ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 463 ผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะถ่ายถอดทางกรรมพันธุ์ เด็กก็เหมือนกัน + ตอนที่ 464 หนึ่งรุ่นส่งต่อแค่คนเดียว
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 463 ผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะถ่ายถอดทางกรรมพันธุ์ เด็กก็เหมือนกัน + ตอนที่ 464 หนึ่งรุ่นส่งต่อแค่คนเดียว
ตอนที่ 463 ผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะถ่ายถอดทางกรรมพันธุ์ เด็กก็เหมือนกัน
ถานซูฟางได้ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนอย่างชัดเจน พอใจเป็นอย่างมากที่คำพูดของเธอแค่ประโยคเดียวทำให้เกิดผลที่ดีถึงเพียงนี้ คำพูดวิพากษ์วิจารย์ของคนลื่นไหลไม่มีที่สิ้นสุด ในเมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร ข่าวลือที่อู่เยวี่ยได้รับการถ่ายทอดโรคประสาททางกรรมพันธุ์ จะต้องแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางแน่นอน
ถึงเวลานั้นต่อให้อู่เยวี่ยไม่ได้เป็นโรคประสาท เธอก็ต้องตกที่นั่งลำบากจนเป็นโรคประสาทอย่างช่วยไม่ได้!
คนที่เป็นโรคประสาทยังคิดที่จะแต่งงานและคลอดลูก?
เชอะ! ฝันกลางวันไปเถอะ!
อันที่จริงที่ถานซูฟางพูดเมื่อกี้ เธอก็ไม่ได้พูดให้ครบถ้วน แม่ที่เป็นโรคประสาทมีอัตราที่จะส่งต่อกรรมพันธุ์ให้กับรุ่นต่อไปสูงก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อัตราที่อู่เยวี่ยจะเป็นโรคประสาทหรือเป็นคนปกตินั้นน่าจะครึ่งๆ
เพียงแต่ว่าถานซูฟางจงใจพูดให้ทั้งสองอย่างเหมือนจะเกิดขึ้นจริง และชี้นำให้คนเหล่านี้สรุปว่าอู่เยวี่ยจะต้องเป็นโรคประสาทที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แน่นอนที่สุด และผลสรุปแบบนี้จะทำให้เกิดผลกระทบแบบไหนต่ออู่เยวี่ย เดิมทีถานซูฟางก็ไม่สนใจอยู่แล้ว
เธอสนใจที่ไหนว่าอู่เยวี่ยจะตายหรือจะมีชีวิตอยู่น่ะ!
เดิมทีเธอก็เป็นคนที่หากเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอสามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ปีนั้นแม่ของเหยียนหมิงซุ่นจะตายไปทั้งที่อายุยังน้อยๆ แบบนั้นได้ยังไงล่ะ!
ขณะนี้ทุกคนกำลังคุยกันอย่างถึงพริกถึงขิง ไม่มีอะไรมากไปกว่าเสียดายอู่เยวี่ย เด็กผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งแต่เป็นเพราะไม่ได้ไปเกิดในครรภ์ดีๆ ผลสุดท้ายก็ต้องมาเป็นโรคที่ใครเห็นใครก็กลัว
มีแม่ที่เป็นโรคประสาท ต่อให้หน้าตาจะดีแค่ไหน ต่อให้การเรียนจะดีเลิศอย่างไร พวกเธอต่างก็ไม่มีทางที่จะให้ลูกชายบ้านตัวเองแต่งผู้หญิงแบบนี้เข้าบ้านหรอก
ไม่ได้ยินที่คุณหมอถานพูดหรือ โรคประสาทสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ พวกเธอไม่อยากให้หลานชายหรือหลานสาวต่างก็มีกรรมพันธุ์เป็นโรคประสาทหรอกนะ ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว!
เพียงแต่ว่า ความสนใจของคนพวกนี้ต่างก็พุ่งไปที่ร่างของอู่เยวี่ย ทุกคนต่างมองข้ามอู่เหมยโดยมิได้นัดหมาย ไม่พูดถึงเลยแม้แต่คำเดียว
ปากไม่พูดไม่ได้หมายความว่าในใจไม่ได้คิดแบบนี้ ทุกคนไม่ใช่คนโง่ เพราะแม่บุญธรรมของอู่เหมยก็คือจ้าวอิงหนาน ยืนอยู่ตรงหน้าเลยเนี่ย!
