ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 433 ได้ความสะเทือนใจมาก + ตอนที่ 434 คนร้ายสืบหาออกมาได้แล้ว
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 433 ได้ความสะเทือนใจมาก + ตอนที่ 434 คนร้ายสืบหาออกมาได้แล้ว
ตอนที่ 433 ได้ความสะเทือนใจมาก
อู่เยวี่ยสีหน้าเปลี่ยน คำพูดของเหมยซูหานแทงเข้าบาดแผลอันเจ็บปวดของเธอ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองโดนถอดเสื้อผ้า เปลือยร่างกายล่อนจ้อนต่อหน้าคนที่ชอบ ละอายใจเป็นอย่างยิ่ง
”พี่ซูหาน ฉันไม่ได้มีปัญหา จิตของฉันปกติดี เป็นเพราะเหมยเหมยเอาออกไปพูดซี้ซั้วล่ะสิ!”
อู่เยวี่ยตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เธอนึกว่าเหมยซูหานว่าเธอเป็นโรคประสาท นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่ยินดีที่จะเผชิญหน้ามากที่สุด
เหมยซูหานขมวดคิ้ว ไม่พอใจกับน้ำเสียงที่อู่เยวี่ยใช้ตอนพูดถึงอู่เหมย อีกทั้งเขาไม่ได้หมายถึงปัญหาเรื่องโรคประสาทเลยสักนิด จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจว่า “เยวี่ยเยวี่ยเธอทำไมถึงพูดถึงเหมยเหมยแบบนี้? กลิ่นตัวของเธอเขารู้กันทั้งโรงเรียน เกี่ยวอะไรกับเหมยเหมย?”
อู่เยวี่ยใบหน้าซีดเผือด คำพูดประโยคนี้ของเหมยซูหาน ยิ่งทำให้อู่เยวี่ยคิดอยากจะมุดลงดินไปเสีย
เธอดมกลิ่นตัวของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ร้องเสียงหลงว่า “ไม่มี ฉันไม่มีกลิ่นตัว พวกเขาพูดไร้สาระ พี่ซูหานพี่อย่าไปเชื่อคนพวกนั้น!”
คิ้วของเหมยซูหานยิ่งขมวดแน่น อันที่จริงตอนแรกเขาไม่เชื่อคำพูดเรื่องที่อู่เยวี่ยเป็นโรคประสาท เขารู้จักอู่เยวี่ยมาสองปี เชื่อว่าตัวเองค่อนข้างจะเข้าใจอู่เยวี่ย เพราะเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเธอเป็นเด็กหญิงที่ร่าเริงมาก จิตจะไม่ปกติได้อย่างไรกัน?
แต่ตอนนี้พอได้เห็นท่าทางสูญเสียการควบคุมอย่างรุนแรงของอู่เยวี่ย เหมยซูหานก็เริ่มไม่แน่ใจแล้ว หรือว่าที่พวกคนข้างนอกพูดกันจะเป็นเรื่องจริง?
“เยวี่ยเยวี่ยอย่าเพิ่งใจร้อนไป สงบสติอารมณ์ลงก่อน!”
เหมยซูหานพูดโน้มน้าวเสียงเบา ไม่กล้าพูดอะไรให้สะเทือนใจอู่เยวี่ยอีก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจอู่เยวี่ย แต่ถึงอย่างไรแล้วก็เป็นลูกสาวของอาจารย์ อย่างน้อยก็ผ่านวันเวลาสองปีที่สวยงามมาด้วยกันอย่างมีความสุขและความสนิทสนมที่มีต่อกัน สำหรับอู่เยวี่ยแล้วเขาจึงยังไม่แข็งใจพอ
อู่เยวี่ยค่อยๆ สงบอารมณ์ เธอรู้สึกอายอยู่บ้าง ทำไมถึงได้ลืมตัวไม่ยั้งสติต่อหน้าเหมยซูหานได้นะ?
