ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 465 ขึ้นแสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีน + ตอนที่ 466 ฉันไม่สนใจว่าจะเป็นโรคประสาท
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 465 ขึ้นแสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีน + ตอนที่ 466 ฉันไม่สนใจว่าจะเป็นโรคประสาท
ตอนที่ 465 ขึ้นแสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีน
จ้าวอิงหนานมองเหอปี้อวิ๋นอย่างเย็นชา ไม่อยากจะพูดกับคนที่โง่เขลามากขนาดนี้เลยสักนิด ใจคิดอยากแต่จะให้ลูกสาวคนเล็กเป็นแพะรับบาป อีกทั้ง กลับยอมรับทางอ้อมว่าตัวเองเป็นโรคประสาท ช่างเป็นคนโง่เขลาที่ไม่มียารักษาให้หายเสียจริง
“เหอปี้อวิ๋น คุณไม่เป็นห่วงลูกสาวสุดที่รักของคุณหรือไง?”
จ้าวอิงหนานพูดเตือนสติ เหอปี้อวิ๋นสะดุ้งตกใจ ถึงจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าอู่เยวี่ยไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว เธอมองไปที่กองเลือดที่อยู่บนพื้นอีกครั้ง หน้าขาวซีดไปหมด
“เยวี่ยเยวี่ยไปไหนแล้ว? เยวี่ยเยวี่ยของฉันไปไหนแล้ว?!”
เหอปี้อวิ๋นตะโกนด้วยความตื่นตระหนก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ตาแข็งทื่อ มองดูแล้วเหมือนกับคนบ้าไม่มีผิด
มีคนส่งเสียงบอกว่า “หัวของอู่เยวี่ยโดนคุณทุบเป็นแผลใหญ่ขนาดนั้น อาจารย์อู่ส่งเธอไปหาคุณย่าหยางแล้ว”
เหอปี้อวิ๋นเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน นึกถึงความทรงจำของเธอที่พยายามลืมอย่างสุดความสามารถ ก็คือสิบนาทีก่อนที่ เธอทุบลูกสุดที่รักผู้เป็นแก้วตาดวงใจด้วยมือของตัวเอง กองเลือดที่อยู่บนพื้นนั้นเป็นของอู่เยวี่ย
“เยวี่ยเยวี่ย!”
เหอปี้อวิ๋นเหมือนคนบ้าก็ไม่ปาน ถลันพุ่งออกไปทางประตูด้านนอก เธอต้องไปหาคุณย่าหยาง ดูว่าลูกสุดที่รักของเธอเป็นอะไรไหม ส่วนถานซูฟาง เธอค่อยกลับมาคิดบัญชีกับนังสารเลวนี่วันหลัง!
เมื่อคนก่อเรื่องวิ่งออกไปแล้ว ทุกคนก็ไม่มีความสนใจที่จะดูความวุ่นวายอีก ทยอยกันออกไป ในบ้านอู่เหลือแค่เพียงครอบครัวของจ้าวอิงหนานและเหยียนโฮ่วเต๋อสองสามีภรรยารวมถึงอู่เหมย
เหยียนโฮ่วเต๋อจ้องเขม็งไปที่ถานซูฟาง ยิ้มให้กับจ้าวอิงหนานสองสามีภรรยา แล้วก็กลับบ้าน มีถานซูฟางตามหลังไปไวๆ เธอไม่ใช่คนโง่ วันนี้ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ เหยียนโฮ่วเต๋อจะต้องโมโหมากแน่นอน ไหนจะยังมีตาแก่ยายแก่หนังเหนียวสองคนนั้นอีก ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับเธออีกบ้าง!
แต่ว่าเธอไม่กลัวเลยสักนิด เหยียนโฮ่วเต๋อหูเบาเชื่อคนง่าย ตอนดึกเธอแค่ต้องพูดจาดีๆ และพูดคำหลอกลวงไม่กี่ประโยคก็ได้ผลแล้ว ส่วนพวกคนแก่หนังเหนียวพวกนั้น ก็อยู่ได้อีกไม่กี่ปีแล้ว เธอยิ่งไม่ต้องกลัว!