มันไม่คุ้มที่พวกเธอจะล่วงเกินจ้าวอิงหนาน!
เพียงแต่บางคนไม่ได้คิดแบบนั้น เธอรู้สึกว่าควรจะเตือนจ้าวอิงหนาน หญิงสาวบนโลกใบนี้มีตั้งเยอะแยะมากมาย ทำไมจะต้องเอาชีวิตไปแขวนไว้กับลูกสาวคนเล็กของตระกูลที่อาจจะมีกรรมพันธุ์โรคประสาทล่ะ?
ที่บ้านพวกเธอก็มีลูกสาวที่ทั้งน่ารักแล้วก็ฉลาด ดีเลิศกว่าอู่เหมยไม่รู้ตั้งกี่ร้อยเท่า!
คนที่กระโดดออกมาพูดคนแรกนี้เป็นผู้หญิง สาเหตุก็เพราะว่าสามีของเธอแข่งขันอยู่กับอู่เจิ้งซือ เธอขัดหูขัดตาตระกูลอู่ทุกคน แน่นอนว่ารวมถึงอู่เหมยด้วย!
“หากให้ฉันพูด ผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะถ่ายถอดทางกรรมพันธุ์ เด็กก็จะไม่เป็นเชียวหรือ? โรคประสาทโรคประเภทนี้ ตอนยังไม่เป็นอะไรก็เหมือนกับคนปกติดี แต่ในกรณีที่อาการกำเริบขึ้นมาก็ทำให้คนตกใจเกือบตาย พวกคุณดูเหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยตอนปกติสิ ไม่ใช่ว่าเหมือนกับคนปกติทั่วไปมากเลยหรอกหรือ ถ้าไม่ใช่ว่าคืนนี้อาการกำเริบ ใครจะรู้ว่าสองแม่ลูกนี้เป็นโรคประสาทล่ะ ให้ฉันมองนะ อู่เหมยเด็กคนนี้ก็ยากที่จะไม่เป็นแบบนั้นเหมือนกันแหละ!”
ผู้หญิงคนนี้มองอู่เหมยที่ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ยังไม่ส่งเสียงสักคำด้วยเจตนาที่ไม่ดี ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นแค่เด็กคนหนึ่งถึงจะปล่อยเธอไป คำพูดที่ออกมาทุกประโยคนั้นเหมือนกับมีดก็ไม่ปาน
หากเป็นเด็กธรรมดาคนอื่น จะสามารถรับความกดดันต่อการโจมตีที่ดุร้ายแบบนี้ได้อย่างไร?
เพียงแต่ว่าอู่เหมยก็ไม่ใช่เด็ก อีกทั้งเธอก็ไม่สนใจเลยสักนิดว่าคนอื่นจะพูดถึงตัวเองอย่างไรบ้าง
รอเธอได้ชำระความแค้นอันใหญ่หลวงของเธอก่อน เธอก็จะพาฉิวฉิวออกไปจากเมืองนี้ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่สักที่หนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักเธอ ใครจะไปรู้ว่าเธอเป็นหรือไม่เป็นโรคประสาท!
ให้พูดอีกเท่าไรก็คงไม่มีใครเข้าใจชัดแจ้งเท่าเธอว่า แม่ลูกเหอปี้อวิ๋นแท้ที่จริงแล้วเป็นโรคประสาทหรือไม่?
คนอื่นๆ มองไปทางอู่เหมยอย่างเห็นใจ น่าเสียดายจริงๆ เด็กผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ มีทั้งความสามารถและหน้าตา แต่กลับมีแม่และพี่สาวที่เป็นโรคประสาท
วันหลังกลัวว่าคิดจะแต่งกับคนดีๆ สักคนก็คงจะยาก!
ใบหน้าที่สวยงามของจ้าวอิงหนานอึมครึมทันที มองไปที่ผู้หญิงคนนั้นที่เอาใจตัวเธอเองสุดความสามารถอย่างเย็นชา พูดอย่างรังเกียจว่า “ฉันว่าเธอน่ะสมองมีปัญหาแล้วนะ เหมยเหมยเป็นลูกบุญธรรมของฉัน ฉันจะไม่เข้าใจชัดแจ้งมากกว่าเธอหรือ? วันหลังถ้าหากว่าฉันได้ยินใครพล่ามนินทาพูดซี้ซั้วสุ่มสี่สุ่มห้าลับหลังล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ!”