แต่ความรู้สึกที่มีมากกว่านั้นคือความอึดอัดใจ ด้านที่น่ารังเกียจที่สุดของเธอโดนเหมยซูหานเห็นไปแล้วเรียบร้อย แถมยังโดนเขาขุดออกมาอย่างไร้ความปราณี นี่เป็นสิ่งที่เธอทนไม่ได้ยิ่งกว่าสายตาแปลกๆ ของเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นเสียอีก
นึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจการไม่ได้รับความเป็นธรรมในช่วงนี้ น้ำตาของอู่เยวี่ยก็ไหลอย่างควบคุมไม่อยู่ เธอกัดปากอย่างแรง ไหล่ก็สั่นเทา แต่กลับไม่มีเสียงออกมา ทำให้คนยิ่งสงสารขึ้นไปอีก
เหมยซูหานมองแล้วก็ใจอ่อน รู้สึกว่าคำพูดที่เขาเพิ่งพูดไปนั้นไม่ควรพูดจริงๆ ความรู้สึกละอายใจทำให้เสียงของเขาอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว ปลอบใจอู่เยวี่ยเสียงเบา
ถึงแม้ว่าอู่เยวี่ยยังร้องไห้อยู่ แต่ในใจกลับลำพองใจ เธอรู้อยู่แล้วว่าเหมยซูหานทำกับตัวเองนั้นพิเศษไม่เหมือนใคร แต่ว่ายิ่งเธอคิดอย่างนี้ เธอก็ยิ่งร้องอย่างเสียใจ เพียงแต่ถึงตอนท้ายเป็นการออดอ้อนเสียส่วนใหญ่
“เยวี่ยเยวี่ยไม่ต้องร้องแล้ว รีบกินข้าวเหนียวปั้นเถอะ ถ้ายังไม่กินมันจะเย็นแล้วนะ” เหมยซูหานพูด
“อืม”
อู่เยวี่ยหยิบข้าวเหนียวปั้นกัดลงไปอย่างกระดากอาย ตาและปลายจมูกแดงไปหมด น่าสงสารไม่น้อย เหมยซูหานอ้าปากจะพูดอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร แล้วถอนหายใจอย่างไม่มีเสียง
“พี่หมิงซุ่น ข้าวเหนียวปั้นอร่อยจริงๆ”
อู่เยวี่ยฝืนใจชม อันที่จริงเธอไม่ค่อยชอบกินของหวานเลี่ยนๆ เท่าไร เธอชอบกินเค็มมากกว่า แม่เหมยใส่น้ำตาลลงไปในข้าวเหนียวปั้นไม่น้อย มันช่างหวานเหลือเกิน
เพราะว่าอู่เหมยชอบกินของหวาน ดังนั้นเหมยซูหานจึงตั้งใจบอกให้แม่เหมยใส่น้ำตาลลงไปในถั่วแดงนึ่งมากเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นมาตรฐานการใช้ชีวิตในตอนนี้ บ้านไหนจะกล้าตัดใจใส่น้ำตาลมากขนาดนี้ให้เปลืองล่ะ
เหมยซูหานยิ้ม “อร่อยก็กินเยอะๆ หน่อย พี่กลับก่อนแล้วกัน เยวี่ยเยวี่ยก็รีบพักผ่อนเถอะ”
เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ ต่อให้เหมยซูหานโง่แค่ไหนก็ดูออก อู่เยวี่ยไม่ได้มีปัญหาวิชาเลขอะไรที่ไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง เขารู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เดิมยังคิดจะพูดคุยกับอู่เหมยอยู่สักพักหนึ่ง แต่กลับโดนอู่เยวี่ยทำลายโอกาสนั้นทิ้งเสียแล้ว
เหมยซูหานเดินไปถึงหน้าประตูก็หยุดลง อู่เยวี่ยมองเขาอย่างดีใจ ยังนึกว่าเหมยซูหานอาลัยอาวรณ์ที่จะจากไป แต่ ——
“เยวี่ยเยวี่ย เธอเป็นพี่สาว รู้จักคิดเข้าใจอะไรควรไม่ควรตั้งแต่เด็ก เหมยเหมยเด็กกว่าเธอ เธอควรจะเป็นห่วงรักใคร่น้องสิถึงจะถูก เธอเข้าใจความหมายของพี่ใช่ไหม?” ในที่สุดเหมยซูหานก็พูดออกมา
………………………………………….