เพื่อนาคตของลูกชายสุดที่รัก ไม่ว่าอะไรเธอก็ยินดีที่จะทำ!
ชื่อเสียงก็เป็นแค่เพียงเสียงผายลม!
นางสนมของฮ่องเต้ต่างก็มีสมญานามกันทั้งนั้น!
เรื่องไร้สาระพวกนั้นของเธอจะกังวลอะไร ใครคนไหนจะกล้ามาพูดต่อหน้าเธอ?
นอกจากเหอปี้อวิ๋นที่โง่เขลาคนนี้ วันหลังต่อให้เธอจะส่งผลไม้ดีๆ มาให้กิน เหยียนโฮ่วเต๋อคงไม่ยกโทษให้นังประสาทนี่แน่นอน!
ถานซูฟางถือว่าเข้าใจความคิดของคนที่ร่วมเรียงเคียงหมอนได้ทะลุปรุโปร่งมาก เหยียนโฮ่วเต๋อไม่ใช่ว่าเกลียดเหอปี้อวิ๋นจนคันฟันไปหมดแล้วหรือ!
เรื่องตลกครั้งนี้แพร่กระจายไปยังอาคารครอบครัวเก่าแก่ในไม่ช้า ผู้ที่นำเรื่องงามหน้าแบบนี้มาเล่าอย่างละเอียดก็คือคุณย่าหยาง เธอโมโหจนแทบจะกระอักเลือด เรื่องคุณแม่ของเหยียนหมิงซุ่น สำหรับคนแก่สองคนอย่างพวกเขาแล้วถือเป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ เพราะฉะนั้นพวกเขาถึงไม่ชอบถานซูฟาง ไม่ชอบจนกระทั่งยังบอกให้ลูกชายกลับบ้านให้น้อยลงหน่อย
เพราะว่าเพียงแค่ได้เห็นสองคนนี้ พวกเขาก็จะนึกถึงลูกสะใภ้ที่น่าสงสารคนนั้น ในใจเจ็บปวดไปหมด ยิ่งรู้สึกอยากเอาแต่ขอโทษหลานชายคนโต ขอโทษที่ให้เธอแต่งงานเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน!
ทว่าวันนี้กลับดีหน่อย เหอปี้อวิ๋นนำเรื่องในอดีตที่ถูกแช่งแข็งไปนานแล้วกระทุ้งออกมาอีกครั้ง ทำเอาหัวใจแก่ๆ ของคนแก่อย่างพวกเขาทั้งคู่เลือดไหลโกรก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะโทษที่เหอปี้อวิ๋นพูดเรื่อยเปื่อย แต่ก็ยังเกลียดการยั่วยุของถานซูฟางมากกว่า
คิดว่าตัวเองเป็นใคร นึกไม่ถึงว่าจะวิ่งไปสั่งสอนลูกสาวของคนอื่นถึงในบ้าน แล้วเหอปี้อวิ๋นก็เป็นคนโง่ที่ปกป้องลูกของตัวเองสุดขีดอย่างกับอะไร คิดว่าเธอจะไม่โต้ตอบรุนแรงหรือ?
ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ยังเห็นว่าถึงขั้นเลือดตกยางออกกันแล้ว คนแก่ตระกูลเหยียนสองคนอย่างพวกเขาก็ยิ่งรังเกียจถานซูฟางมากถึงมากที่สุด หากไม่ใช่ว่าจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางชีวิตการรับราชการของลูกชายแล้วละก็ พวกเขาจะต้องให้ลูกชายเลิกกับนังผู้หญิงหน้าด้านอวดดีคนนี้แน่นอน!
