ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 425 หนุ่มน้อยบนต้นไม้ + ตอนที่ 426 ปีนกำแพง
ตอนที่ 425 หนุ่มน้อยบนต้นไม้
จ้าวอิงหนานสงสารชีวิตอันขมขื่นที่อู่เหมยต้องพบเจอ และยิ่งรังเกียจอู่เยวี่ยมากขึ้น จึงด่าทอออกมาว่า “เมื่อก่อนยังคิดว่าเป็นแค่หญิงสาวที่เสแสร้งจอมปลอม จิตใจเอาแต่คิดเรื่องไม่ดีบ้าง ไหนเลยจะคิดว่าอู่เยวี่ยจะอำมหิตได้เช่นนี้ คนแบบนี้วันหลังโตขึ้นไปจะเลยเถิดไปถึงไหนกัน?”
พ่อสยงเองก็ยังตกตะลึงอยู่ ขนาดเขาอยู่มามากกว่าสี่สิบปี นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นเด็กผู้หญิงอายุสิบสี่สามารถทำร้ายคนได้หน้าตาเฉย อีกทั้งคนที่ทำร้ายก็คือน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองอีก ร้ายยิ่งกว่านางในแห่งวังหลวงเสียอีก!
“พ่อแม่ เรื่องนี้ไม่น่าให้จบไปง่ายๆ แบบนี้ ผมจะลงไปเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของอู่เยวี่ย” สยงมู่มู่กัดฟันกรอด พูดเสร็จก็ทำท่าจะลงไป
จ้าวอิงหนานดึงลูกชายเอาไว้ “ลูกลงไปจะมีประโยชน์อะไร? ลูกมีหลักฐานหรอ? ตอนนี้ทั้งหมดมีแต่ความสงสัยของพวกเราเท่านั้น ลูกไม่มีพยานไม่มีหลักฐานจะทำให้คนเชื่อลูกได้ยังไงกัน?”
“ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงดี? หรือว่าจะให้อู่เยวี่ยลอยหน้าลอยตาลอยนวลอยู่แบบนี้?” สยงมู่มู่พูดอย่างร้อนใจ
แน่นอนว่าจ้าวอิงหนานก็ไม่อยากจะปล่อยอู่เยวี่ยไปง่ายๆ แต่เด็กผู้หญิงคนนี้วางแผนไว้ระวังมากๆ ไม่มีเหลือร่องรอยหรือเบาะแสไว้แม้แต่นิดเดียว ดูอาจารย์อู๋สิยังไม่สามารถสืบหาอะไรออกมาได้เลย
“พวกเรารอก่อน ดูว่าทางโรงเรียนทางนั้นจะสามารถสืบหาอะไรออกมาได้บ้าง ไม่แน่อาจจะมีคนเห็นก็ได้!” พ่อสยงพูดปลอบใจ
จ้าวอิงหนานและพ่อสยงทำได้แค่เพียงสงบสติอารมณ์โมโหอย่างรุนแรงไว้ก่อน รอการสืบสวนตรวจสอบจากทางโรงเรียน ถ้าไม่ได้จริงๆ ค่อยคิดหาทางใหม่
เหยีนโฮ่วเต๋อกลับบ้านมาตอนเย็น มีแค่เขาคนเดียวที่กลับมา ถานซูฟางต้องอยู่เวรตอนดึก เขากลับมากินข้าวแล้วก็พูดคุยปรึกษาเรื่องสำคัญกับพ่อ
เหยียนหมิงซุ่นเห็นเหยียนโฮ่วเต๋อและคุณตาเหยียนเข้าไปในห้องหนังสือ แววตาครุ่นคิด เขาจึงพุ่งตัวมาอยู่ใต้หน้าต่างหลังห้องสมุดของคุณตาเหยียนอย่างรวดเร็ว ตรงนั้นเป็นหลังสวนดอกไม้ ไม่มีใครสนใจเท่าไร เขาแอบฟังพ่อพูดคุยเรื่องต่างๆ กับคุณตาเป็นประจำ เรื่องอื่นๆ ก็แอบฟังแบบนี้แหละ
ด้วยข่าวสารของเหยียนโฮ่วเต๋อที่ฉับไว รู้เรื่องส่วนใหญ่ที่คนปกติธรรมดาเขาไม่รู้กัน
เหยียนหมิงซุ่นประสาทหูตาว่องไว เหยียนโฮ่วเต๋อและคุณตาเหยียนถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ดัง แต่เขาก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน ว่าปีหน้าจินซื่อจะเปลี่ยนผู้นำ ที่ทำให้เขาสนใจก็คือ คาดไม่ถึงว่าพี่น้องของจ้าวอิงหนานจะมาเป็นผู้นำของจินซื่อ!
ดูแล้วพ่อสยงคงอยู่ที่อีจงอีกไม่นานแล้วล่ะสิ!