ตอนที่ 434 คนร้ายสืบหาออกมาได้แล้ว
เหมยซูหานพูดจบกำลังจะจากไปแล้ว อู่เยวี่ยได้ยินเขาร่ำลากับอู่เจิ้งซือ แถมยังร่ำลาอู่เหมยอีก น้ำเสียงหวานนุ่มยิ่งกว่าข้าวเหนียวปั้นที่เธอกินเสียอีก เหมยซูหานไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับเธอมาก่อนเลย
อู่เยวี่ยสีหน้าเรียบนิ่ง จนเผลอกัดปากตัวเองแตกแบบไม่รู้ตัว นั่นเป็นเพราะใจของเธอเจ็บปวดยิ่งกว่าปากที่เธอพึ่งกัดจนแตกไปเมื่อครู่
เพราะเหมยซูหานพึ่งแทงมีดลงไปที่ใจเธออย่างโหดเหี้ยม ทำให้เธอเสียใจจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
อู่เหมยนังสารเลวนั่นชักนำพ่อไป ชักนำคุณปู่คุณย่าไป ทำเอาเพื่อนร่วมชั้นต่างก็หลงใหลเคลิบเคลิ้มไปตามกัน แม้กระทั่งตอนนี้พี่ซูหานเองก็โดนมันชักนำไปด้วย
ไม่ได้การแล้ว!
พี่ซูหานเป็นของเธอ ใครก็ห้ามคิดแย่งของเธอเด็ดขาด!
มีคนจะแย่งของของเธอไป มุมปากของอู่เยวี่ยกระตุกยิ้ม สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมไม่เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ดูแล้วร้ายกาจไม่เบา
หลายวันมานี้เป็นสยงมู่มู่ที่ส่งอู่เหมยไปเรียน เลิกเรียนก็เป็นสยงมู่มู่ไปรับเธอที่ห้องเรียน เสมือนเป็นพี่ชายคนหนึ่งไปแล้ว ส่วนเรื่องที่อู่เหมยได้รับบาดเจ็บ ทางโรงเรียนก็ไม่ได้แถลงอะไรออกมา
อันที่จริงอาจารย์ใหญ่หยวนก็สืบหาเงื่อนงำออกมาได้บ้าง ทำเอาเขาตกใจเป็นอย่างมาก ไม่อยากเชื่อข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ที่รองอาจารย์ใหญ่หาออกมาได้จริงๆ แต่พยานหลักฐานพยานบุคคลก็มีหมด เขาจะไม่เชื่อก็ไม่ได้
อาจารย์ใหญ่หยวนเดิมทียังวางแผนไว้ว่าจะทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะสามารถพูดได้อย่างเต็มที่ พวกตระกูลอู่จะทำร้ายรบรากันเองก็ช่างมันเถอะ ทำไมจะต้องเอามาวุ่นวายกับตำแหน่งของเขาด้วย?
เรื่องนี้เขาไม่สามารถเลิกแล้วกันไปแบบนี้ได้!
ด้วยเหตุนี้ ——
อู่เจิ้งซือได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์ใหญ่หยวนอีกครั้ง ตอนที่รับโทรศัพท์นั้นใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่พอฟังไปไม่กี่ประโยค สีหน้าก็พลันเคร่งเครียดในทันที แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง
“อาจารย์อู่ คนร้ายที่ใส่ตะปูในรองเท้าของอู่เหมยตอนนี้เจอตัวแล้ว เธอก็คือลูกสาวคนโตของคุณ นักเรียนอู่เยวี่ย” อาจารย์ใหญ่หยวนพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่เหมือนปกติที่จะชอบใช้คำพูดเพื่อเบี่ยงประเด็น กระชับสั้นๆ ได้ใจความ ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
อู่เจิ้งซือหน้าถอดสี ถามกลับอย่างสงสัยว่า “อาจารย์ใหญ่หยวนคุณกำลังพูดล้อเล่นใช่ไหม?”