ฝั่งจ้าวอิงหนานพาอู่เหมยมาที่บ้านของตัวเอง แถมยังบอกข่าวดีกับเธออีกด้วย
“เหมยเหมย กรมการศึกษาเลือกการแสดงของลูกกับมู่มู่ให้เข้าร่วมแสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองแล้ว ทั้งเมืองมีโรงเรียนเยอะขนาดนั้น แต่มีเพียงแค่การแสดงของพวกเธอโดนเลือกไปนะ”
…………………………………………..
ตอนที่ 466 ฉันไม่สนใจว่าจะเป็นโรคประสาท
ที่แท้เมื่อกี้เหยียนโฮ่วเต๋อมาบ้านตระกูลสยงก็เพราะจะพูดเรื่องนี้นี่เอง ส่วนใหญ่ก็เน้นหนักหนาว่าเขาพยายามกับเรื่องนี้มากเพียงใด แน่นอนว่าจ้าวอิงหนานรู้ว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร ไม่ใช่เพราะจะเอาใจตระกูลจ้าวหรือไง!
พูดให้ถูกก็คือ คิดจะเอาใจพี่ชายเล็กของเธอ จ้าวอิงหัว!
แต่ว่าเธอคิดไม่ถึงจริงๆ นับว่าการรับข่าวสารของเหยียนโฮ่วเต๋อค่อนข้างไวทีเดียว เธอยังเพิ่งจะรู้ แต่เหยียนโฮ่วเต๋อกลับสืบหาข่าวมาได้แล้ว
แน่นอนว่าเธอไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าการที่พวกอู่เหมยมาเข้าร่วมแสดงงานกลางคืนในเทศกาลตรุษจีนของเมืองแล้วถูกลอบกัดจะน่าแปลกตรงไหน ถึงแม้ว่าจะไม่ยุติธรรมกับการแสดงที่ยอดเยี่ยมของคนอื่นๆ แต่ว่าบนโลกใบนี้ไหนเลยจะมีความยุติธรรมที่แน่นอนล่ะ?
ถ้าหากว่าไม่สามารถทนดูการแสดงของพวกอู่เหมยได้ แน่นอนว่าจ้าวอิงหนานจะไม่รับไมตรีจากเหยียนโฮ่วเต๋อแน่นอน แต่ปัญหาก็คือการแสดงของพวกอู่เหมยยอดเยี่ยมมากจริงๆ ทำไมเธอจะยังต้องเสแสร้งเป็นคนมีคุณธรรมอีกล่ะ!
ตอนที่อู่เหมยมาถึงบ้านตระกูลสยง ในหัวยังคงสับสนมึนงง นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะสามารถเข้าร่วมแสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองได้?
สยงมู่มู่ เราไม่ได้ฝันกลางวันกันใช่ไหม!
“พี่ชายเคยพูดตั้งนานแล้วว่าได้ พวกเธอก็ยังไม่เชื่อฉัน แล้วเป็นไงล่ะ วันหลังต้องเชื่อฟังพี่ชายทุกเรื่องนะ!” สยงมู่มู่อวดเก่งอวดดี ยืน ตรงหน้าเด็กอ้วนน้อยกับเสี่ยวเหมยเหมยที่อ่อนน้อม
“ได้เลย ต่อไปฉันจะฟังที่นายพูดทั้งหมด!”
อู่เชาและอู่เหมยกระตือรืนร้นทุบไหล่ทุบหลังให้สยงมู่มู่อย่างขยันขันแข็งที่สุด เลื่อมใสด้วยความจริงใจ
แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยนึกถึงการเข้าร่วมแสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองเลย พวกเขามักจะรู้สึกว่ามันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไกลแสนไกล ทำได้แค่เพียงนั่งมองจากในทีวี แต่วันนี้พวกเขาได้ออกทีวีแล้ว
เหล่าญาติและเพื่อนนักเรียนตั้งเยอะจะสามารถชื่นชมการปรากฏตัวของพวกเขาในทีวี!
เป็นเรื่องที่สร้างหน้าสร้างตาได้มากเลย!
สามคนจินตนาการถึงอนาคตที่สดใสด้วยกัน ดูมีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่า แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรอคอยให้ตรุษจีนมาถึงขนาดนี้เลย!