เดิมเหยียนหมิงซุ่นกำลังจะไปแล้ว แต่กลับได้ยินชื่อที่ทำให้ใจสั่นขึ้นมา จึงชะงักลงอีกครั้ง สีหน้าท่าทางจริงจัง คิ้วขมวดแน่น
เด็กซื่อบื่อคนนั้นได้รับบาดเจ็บ?
ช่างซื่อบื่อจริงๆ แค่เต้นก็ยังทำให้ตัวเองข้อเท้าเคล็ดได้!
อู่เหมยกินข้าวเสร็จกำลังจะกลับห้องไปนอน ฝ่าเท้าระบมไปหมด เลยนอนไม่หลับ จะอ่านหนังสือก็ไม่เข้าหัว ฉิวฉิวก็ไม่อยู่ ในตอนนั้นอู่เหมยก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย
เวลานี้เธอหวังเป็นอย่างมากว่าจะมีคนคอยอยู่ข้างๆ เธอ คอยพูดคุยกัน แม้ว่าจะทะเลาะกันก็ได้ สยงมู่มู่เธอก็ไม่รังเกียจ แต่ตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว
อู่เหมยถอนหายใจอีกครั้ง หยิบกระดาษเซวียนจื่อออกมาหนึ่งแผ่นเตรียมวาดรูป ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนก็มีความสุขกับตัวเองแล้วกัน!
“แกร๊กๆ”
มีเสียงดังขึ้นมาจากทางหน้าต่าง เสียงเหมือนมีก้อนหินกระทบกับหน้าต่าง อู่เหมยอดดีใจไม่ได้ นึกว่าฉิวฉิวกลับมาแล้ว รีบกระโดดเอื้อมตัวไปเปิดหน้าต่าง กลับไม่พบอะไร แม้แต่เงาของฉิวฉิวก็ไม่มี
มีก้อนหินอีกก้อนปาเข้ามา บังเอิญหล่นอยู่ขอบหน้าต่าง อู่เหมยมองตามทิศทางของก้อนหินไป ก็เห็นต้นการบูรต้นใหญ่ข้างๆ หน้าต่างมีหนุ่มรูปงามนั่งอยู่บนกิ่งไม้โผล่ออกมากะทันหัน หันมายิ้มน้อยๆ ให้เธอ
“เฮ้ย พี่หมิงซุ่น!”
อู่เหมยเรียกอย่างดีใจ พลันเกิดความกังวลขึ้นมา ด้วยกลัวเหยียนหมิงซุ่นจะตกลงไปจากต้นไม้ โบกไม้โบกมือไม่หยุด บอกให้เหยียนหมิงซุ่นรีบลงจากต้นไม้
ต้นการบูรต้นใหญ่ต้นนี้สูงราวกับตึกสามสี่ชั้นเลยนะ หากตกลงไปคงไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน!
………………………………………….
ตอนที่ 426 ปีนกำแพง
เหยียนหมิงซุ่นกลับทำตัวเหมือนปกติ ดูสบายผ่อนคลายมากกว่าตอนอยู่บนพื้น เขาหันมายิ้มให้อู่เหมย ริมฝีปากขยับ พูดออกมาประโยคหนึ่งแบบไม่มีเสียง แต่อู่เหมยฟังเข้าใจว่า
“ยังเจ็บอยู่ไหม?”
อยู่ดีๆ ขอบตาร้อนผ่าว กำลังอยู่ในภาวะที่ได้รับความไม่เป็นธรรม เหยียนหมิงซุ่นถามแบบนี้คง ไม่ใช่ว่าแหย่ให้เธอร้องไห้หรอกนะ!
