เห็นได้ชัดว่าร่างกายมีสภาพที่ไม่สบายเป็นอย่างมาก
“สามีคุณว่าเราจะทำยังไงถึงจะดี? หรือจะไม่ให้เหมยเหมยเต้นแล้ว!”
จ้าวอิงหนานพูดเสร็จก็คิดจะขึ้นไปบนเวที พ่อสยงรีบดึงเธอเอาไว้ พูดปลอบใจเสียงเบาว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน ในเมื่อเหมยเหมยเธอเลือกที่จะอดทนยืนหยัดต่อไปแล้ว พวกเราก็ควรจะต้องให้การสนับสนุนลูกสิ คุณวิ่งขึ้นไปแบบนี้ ไม่แน่ว่าลูกอาจจะโทษคุณก็เป็นได้นะ!”
คุณปู่สยงก็พูดปลอบใจเสียงเบา เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้อาวุโสแห่งศิลปะการขับร้องพื้นบ้านของจีนในจินซื่อ ให้ความสำคัญกับความรู้ความสามารถของนักแสดงเป็นอย่างมาก เขาเห็นด้วยกับการที่อู่เหมยแม้ร่างกายไม่สบายแต่กลับยังยืนหยัดอดทนเพื่อแสดงให้จบเป็นอย่างมาก
“เพียงแค่ขึ้นเวทีไป คุณก็จะเป็นนักแสดงคนหนึ่ง หน้าที่พื้นฐานที่นักแสดงจะต้องรับผิดชอบก็คือการมอบการแสดงที่งดงามให้กับผู้ชม ไม่สนว่าคุณจะเป็นไข้สูงหรือว่าแขนหักขาหัก อยู่บนเวทีก็ห้ามแสดงท่าทีใดออกมา ไม่อย่างนั้นจะเป็นการดูหมิ่นนักแสดง”
คุณปู่สยงพูดชี้แนะและสอนอย่างจริงใจ ครอบครัวของคนแก่อย่างเขาขยันขันแข็งและทุ่มเทมาตลอดชีวิต แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยให้สุขภาพร่างกายที่ไม่ดีมาส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการแสดง สามารถพูดได้ว่ามีความมุ่งมั่นและความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
จ้าวอิงหนานเข้าใจถึงเหตุผลดี เธอก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็สงบลงมามาก ภายใต้การพูดปลอบใจของพ่อสยงและพ่อแม่สามี จึงได้แต่ระงับความกังวลใจเอาไว้ นั่งมองอู่เหมยเต้นอย่างไม่สงบ
เวลาในการแสดงของพวกอู่เหมยรวมทั้งหมดแล้วก็หกถึงเจ็ดนาที แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนผ่านไปแล้วหกเจ็ดปียังไงอย่างนั้น เจ็บจนชาไปหมด ชุดเต้นก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ หัวเริ่มทื่อไปหมด ภาพตรงหน้าก็เริ่มพร่ามัว ตอนนี้เธอเต้นโดยอาศัยสัญชาตญาณขับเคลื่อน เหมือนกำลังฝันละเมออยู่ก็ไม่ปาน
ในที่สุด ——
เพลงถึงท่อนสุดท้ายแล้ว อู่เหมยหมุนอย่างรวดเร็ว ปลายเสื้อโดนเธอหมุนราวกับริบบิ้น สวยงามเป็นอย่างมาก
เสียงปรบมือของผู้ชมด้านล่างดังขึ้นมาราวกับฟ้าผ่าฟ้าร้อง อู่เหมยมีกำลังใจขึ้นมา ผู้ชมฮึกเหิมกันขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะการแสดงของพวกเขาใช่ไหม?
ก็พิสูจน์ได้ว่าเธอไม่ได้เต้นแย่ ไม่ได้ทำผิดต่อการลงแรงลงใจของเฮ่อเหวินจิ้งและพวกสยงมู่มู่อู่เชา!
ในตอนท้ายของเพลง ความเร็วในการหมุนของอู่เหมยก็ค่อยๆ ชะลอตัวลง และในที่สุดก็ฟุบลงกับพื้น ม่านบนเวทีก็ดึงลงมาช้าๆ อู่เหมยถึงได้ผ่อนลมหายใจ พร้อมกับดวงตาที่ค่อยมืดลงหมดสติไป
สยงมู่มู่และอู่เชาวิ่งเข้ามาหา ถามอย่างร้อนใจว่า “เหมยเหมยเธอเป็นอะไร?”
เพียงแต่อู่เหมยไม่ได้ตอบกลับพวกเขา ยังฟุบอยู่ที่พื้นไม่ขยับ อาจารย์อู๋อาจารย์ประจำชั้นสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ รีบวิ่งเข้ามา
”ไอหยา เป็นลมไปแล้ว”
อาจารย์อู๋ร้อนใจจนใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอและอาจารย์ประจำชั้นของสยงมู่มู่ช่วยกันอุ้มเธอไปด้านหลังเวที ครอบครัวจ้าวอิงหนานก็วิ่งเข้ามาแล้วเหมือนกัน พอเห็นหน้าของอู่เหมยที่ซีดขาว มีท่าทางไม่ได้สติ ก็ร้อนใจจนตาแดงไปหมด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เสียงตะโกนของจ้าวอิงหนานทำให้อาจารย์อู๋สะดุ้งตกใจ ในใจก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก กำลังคิดจะเปิดปากอธิบาย เจียงซินเหมยก็ร้องอย่างตกในว่า “ไอหยา รองเท้าของเหมยเหมยแดงไปหมดแล้ว!”
…………………………………………..