“ใช่แล้ว เด็กอ้วนน้อยยังไม่รู้ล่ะสิ บ้านอารองของนายเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว จุ๊ๆ เลือดไหลโชกเลย!”
สยงมู่มู่ชอบใจที่เรื่องราวมันใหญ่โต นำเอาเรื่องเมื่อคืนวานมาถ่ายทอดอย่างออกรส อู่เชาได้ฟังก็ตกตะลึง สุดท้ายทอดถอนใจพูดมาหนึ่งประโยคว่า “มิน่าล่ะอู่เยวี่ยถึงได้เป็นโรคประสาท ต้นตอของเรื่องราวเป็นเพราะอาสะใภ้รองของฉันนี่เอง!”
“เพี้ยะ!”
หัวของเด็กอ้วนโดนตบไปหนี่งที เป็นผลงานชิ้นเอกของสยงมู่มู่ เด็กอ้วนน้อยถมึงตาจ้องมอง เขาพูดผิดตรงไหนกัน?
“วันหลังพูดถึงได้แค่อู่เยวี่ย อย่าพูดถึงเรื่องที่อาสะใภ้รองของนายเป็นโรคประสาท อย่าทำร้ายเหมยเหมย!” สยงมู่มู่พูดสั่งสอน
เมื่อคืนเขาได้ยินคนอื่นพูดว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นโรคประสาทก็รู้ว่าไม่ดี ถึงแม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะเป็นโรคประสาท ยิ่งสามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่าจิตใจของอู่เยวี่ยก็มีปัญหา แต่เรื่องยุ่งยากคืออู่เหมยก็จะซวยไปด้วย
เธอกับอู่เยวี่ยเป็นตั๊กแตนผูกติดอยู่กับเชือกเดียวกัน ทั้งหมดต่างก็เกิดมาจากแม่ แม่กับพี่ต่างก็เป็นโรคประสาทแล้ว อู่เหมยยังจะสามารถวิ่งหนีสิ่งนี้ได้อีกหรือ?
อู่เชาก็เป็นคนที่ฉลาด พอได้ฟังก็เข้าใจสิ่งที่สยงมู่มู่กังวล มองอู่เหมยอย่างกังวลใจ เขาคิดไปไกลและลึกซึ้งยิ่งกว่าสยงมู่มู่อีก กลัวแค่ว่าอู่เหมยจะหลบซ่อนไม่พ้น!
อู่เหมยกลับไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย พูดอย่างไม่สนใจว่า “แต่ฉันไม่กลัวหรอก คนอื่นจะพูดยังไงก็แล้วแต่ เป็นโรคประสาทก็ดีนะ ฆ่าคนก็ไม่ผิดกฎหมาย อย่างนี้คนอื่นๆ ก็ต้องกลัวฉันสิ มีอะไรไม่ดีตรงไหน?”
“เธอมันยัยโง่ ถ้าเธอเป็นโรคประสาทไปจริงๆ วันหลังใครยังจะกล้าแต่งงานกับเธอ?” สยงมู่มู่พูดอย่างเข้มงวดหวังให้อู่เหมยได้ดีในอนาคต
อู่เหมยยักไหล่ “ฉันไม่ได้วางแผนที่จะแต่งงานกับใคร แล้วนายจะเป็นห่วงเรื่องอะไร?”
สยงมู่มู่โดนตอกหน้าหงายจนลมหายใจติดขัด ถูกอู่เหมยสกัดจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงจ้องเขม็งไปที่เธอด้วยความแค้นใจ
อู่เชาถามถึงอู่เยวี่ย “วันนี้อู่เยวี่ยไม่มาเรียน ไม่ได้โดนทุบแรงมากใช่ไหม?”
“นอนอยู่ในบ้านน่ะ คุณย่าหยางให้พักผ่อน คุณพ่อขอให้เธอหยุดลาแล้วหนึ่งอาทิตย์” อู่เหมยบอก
…………………………………………..