อู่เหมยพยักหน้าอย่างแรง เปลี่ยนการสงวนท่าทีก่อนหน้านั้น จู่ๆ ก็คิดอยากจะระบายความกลัดกลุ้มความน้อยเนื้อต่ำใจของตัวเองต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่น มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างน่าสงสาร ขอบตาแดงเหมือนกระต่ายก็ไม่ปาน
ใจของเหยียนหมิงซุ่นก็เริ่มรู้สึกลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง ดูท่าเด็กน้อยซื่อบื่อคนนี้คงจะเจ็บไม่เบา เขาก็แทบนั่งไม่ติดที่ แกว่งเท้าไปมาและเตรียมตัวกระโดดเข้าไป ทำเอาอู่เหมยตกใจยกใหญ่ ต้นการบูรห่างจากห้องของเธออย่างต่ำก็เมตรสองเมตรได้ ถ้าหากว่าตกลงไปล่ะก็บอกเลยว่าไม่ตลก
อู่เหมยไม่กล้าเรียกออกเสียง กลัวว่าอู่เจิ้งซือที่อยู่ห้องรับแขกจะได้ยิน ทำได้แค่เพียงโบกไม้โบกมือ บอกให้เหยียนหมิงซุ่นอย่ากระโดด
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มอย่างซุกซน ขยับตัวกระโดดเบาๆ ก็เหมือนกับลิงก็ไม่ปาน กระโดดมาบนท่อน้ำอย่างคล่องแคล่ว แม้กระทั่งเสียงนิดเดียวก็ไม่มี ดูผ่อนคลายสบายกว่าสไปเดอร์แมนเสียอีก
อู่เหมยปิดปากแน่น เห็นเหยียนหมิงซุ่นมั่นคงแล้วถึงได้วางใจลงมา ปล่อยมือลง ถอนใจออกมายาวๆ
อากาศยิ่งนานก็ยิ่งเย็น หลังสนามเด็กเล่นมีคนเดินเล่นอยู่ไม่มากแล้ว อีกทั้งห้องของอู่เหมยก็ห่างกับไฟบนถนนไกลอยู่ แถมยังมีต้นการบูรบังอีก แสงเลยมืดมาก ไม่มีทางที่จะมีคนพบว่าบนท่อน้ำมีคนอยู่
เหยียนหมิงซุ่นผ่อนลมหายใจ ค่อยๆ ขยับตัวลงไป ไม่นานก็มาถึงข้างหน้าต่างห้องอู่เหมย ก้าวขายาวๆ ก้าวเข้ามาอย่างสบาย ภายใต้ความตกตะลึงตาค้างพูดอะไรไม่ออกของอู่เหมย เขากระโดดลงบนพื้น หันมายิ้งให้เธอเบาๆ
“เท้าข้างไหนที่พลิก? พี่ดูหน่อย” เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงเบา
อู่เหมยกระพริบตาปริบๆ ส่ายหัวพร้อมบอกว่า “ฉันไม่ได้ข้อเท้าพลิก โดนตะปูแทงต่างหาก”
เหยียนหมิงซุ่นเปลี่ยนสีหน้า ขมวดคิ้วแน่น ก้มลงไปมองขาข้างซ้ายของอู่เหมย เพราะว่าพันผ้าพันแผลเอาไว้หนามาก แม้กระทั่งถุงเท้าก็ไม่ได้ใส่ แค่มองก็รู้แล้ว
จัดการแบบนี้แสดงว่าเป็นแผลภายนอกที่ได้รับบาดเจ็บ ข้อเท้าพลิกไม่ต้องพันผ้าพันแผลหนาๆ แบบนี้ เรื่องแค่นี้ทำไมเหยียนโฮ่วเต๋อถึงได้ข้อมูลมาผิด มิน่าล่ะหลายปีที่ผ่านมานี้ ยังเป็นแค่เพียงรองอธิบดี ไม่มีความก้าวหน้าเลย
“ทำไมถึงได้โดนตะปูแทงได้? เธอไม่ได้เข้าร่วมการแสดงของทางโรงเรียนหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
เต้นอยู่ดีๆ ทำไมถึงได้ไปเหยียบตะปูได้?
ขอบตาของอู่เหมยแดงอีกครั้ง จมูกแสบร้อน เธอสูดจมูก เบะปากพูดว่า “มีคนตั้งใจโปรยตะปูลงไปในรองเท้าของฉัน ฉันเทออกไม่หมด ยังมีเหลืออีกอันที่ไม่ได้พบ ผลลัพธ์ก็คือโดนแทงตอนที่เต้นอยู่”
เหยียนหมิงซุ่นยิ่งขมวดคิ้วแน่น ความโมโหสุดจะบรรยายได้พุ่งขึ้นมาในใจ ถามเสียงต่ำว่า “เธอเต้นจนจบ?”
อู่เหมยสูดจมูกอีกครั้ง พยักหน้า
“เธอเป็นคนโง่หรือยังไง? เท้าโดนตะปูตำแล้วยังจะเต้นต่อ? ดูสิว่าเธอทำร้ายเท้าจนแผลเหวอะหวะไปถึงไหนแล้ว?” เหยียนหมิงซุ่นยกเท้าซ้ายที่พันเหมือนมัมมี่ก็ไม่ปานขึ้นมา จิ้มแผลลงไปอย่างไม่เกรงใจ อู่เหมยเจ็บจนน้ำตาไหลพรากลงมา จ้องเขม็งคนร้ายด้วยสายตาตำหนิ
“รู้จักเจ็บแล้ว? ตอนที่เต้นอยู่ทำไมไม่รู้จักเจ็บ?”
เหยียนหมิงซุ่นก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้โมโหขนาดนี้ โมโหที่อู่เหมยที่ไม่รู้จักถนอมร่างกายตัวเอง ยิ่งโมโหคนร้ายที่วางตะปูคนนั้น แล้วก็โมโหตัวเองด้วย
สรุปแล้ว เขาก็แค่โมโหสุดขีด อันที่จริงเขาเองก็รู้แหละ ว่าเพราะเขารักและปวดใจ!
เพียงแต่ว่าเขาไม่ยอมรับก็เท่านั้นเอง!
………………………………………….