“เรื่องแบบนี้ทำไมผมต้องพูดล้อเล่นกับคุณด้วย? อาจารย์อู่ ผมมีพยานหลักฐานนะ ถ้าไม่เชื่อล่ะก็ คุณก็มาฟังที่นี่ มาดูสิว่าผมพูดล้อเล่นหรือเปล่า!” อาจารย์ใหญ่หยวนยิ้มเยาะ ในคำพูดเต็มไปด้วยคำพูดจาเหน็บแนมเย้ยหยัน
อู่เจิ้งซือวางสายโทรศัพท์ หน้าดำคร่ำเครียดไปห้องทำงาน ถึงแม้ว่าสติปัญญาของเขาจะบอกเขาว่าอาจารย์ใหญ่หยวนคงไม่เอาเรื่องพวกนี้มาพูดเล่น แต่ความรู้สึกของเขายังไม่พร้อมที่จะเชื่อ คาดไม่ถึงว่าลูกสาวคนโตของเขาจะเป็นคนร้ายที่ทำร้ายลูกสาวคนเล็ก!
เดิมยังคิดจะเอาเรื่องนี้มาทำให้อาจารย์ใหญ่หยวนเป็นหนี้บุญคุณกับตัวเอง แต่ตอนนี้กลับสลับกัน อู่เจิ้งซือรู้สึกว่าโทรศัพท์สายนี้ของอาจารย์ใหญ่หยวนนั้น สามารถเย้ยหยันเขาได้มากกว่าตบเข้าหน้าเขาฉาดใหญ่เสียอีก
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เขาจำเป็นต้องไปด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะเชื่อ
ถึงแม้ว่าการแสดงของพวกอู่เหมยจะได้รับเลือกให้แสดงในงานปีใหม่ของเมือง แต่เพราะว่าเท้าของอู่เหมยได้รับบาดเจ็บ เลยไม่สามารถเข้าร่วมการแสดงได้ ถึงแม้ว่าจะทำใจได้นานแล้ว แต่อู่เหมยก็ยังรู้สึกทุกข์ใจอยู่ดี ส่วนสยงมู่มู่กับอู่เชากลับไม่ได้รู้สึกว่าได้รับผลกระทบอะไรเลยแม้แต่นิด ทำหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสทั้งวัน ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“ก็แค่งานแสดงปีใหม่ธรรมดา เป้าหมายของพี่ชายก็คืองานเลี้ยงเทศกาลตรุษจีนของเมืองต่างหากล่ะ!”
สยงมู่มู่ที่แสดงทีท่ามั่นอกมั่นใจถูกกรอกตามองบนใส่อย่างหมั่นไส้
“นกกระจอกจะรู้ปณิธานของห่านป่าได้อย่างไร ? ฉันกินอิ่มแล้ว จะมามัวพูดคุยกับนกกระจอกตัวเล็กๆ อย่างพวกเธอสองคนได้ไง ฉันไปล่ะ!”
สยงมู่มู่เปล่งเสียงหึอย่างภาคภูมิใจ แหงนหน้ามองท้องฟ้าจนเดินชนเข้ากับเสา แล้วต้องเดินกะเผลกกลับห้องเรียนไป อู่เหมยและอู่เชาที่อยู่ด้านหลังแอบหลุดขำ
งานเลี้ยงเทศกาลตรุษจีนของเมืองที่แสนยิ่งใหญ่ แต่ไรมาพวกเขาไม่เคยนึกเลยด้วยซ้ำ แม้กระทั่งนักแสดงมืออาชีพยังไม่แน่ว่าจะได้ขึ้นเวทีเลย แล้วนกกระจอกตัวเล็กๆ แบบพวกเขา ไหนเลยจะมีคุณสมบัติพอ?
สยงมู่มู่เขากำลังฝันกลางวันที่สุดของปีสินะ!
………………………………………….