…………………………………………..
ตอนที่ 464 หนึ่งรุ่นส่งต่อแค่คนเดียว
จ้าวอิงหนานแผลงฤทธิ์ระบายอารมณ์ออกมา ทุกคนต่างก็หุบปากสนิท ส่งสายตาเหยียดหยามไปให้ผู้หญิงคนนั้นที่อยากจะประจบเอาใจจ้าวอิงหนาน
นังโง่เง่า จะประจบประแจงเอาใจแต่ดันประจบไม่ถูกทาง!
คนที่พูดให้อู่เหมยหน้าแดงขึ้นมา หัวเราะอย่างเก้อเขิน เธอคาดไม่ถึงเลยว่าจ้าวอิงหนานจะมองอู่เหมยสำคัญขนาดนี้ เห็นๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือว่าเพิ่งรับเป็นลูกบุญธรรมได้เพียงแค่หนึ่งเดือนกว่าเท่านั้นเอง เอาความรักความผูกพันธ์ที่ลึกซึ้งมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน?
จ้าวอิงหนานจ้องเขม็งที่ผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้เป็นคนจำพวกเดียวกับเหอปี้อวิ๋นไม่มีผิด ต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร!
ถานซูฟางกะล่อนเป็นน้ำกลิ้งบนใบบอน รีบหัวเราะพูดขึ้นมาว่า “การถ่ายทอดโรคประสาททางกรรมพันธุ์โดยทั่วไปแล้วส่งต่อหนึ่งคนต่อหนึ่งรุ่น มีความเป็นไปได้น้อยมากๆ ที่จะส่งต่อให้ลูกสาวทั้งสองคน พวกคุณต่างก็คิดมากเกินไปแล้ว!”
เป้าหมายของเธอก็คืออู่เยวี่ย อู่เหมยจะเป็นโรคประสาทหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย เพียงแต่ว่ามันไม่คุ้มที่จะล่วงเกินจ้าวอิงหนานด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้!
คนอื่นๆ พยักหน้าสนับสนุนเห็นด้วย ไปไกลแม้กระทั่งมีบางคนถึงกับให้หลักฐานสนับสนุนที่ชัดแจ้งว่าหมู่บ้านที่แม่เธออยู่มีครอบครัวหนึ่งเป็นโรคประสาท หนึ่งรุ่นส่งต่อแค่คนเดียวจริงๆ ลูกคนอื่นๆ ก็เป็นปกติกันทุกคน!
ทุกคนเลือกที่จะลืมสิ่งที่เคยเธอพูดเมื่อก่อนหน้านี้ จำได้ชัดว่าลูกสามทั้งสามคนเป็นโรคประสาท ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นหนึ่งรุ่นส่งต่อแค่คนเดียว ช่วงระยะเวลาที่พูดกลับไปกลับมายังไม่ถึงสามนาทีเลยด้วยซ้ำ
จ้าวอิงหนานขี้เกียจที่จะสนใจพวกที่ไม่มีจุดยืน เอนลู่ไปตามใครได้ก็แล่นเรือไปตามทิศทางลมนั้น ตั้งแต่เล็กจนโตเห็นมามากแล้ว ที่พวกเขาประจบเอาใจไม่ใช่เพราะตัวเธอ แต่เป็นตระกูลจ้าวที่อยู่เบื้องหลังของเธอต่างหาก
แต่ถ้าในวันหนึ่งตระกูลจ้าวหมดอำนาจ คนพวกนี้ก็จะเปลี่ยนหน้าทันที ก็ใช่ว่าเธอจะไม่เคยประสบพบเจอเสียหน่อย?
ปีนั้นหลังจากที่พ่อของเธอเกิดเรื่องขึ้น คนที่เคยโค้งคำนับคุกเข่าต่อหน้าพ่อพวกนั้น พริบตาเดียวก็เปลี่ยนหน้าเป็นคนไร้น้ำใจ ไร้ความปรานี ทุกคนต่างก็ระบุว่าเป็นความผิดของพ่อ เขียนเอกสารมากมายมหาศาลเป็นกองหนาๆ ช่างลำบากเสียจริงที่ต้องลงทุนคิดอะไรออกมามากมายขนาดนั้น
เป็นเพราะข้อกล่าวที่แต่งขึ้นมาเพื่อโกหกพวกนี้นี่เอง พ่อของเธอจึงได้โดนตัดสินโทษ ต้องจำคุกแยกกันกับแม่ในสถานที่ที่เป็นความลับ ยังมีเธอและพี่ชายอีกสามคน ที่ต่างก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ตระกูลจ้าวที่โดดเด่นไม่มีใครเทียบได้ แค่คืนเดียวก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ หนีตายแยกย้ายกันไปไกลสุดขอบฟ้า
ตอนนี้ตระกูลจ้าวลุกขึ้นมาผงาดได้แล้ว คนพวกนั้นก็กลับมาใกล้ชิดสนิทสนมอีกครั้ง สีหน้าท่าทางที่น่ารังเกียจพวกนั้นเธอมองแล้วอยากจะอ้วก พ่อแม่ของเธอยังจะต้อนรับพวกสารเลวพวกนี้อย่างเกรงอกเกรงใจอีก ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเธออยู่บ้านละก็ จะต้องหยิบไม้กวาดมาไล่คนพวกนั้นออกจากบ้านไปอย่างแน่นอน!
ต่อให้เหอปี้อวิ๋นโง่เขลาขนาดไหน เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าคำพูดของคนพวกนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อเธอและลูกสาวสุดที่รักของเธออย่างไร ส่วนเธอก็ช่างมันเถอะ ผ่านไปครึ่งชีวิตแล้ว แต่อู่เยวี่ยไม่เหมือนกัน ชีวิตของเธอเพิ่งจะเริ่มต้นเอง
ถ้าหากต้องมีชื่อเสียงว่าเป็นคนบ้า วันหลังเยวี่ยเยวี่ยจะทำอย่างไร?
เธอไม่สามารถให้คนพวกนี้พูดใส่ร้ายเยวี่ยเยวี่ยของเธอได้อย่างเด็ดขาด!
เหอปี้อวิ๋นไม่ใช่คนที่มีหัวสมองฉลาดมากนัก ตอนนี้ก็คิดไม่ออกหาว่าจะรับมือกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไรได้เลย อู่เจิ้งซือไม่อยู่ เธอก็เหมือนกับแมลงวันหัวขาด ประหวั่นพรั่นพรึงไปหมด
เวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดเหอปี้อวิ๋นก็คิดวิธีแก้ปัญหาที่ตัวเองคิดเอาเองว่าเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด ถานซูฟางไม่ใช่ว่าพูดว่าหนึ่งรุ่นส่งต่อแค่คนเดียวหรอกหรือ เธอแค่พูดไปว่าคนที่เป็นโรคประสาทเป็นนังเด็กสมควรตายนั่นก็จบ
แบบนั้นเยวี่ยเยวี่ยของเธอก็จะไม่เป็นไรแล้ว!
แต่เหอปี้อวิ๋นที่โง่เขลากลับไม่คิดเลยว่า เธอพูดแบบนี้ คนอื่นจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?
นอกจากนี้เธอควรจะทำอะไรให้มากกว่านี้ เธอไม่ควรเลือกแหล่งที่มาสำคัญของตัวเธอเองให้ได้โดยเร็วที่สุดหรือ?
“เยวี่ยเยวี่ยของฉันไม่ได้เป็นโรคประสาท แต่อาจจะเป็นเหมยเหมย เด็กสมควรตายคนนี้แปลกๆ ตั้งแต่เด็กแล้ว มันต่างหากที่จิตไม่ปกติ มันต่างหากที่เป็นบ้า!”
เดิมทีทุกคนต่างก็จะแยกย้ายแล้ว เหอปี้อวิ๋นกลับชี้ไปที่อู่เหมยส่งเสียงขึ้นมากะทันหัน ทุกคนก็เลยหยุด มองผู้หญิงบ้าคลั่งคนนี้อย่างประหลาดใจ
ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่ค้นพบเลยนะว่า เหอปี้อวิ๋นจะโง่ได้ถึงขนาดนี้!
…………………………………………..